ตอนที่ ๑๒
นอกวรรค
โคตมีปัญหาเรื่องถวายผ้าของพระนางโคตมีพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อ พระมหาปชาบดีโคตมี จะถวายผ้าคู่ใหม่แก่พระพุทธเจ้านั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ ขอพระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อพระนางถวายสงฆ์แล้ว ก็จักเป็นอันบูชาแก่เราด้วยบูชาสงฆ์ด้วย ” ดังนี้
โยมจึงขอถามว่า พระตถาคตเจ้าไม่เป็นผู้มีพระคุณหนัก มีพระคุณวิเศษ เป็นผู้ควรแก่ถวายกว่าพระสงฆ์หรือ เพราะว่าผ้าคู่นั้นเป็นผ้าที่พระเจ้าแม่น้าทรงปลูกฝ้ายเอง เก็บเอง ดีดเอง ปั่นเอง กรอเอง ทอเอง
ถ้าพระตถาคตเจ้ามีพระคุณยิ่งกว่าวิเศษกว่าพระสงฆ์แล้ว ก็จะต้องตรัสว่า เมื่อถวายเราก็จักมีผลมาก ต้องไม่ให้ถวายสวฆ์
เพราะเหตุที่พระตถาคตเจ้าไม่ให้ถวายพระองค์ ให้ถวายแก่พระสงฆ์เสียนี้แหละโยมจึงยังสงสัยอยู่ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขให้โยมสิ้นสงสัยเถิด ”
“ พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า ”
“ เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระเจ้าแม่น้า น้อมนำผ้ามาถวาย พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จงถวายสงฆ์ เมื่อถวายสงฆ์แล้วเป็นอันเชื่อว่า บูชาเราด้วย บูชาสงฆ์ด้วย
 ที่ไม่ได้ทรงโปรดให้ถวายพระองค์นั้น ไม่ใช่เพราะพระองค์เป็นผู้ไม่ควรเคารพ หรือไม่ควรถวาย เป็นเพราะทรงเล็งเห็นประโยชน์ในอนาคตว่า
เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จักเป็นที่สักการบูชา เมื่อจะทรงยกย่องคุณของสงฆ์ให้ปรากฏ จึงได้ตรัสว่า ขอพระนางจงถวายสงฆ์ เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันชื่อว่าได้บูชาเราด้วย ได้บูชาสงฆ์ด้วย”อุปมาเหมือนบิดายกย่องบุตร
“ เปรียบเหมือนบิดาเมื่อยังมีชีวีตอยู่ ย่อมยกย่องคุณความดีอันมีอยู่ของบุตร ในที่เฝ้าพระราชาซึ่งประทับในท่ามกลางของหมู่อำมาตย์นายประตู หมู่โยธา ราชบริพาร ทั้งหลายให้ปรากฏ ด้วยคิดว่าต่อไปข้างหน้า บุตรของเราจักได้เป็นที่บูชาของคนทั้งหลาย
ข้อนี้มีอุปมาฉันใด พระตถาคตเจ้าเมื่อจะทรงยกย่องคุณของพระสงฆ์ในปรากฏ ดัวยทรงเล็งเห็นประโยชน์ในอนาคตว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จักเป็นที่บูชาของคนทั้งหลายจึงได้ตรัสว่า
“ จงถวายแก่สงฆ์ เมื่อถวายสงฆ์แล้วจักเป็นอันบูชาเราด้วย บูชาสงฆด้วย ” ฉันนั้น
ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าสงฆ์จะมีคุณยิ่งวิเศษกว่าพระตถาคตเจ้า เพียงด้วยเหตุที่โปรดให้ถวายผ้าเท่านั้น
อีกประการหนึ่ง มารดาบิดาย่อมให้บุตรนุ่งผ้า แต่งตัวให้บุตร อาบน้ำให้บุตรขัดสีให้บุตรเป็นธรรมดา บุตรเป็นผู้ยิ่งกว่าหรือวิเศษกว่ามารดาบิดา ด้วยเหตุเพียงมารดาบิดานุ่งผ้าให้แต่งตัวให้ อาบน้ำให้ ขัดสีให้เท่านั้นหรืออย่างไร ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่บุตรประเสริฐกว่ามารดาบิดาด้วยเหตุเพียงเท่านี้”
“ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่ใช่พระสงฆ์ยิ่งกว่า วิเศษกว่า ด้วยเหตุเพียงโปรดให้ถวายผ้าเท่านั้น แต่เมื่อพระตถาคตเจ้าจะทรงกระทำสิ่งที่ควรกระทำแก่สงฆ์ จึงโปรดให้ถวายผ้าแก่สงฆ์ ”อุปมาเหมือนพระราชา
“ อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่ามีบุรุษคนใดคนหนึ่ง น้อมนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระราชา พระราชาได้พระราชทานเครื่องบรรณาการนั้นแก่ข้าราชการ หรือทหาร หรือปุโรหิต คนใดคนหนึ่ง
ผู้ที่ได้รับพระราชาทานนั้น จะได้ชื่อว่ายิ่งกว่า วิเศษกว่าพระราชา ด้วยเหตุเพียงได้รับพระราชาทานของนั้นเท่านั้นหรืออย่างไร? ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือไม่ใช่พระสงฆ์เป็นผู้ยิ่งกว่า วิเศษกว่า พระตถาคตเจ้า ด้วยการให้ถวายผ้าเท่านั้น
อีกประการหนึ่ง พระสงฆ์ย่อมเกิดจากพระตถาคตเจ้า เมื่อพระตถาคตเจ้าจะตั้งพระสงฆ์ไว้ในตำแหน่งควรบูชาแทนพระพุทธเจ้าจึงได้โปรดให้ถวายผ้า
อีกประการหนึ่ง พระตถาคตเจ้