ตอนที่ ๑๑
ปัญหาที่
๔
ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก
" ข้าแต่พระนาคเสน
พรหมโลกไกลจากโลกนี้สักเท่าไร ?"
" ขอถวายพระพร
พรหมโลกไกลจากโลกนี้มาก ถ้ามีผู้ทิ้งก้อนศิลาโตเท่าปราสาทลงมาจากพรหมโลก
ก้อนศิลานั้นจะตกลงมาได้วันละ
๔๘,๐๐๐ โยชน์ ต้องตกลงมาถึง ๔ เดือน จึงจะถึงพื้นดิน
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
มีคำกล่าวว่า ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอำนาจทางจิต
หายวับจากชมพูทวีปนี้ ขึ้นไปปรากฏในพรหมโลกได้เร็วพลัน
เหมือนกันกับบุรุษผู้มีกำลังคู้แขนเหยียดแขนฉะนั้นดังนี้
โยมไม่เชื่อ เพราะถึงเร็วอย่างนั้น ก็จักไปได้เพียงหลายร้อยโยชน์เท่านั้น"
" ขอถวายพระพร
ชาติภูมิ ( ถิ้นกำเนิด ) ของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน?
"
" อยู่ที่เกาะอลสัณฑะ
พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร เกาะอลสัณฑะไกลจากที่นี้สักเท่าไร
?"
" ไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ "
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ในที่นั้น
แล้วเคยนึกถึงมีอยู่หรือ ? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรนึกไปถึงทีไกลประมาณ
๒๐๐ โยชน์ ได้โดยเร็วพลันไม่ใช่หรือ ? "
" ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"อธิบายในอรรถกถาสังยุตตนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า
ก้อนศิลาขนาดใหญ่ถูกทิ้งให้ตกลงมาจากพรหมโลกชั้นต่ำ
ก้อนศิลานั้นตกลงมาวันคืนหนึ่ง เป็นระยะ
๔๘,๐๐๐ โยชน์ จึงจะถึงพื้นดินเป็นเวลา ๔ เดือน
เพราะเหตุนั้น ระยะทางระหว่างพรหมโลกชั้น
พรหมปาริสัชชา ถึงพื้นดิน บัณฑิตผู้ทราบนัย
พึงทราบว่าเป็น ๕,๗๖๐,๐๐๐ โยชน์ ดังนี้
ปัญหาที่
๕
ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ
" ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้ามีคน ๒ คนตายจากที่นี้แล้วไปเกิดในที่ต่างกัน
คือคนหนึ่งขึ้นไปเกิดในพรหมโลก อีกคนหนึ่งเกิดในเมืองกัสมิระ
คนสองคนนี้ คนไหนจะไปช้าไปเร็วกว่ากัน
? "
" ขอถวายพระพร
เท่ากัน "
" ขอนิมนต์อุปมาด้วย
"
" ขอถวายพระพร
ชาติภูมิของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน ? "
" อยู่กาลสิรคาม "
" ขอถวายพระพร กาลสิรคามอยู่ไกลจากที่นี้สักเท่าไร?
"
" ประมาณ ๒๐๐ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า
"
" เมืองกัสมิระไกลจากที่นี้สักเท่าไร
? "
" ประมาณ ๑๒ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า
"
" เชิญมหาบพิตรนึกถึงกาลสิรคามดูซิ
"
" โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
" เชิญมหาบพิตรนึกถึงเมืองกัสมิระดูซิ
"
" โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร ทางไหนนึกถึงช้าเร็วกว่ากันอย่างไร
?"
" เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก
กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ เร็วเท่ากัน
ไปถึงพร้อมกัน"
" ขอนิมนต์อุปมาอีก
"อุปมาด้วยเงาของนก
" ขอถวายพระพร ถ้ามีนก
๒ ตัวบินมาจับต้นไม้พร้อมกัน ตัวหนึ่งจับต่ำ
ตัวหนึ่งจับสูง เงาของนกตัวไหนจะถึงพื้นดินก่อนกัน"
" ถึงพร้อมกัน พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร "
" ขอนิมนต์อุปมาอีก
"อุปมาด้วยการแลดู
" ขอถวายพระพร ขอได้โปรดแลดูอาตมา
"
" โยมแลดูแล้ว "
" ขอได้โปรดแหงนดู
ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ "
" โยมแหงนดูแล้ว "
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรแลดูอาตมากับแลดูดวงจันทร์
ดวงอาทิตย์ อันอยู่ไกลถึง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ข้างไหนจะเร็วช้ากว่ากัน?
"
" เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก
กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ ไปถึงพร้อมกัน
"
" แก้เก่งมาก พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๖
ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
โยมจักถามถึงเหตุอันยิ่งขึ้นไป คือผู้ไปสู่โลกอื่น
ไปด้วยสีเขียว แดง เหลือง ขาว แสด เลื่อม อย่างไร...หรือ
ไปด้วยเพศช้าง ม้า รถ อย่างไร ? "
" ขอถวายพระพร ข้อนี้พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏกพุทธวจนะ"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าพระสมณโคดมไม่บัญญัติไว้ว่า
ผู้ไปเกิดในโลกอี่น ในระหว่างทางนั้นต้องมีสีเขียว
หรือสีเหลือง แดง ขาว แสด เลื่อม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
จะว่าพระสมณโคดมทรงรู้จักทุกสิ่งได้หรือ...
คำของ คุณาชีวก ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่กล่าวไว้ว่า
ผู้ไปสู่โลกอื่นไม่มี ก็ต้องเป็นของจริง
ผู้ใดกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี
ผู้ไปเกิดในโลกอื่นไม่มี ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ากล่าวถูก
ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงตั้งพระทัยฟังถ้องคำของอาตมภาพ"
" โยมตั้งใจฟังผู้แล้ว
"
" ขอถวายพระพร ถ้อยคำของอาตมภาพที่พ้นออกไปจากปาก
ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตรนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึงนั้นเสียงของอาตมภาพมีสีอย่างไร
มีทรวดทรงอย่างไร ? "
" เห็นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร ถ้ามหาบพิตรว่าเห็นไม่ได้
เสียงของอาตมภาพก็ไม่ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตร
มหาบพิตรก็ตรัสคำเหลาะแหละน่ะซิ "
" โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละ
ถึงถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าไม่ปรากฏสีเขียว
หรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงโยมจริง"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ถึงผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้น
จะไม่ปรากฏสีเขียวหรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง
แต่ผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้นก็มีอยู่
เหมือนกับถ้อยคำของอาตมา "
" น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเสวยราชสมบัติใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เถิด
เพราะขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์
๕ ไม่มีอะไรตกแต่ง เกิดขึ้นเอง สงสารก็ไม่มี
"อุปมาด้วยการทำนา
" ขอถวายพระพร
มหาบพิตรเคยโปรดให้ทำนาหรือไม่ ?
"
" อ๋อ...เคยให้ทำ
"
" ขอถวายพระพร
ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น
เมื่อรวงข้าวสาลีงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเองหรืออย่างไร?
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น
จะว่างอกขึ้นเอง ไม่มีผู้ใดกระทำไม่ได้
"
" ขอถวายพระพร ถ้าข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดิน
ยังไม่มีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงยังไม่งอกขึ้น
จะว่าไม่มีผู้ปลูก จะว่าข้าวสาลีไม่มีจะได้หรือไม่?
"
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ถ้าขันธ์ ๕ นี้ไปเกิดเอง คนตาบอดก็จะเกิดเป็นคนตาบอดอีก
คนใบ้ก็จะเกิดเป็นคนใบ้อีก บุญก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ถ้าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งใดตกแต่ง เป็นของเกิดขึ้นเอง
ขันธ์ ๕ ก็จะต้องไปนรกด้วยอกุศลกรรม"
" ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น
"อุปมาด้วยการจุดประทีป
" ขอถวายพระพร เหมือนอย่างมีผู้เอาประทีปมาจุดต่อกัน
เปลวประทีปดวงเก่าก้าวไปสู่ประทีปดวงใหม่หรืออย่างไร
ประทีปทั้งสองนั้น มีขึ้นเองไม่มีผู้กระทำอย่างนั้นหรือ?
"
" ไม่ใช่อย่างนั้น
พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น
ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งใดทำให้เกิดขึ้น"
" ข้าแต่พระนาคเสน
เวทนาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ ?"
" ขอถวายพระพร ถ้าเวทนาขันธ์ไปสู่โลกอื่น
ผู้ที่ไปเกิดในโลกอื่น ก็คือเวทนาขันธ์อย่างนั้นซิ
? "
" ไม่ใช่อย่างนั้น
พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร เพราะเหตุนั้นแหละมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า
เวทนาขันธ์ในอัตภาพนี้ไม่ได้ ไปสู่โลกอื่น
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
สัญญาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ? "
" ขอถวายพระพร ถ้าสัญญาขันธ์ไปสู่โลกอื่น
ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้
ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้
ไปสู่โลกอื่นแล้ว ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วนอีกหรืออย่างไร
? "
" ไม่ใช่อย่างนั้น
พระผู้เป็นเจ้า "
" เพราะเหตุนั้นแหละ
มหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า สัญญาขันธ์ในอัตภาพนี้
ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น "
" ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก
"อุปมาด้วยกระจก
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกส่องพระพักตร์หรือไม่?
"
" มี พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกมาวางไว้ตรงพระพักตร์มหาบพิตร"
" โยมหยิบมาตั้งไว้แล้ว
"
" ขอถวายพระพร ดวงพระเนตร
พระกรรณ พระนาสิก พระทนต์ ของมหาบพิตรปรากฏอยู่ในกระจกนี้เอง
หรือว่ามหาบพิตรทรงกระทพให้ปรากฏ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ดวงตา หู จมูก ฟัน ของโยมปรากฏอยู่ในวงกระจกนี้
ด้วยโยมกระทำขึ้น "
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นเป็นอันว่ามหาบพิตรได้ควักเอาพระเนตร
ตัดเอาพระกรรณ พระนาสิก และถอนเอาพระทนต์ของมหาบพิตร
เข้าไปไว้ในกระจกแล้ว มหาบพิตรก็เป็นคนตาบอด
ไม่มีพระนาสิกและพระทนต์อย่างนั้นซิ?
"
" ไมใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า
เงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยโยมกระทำขึ้น
ไม่ใช่ว่าเพราะโยมไม่ได้กระทำขึ้น"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ นี้ไปสู่โลกอื่น
ทั้งไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งกระทำ
เป็นของเกิดขึ้นเอง
สัตว์ถือกำเนิดในครรภ์มารดาด้วยกุศลกรรม
อกุศลกรรม ที่ตนกระทำไว้ เพราะอาศัยขันธ์
๕ นี้แหละ จึงเหมือนเงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยการกระทำของมหาบพิตรฉะนั้น
"
" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๗
ถามเรื่องถือกำเนิดในครรภ์มารดา
" ข้าแต่พระนาคเสน
เมื่อสัตว์จะเข้าถือกำเนิดในท้องมารดา
เข้าไปทางทวารไหน ? "
" ขอถวายพระพร ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางทวารไหน
"
" ขอนิมนต์อุปมาด้วย
"
" ขอถวายพระพร หีบแก้วของมหาบพิตรมีอยู่หรือ
? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร ขอจงนึกเข้าไปในหีบแก้วดูซิ
"
" โยมนึกเข้าไปแล้ว
"
" ขอถวายพระพร จิตของมหาบพิตรที่นึกเข้าไปในหีบแก้วนั้น
เข้าไปทางไหน ? "
" ข้าแต่พระนาคเสน
จิตของโยมไม่ปรากฏว่านึกเข้าไปทางไหน"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร สัตว์ที่เข้าไปถือกำเนิดในท้องมารดา
ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางไหนฉะนั้น
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
การที่พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งนี้ได้เป็นอัศจรรย์นักหนา
ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่คงจะประทานอนุโมทนาสาธุการเป็นแน่แท้"
ปัญหาที่
๘
ถามเรื่องโพชฌงค์
๗
" ข้าแต่พระนาคเสน
โพชฌงค์ มีเท่าไร ? "
" ขอถวายพระพร
มี ๗ ประการ "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์เท่าไร? "
" ขอถวายพระพร บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ข้อเดียว
"
" คือข้อไหน พระผู้เป็นเจ้า
? "
" ขอถวายพระพร คือข้อ
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ " ( ใคร่ครวญธรรมะ)
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าอย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์
๗ ไว้ทำไม ? "
" ขอถวายพระพร พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือดาบที่บุคคลสวมไว้ในฝัก
บุคคลไม่ได้ชักออกจากฝัก อาจตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ขาดได้หรือ
? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือบุคคลปราศจาก ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ แล้วาตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์
๖ ไม่ได้"
" ถูกแล้ว พระนาคเสน
"อธิบาย
โพชฌงค์ คือองค์เป็นเครื่องตรัสรู้มี
๗ ประการ ดังนี้
๑. สติ ระลึกนึกไว้เสมอ
๒. ธัมมวิจยะ ใคร่ครวญธรรมะที่เราจะปฏิบัติ
๓. วิริยะ มีความเพียรต่อสู้กับอุปสรรค
๔. ปีติ สร้างความอิ่มเอิบใจให้ปรากฏกับจิต
๕. ปัสสัทธิ ความสงบ คือสงบจากนิวรณ์
หรือสงบจากกิเลส
๖. สมาธิ มีความตั้งใจมั่น
๗. อุเบกขา ทรงอารมณ์เดียวเข้าไว้
ไม่ยอมรับทราบอารมณ์อื่นเข้ามาสนใจ
ปัญหาที่
๙
ถามถึงความมากกว่ากันแห่งบาปและบุญ
" ข้าแต่พระนาคเสน
บุญและบาปข้างไหนมากกว่ากัน ? "
" ขอถวายพระพร บุญมากกว่าบาป
บาปน้อยกว่า "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ทำไมจึงว่าบุญมากกว่า บาปน้อยกว่า? "
" ขอถวายพร บุคคลทำบาปแล้วย่อมร้อนใจในภายหลังว่า
เราได้ทำบาปไว้แล้วเพราะเหตุนั้นบาปก็ไม่ได้มากขึ้น
ส่วนบุญเมื่อบุคคลทำเข้าแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง
มีแต่เกิดปราโมทย์ ปีติ ใจสงบมีความสุข
จิตเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น บุญจึงมากขึ้น ดังมีบุรุษผู้มีมือมีเท้าขาดแล้ว
ได้บูชาพระด้วยดอกบัวเพียงกำเดียว
ก็จักได้เสวยผลถึง ๙๑ กัปด้วยเหตุนี้แหละ
จึงว่าบุญมากกว่า ขอถวายพระพร"
" ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
ปัญหาที่
๑๐
ถามถึงการทำบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้
" ข้าแต่พระนาคเสน
สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป
อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก แต่กระทำบาปด้วยกันทั้งสองคน
ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ? "
" ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
ราชบุตรของโยมหรือราชมหาอำมาตย์คนใดรู้
แต่ทำผิดลงไปโยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ
"
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือสมมุติว่ามีคน
๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง
อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน
? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
คนไม่รู้จับแรงกว่า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือผู้ไม่รู้บาปได้บาปมากกว่า"
" ชอบแล้ว พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๑๑
ถามถึงผู้ที่ไปอุตตรกุรุทวีปและสวรรค์
" ข้าแต่พระนาคเสน
ผู้ไปสู่อุตตรกุรุทวีปหรือพรหมโลก
หรือไม่ทวีปอื่นด้วยกายนี้มีอยู่หรือ
? "
" ขอถวายพระพร มีอยู่
"
" ข้อนี้คืออย่างไร
พระผู้เป็นเจ้า ? "
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระโดดที่แผ่นดินนี้ได้คืบหรือศอก?
"
" อ๋อ...โยมเคยกระโดดได้
๘ ศอก ? "
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรกระโดดอย่างไร...จึงได้ถึง
๘ ศอก ? "
" พอโยมคิดว่าจะกระโดด
กายของโยมก็เบา โยมจึงกระโดดได้ถึง
๘ ศอก "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจทางจิตภาวนา
อธิษฐานจิตแล้ว ก็เหาะไปสู่เวหาสได้"
" ถูกแล้ว พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๑๒
ถามเรื่องกระดูกยาว
" ข้าแต่พระนาคเสน
มีคำกล่าวว่า มีกระดูกยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์ โยมไม่เชื่อเพราะต้นไม้ที่สูงตั้ง
๑๐๐ โยชน์ ก็ยังไม่มี กระดูกที่ไหนจักยาวตั้ง
๑๐๐ โยชน์"
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ทรงสดับหรือไม่ว่า
ปลาในมหาสมุทรตัวยาวตั้ง๕๐๐ โยชน์ มีอยู่?"
" เคยฟัง พระผู้เป็นเจ้า
"
" ถ้าอย่างนั้น กระดูกของปลาที่มีตัวยาวตั้ง
๕๐๐ โยชน์ จักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์มิใช่หรือ ? "
" ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
ปัญหาที่
๑๓
ถามเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ
" ข้าแต่พระนาคเสน
บุคคลอาจทำลมหายใจให้ดับได้หรือ?
"
" ขอถวายพระพร ได้
"
" ได้อย่างไร...พระผู้เป็นเจ้า
? "
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ยินเสียงคนนอนกรนบ้างหรือ?
"
" อ๋อ..เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า"
" ขอถวายพระพร เวลาเขาพลิกกายเสียงกรนเงียบไปไหม
?"
" เงียบไป พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร เสียงกรนนั้นเป็นเสียงของผู้ไม่ได้อบรมกาย
ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต แต่เมื่อพลิกตัวก็ยังหายไป
ส่วนลมหายใจของผู้ได้อบรมกาย
อบรมศีล อบรมจิต เข้าจตุตถฌาน จะไม่ดับหรือ...มหาบพิตร
? "
" ชอบแล้ว พระนาคเสน
"อธิบาย
คำว่า " จตุตถฌาน " ได้แก่
ฌาน ๔ ที่มีลักษณะดับความรู้สึกจากลมหายใจในขณะนั้น
ซึ่งเป็นอาการทั่วไปของผู้ที่เข้าฌาณ
๔ มิใช่ว่าลมหายใจจะดับสิ้นไป
ดังนี้
ปัญหาที่
๑๔
ถามว่าอะไรเป็นสมุทร
" ข้าแต่พระนาคเสน
มีคำกล่าวกันอยู่ว่า " สมุทร ๆ " น้ำหรือชื่อว่าสมุทร
? "
" ขอถวายพระพร น้ำเค็มมีอยู่ในที่เท่าใดที่เท่านั้นแหละ
เรียกว่าสมุทร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
เหตุใดสมุทรจึงมีรสเดียว คือรสเค็ม?
"
" ขอถวายพระพร เพราะมีน้ำขังอยู่นานจึงเค็ม
"
" สมควรแล้ว พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๑๕
ถามเรื่องการตัดสิ่งที่สุขุม
" ข้าแต่พระนาคเสน
บุคคลอาจตัดสิ่งที่สุขุมกว่าสิ่งทั้งหลายได้หรือ?
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
อะไรชื่อว่าเป็นสิ่งสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย"
" ขอถวายพระพร พระธรรม
ชื่อว่าสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย แต่ธรรมะไม่ใช่สุขุมไปทั้งหมด
คือ สุขุมก็มี หยาบก็มี แต่ว่าสิ่งที่ควรตัดด้วยปัญญามีอย่างเดียว
คือ ธรรมะ นอกจากนั้นไม่มี "
" ชอบแล้ว พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๑๖
ถามความวิเศษแห่งปัญญา
" ข้าแต่พระนาคเสน
ปัญญา อยู่ที่ไหน ? "
" ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน
"
" ถ้าอย่างนั้น ปัญญาก็ไม่มีน่ะซิ
"
" ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน
? "
" ลมไม่ได้อยู่ที่ไหน
"
" ถ้าอย่างนั้น ลมก็ไม่มีน่ะซิ
"
" ถูกแล้ว พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๑๗
ถามความต่างกันแห่งวิญญาณเป็นต้น
" ข้าแต่พระนาคเสน
ปัญญา วิญญาณ ชีพในภูต เหล่านี้ มีอรรถะ พยัญชนะต่างกันหรือว่ามีอรรถะอย่างเดียวกัน
มีพยัญชนะต่างกัน ? "
" ขอถวายพระพร
วิญญาณ มีการ รู้สึก เป็นลักษณะ ปัญญา มีการ รู้ทั่ว
เป็นลักษณะ ชีพในภูต คือในผู้ที่เกิดแล้วไม่มี"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าไม่มีชีพเป็นตัวเป็นตน ก็ใครเล่าเห็นรูปด้วยตา
ได้ฟังเสียงด้วยหู สูดกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้มสัมผัสด้วยกาย
รู้จักอารมณ์ด้วยใจ ?"
" ขอถวายพระพร ถ้าชีพเห็นรูปด้วยตาตลอดถึงรู้จักอารมณ์ด้วยใจแล้วเมื่อเปิดตาขึ้น
ชีพนั้นก็ต้องมีหน้าไปข้างนอก ต้องได้เห็นรูปดาวได้ดีเมื่อเปิดหู
จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีพนั้นก็ต้องหันหน้าไปภายนอก
รู้จักอารมณ์ได้ดีอย่างนั้นหรือ ? "
" ไม่ใช่อย่างนั้น
พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น
ชีพก็ไม่มีในภูต "
" ชอบแล้ว พระนาคเสน
"อธิบาย
คำว่า " อรรถะ " คือแปลมีความหมาย
ส่วน " พยัญชนะ" คือแปลตามศัพท์ หรือที่เรียกกันว่า
" แปลยกศัพท์" นั่นเอง
ปัญหาที่
๑๘
ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทำได้ยากของพระพุทธเจ้า
" ข้าแต่พระนาคเสน
สิ่งที่ทำได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำนั้น
ได้แก่อะไร ? "
" ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก
ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง
อันมีอยู่ในจิต เจตสิดอันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า
อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา
อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต "
" ขอนิมนต์อุปมาด้วย
"
" ขอถวายพระพร
เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร
วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา
นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี
นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ
?"
" เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร
การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง
ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า
นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา
นี้เป็นจิต ดังนี้ยิ่งยากกว่านั้น "
" ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
ปัญหาที่
๑๙
พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสได้ปวารณาพระนาคเสน
พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาบพิตรทรงทราบว่า
เวลานี้เป็นเวลาอะไรแล้ว ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
โยมทราบว่าเวลานี้เป็นเวลามัชฌิมยามแล้ว
เพราะคบเพลิงสว่างไสว "
ขณะนั้นพวกเจ้าพนักงานก็นำผ้า
๕ พับมาถวาย ข้าราชการโยนกทั้งหลายก็ทูลขึ้นว่า
" พระภิกษุองค์นี้ฉลาดมาก
เป็นบัณฑิตแท้ พระเจ้าข้า"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" ถูกแล้ว...เธอทั้งหลาย
ถ้ามีอาจารย์อย่างนี้ มีศิษย์อย่างนี้
ไม่ช้าก็ต้องรู้ธรรมะได้ดี "
พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีด้วยการแก้ปัญหาของพระนาคเสน
จึงถวายผ้ากัมพลราคาแสนตำลึงแก่พระนาคเสนแล้วตรัสว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป โยมจะให้จัดอาหารไว้วันละ
๑๐๘ สำรับ สิ่งใดที่สมควรอันมีในพระราชวังนี้
โยมขอปวารณาพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น"
" อย่าเลย มหาบพิตร
อาตมภาพพอมีชีวิตอยู่ได้ก็แล้วกัน"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
โยมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพอมีชีวิตอยู่ได้
ก็แต่ว่าขอพระผู้เป็นเจ้าจงรักษาตัวของพระผู้เป็นเจ้า
และรักษาตัวของโยมไว้
ข้อที่ว่า ขอให้พระผู้เป็นเจ้ารักษาตัวพระผู้เป็นเจ้าไว้นั้น
คืออย่าให้มีผู้ติเตียนได้ว่าพระนาคเสนทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว
ก็ไม่ได้อะไร
ข้อที่ว่า ขอให้รักษาตัวโยมไว้นั้น
คืออย่างไร...คืออย่าให้มีผู้กล่าวได้ว่า
พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ไม่ได้ทรงแสดงอาการเลื่อมใสแต่อย่างใด"
พระเถระจึงตอบว่า
" แล้วแต่พระราชประสงค์
"
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
พญาราชสีห์อันบุคคลขังไว้ในกรงทองย่อมหันหน้าไปภายนอกฉันใดถึงโยมจะอยู่ครองบ้านครองเมือง
ก็หันหน้าไปภายนอกฉันนั้น ถ้าโยมออกไปบรรพชา
ก็จะมีชีวิตอยู่ไม่นาน เพราะศัตรูโยมมีมาก
"แสดงความชื่นชมต่อกัน
ครั้งพระนาคเสนเถระแก้ปัญหาพระเจ้ามิลินท์เสร็จแล้ว
จึงกลับไปสู่สังฆาราม เมื่อพระนาคเสนกลับไปแล้วไม่ช้า
พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงคิดดูว่า
เราได้ถามเป็นอย่างไร
พระผู้เป็นเจ้าแก้เป็นอย่างไร จึงทรงนึกได้ว่า
สิ่งทั้งปวงเราก็ได้ถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็ได้แก้ดีแล้ว
ฝ่ายพระนาคเสนก็นึกอย่างเดียวกันกับพระเจ้ามิลินท์
เช้าขึ้นจึงได้ครองจีวรสะพายบาตรเข้าไปที่พระราชนิเวศน์
แล้วนั่งลงบนอาสนะ
พระเจ้ามิลินท์กราบไหว้แล้ว
จึงตรัสขึ้นว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าคิดว่า โยมได้ถามปัญหาพระนาคเสนแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าย่อมให้ราตรีที่ยังเหลืออยู่
สิ้นไปด้วยความยินดีนั้น ขออย่าเห็นอย่างนี้
"
โยมได้นึกอยู่ตลอดราตรีว่า
การถามของเราเป็นอย่างไร การแก้ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไร
ก็นึกได้ว่า เราถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าแก้ดีแล้ว
พระเถระก็ตอบว่า
" ขอถวายพระพร
ขอมหาบพิตรอย่าคิดว่า อาตมภาพได้แก้ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์แล้ว
มหาบพิตรย่อมทรงบรรทมหลับตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ด้วยความยินดีนั้น
ขออย่าทรงเห็นอย่างนี้
อาตมภาพได้คิดอยู่ตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ว่า
พระเจ้ามิลินท์ถามอะไรแล้ว เราได้แก้อะไรแล้ว
ก็นึกได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ได้ถามสิ่งทั้งปวงแล้ว
เราก็ได้แก้สิ่งทั้งปวงแล้ว "
เป็นอันว่า ปราชญ์ทั้งสองนั้น
ได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อกันและกันอย่างนี้
จบวรรคที่
๗
จบมิลินทปัญหา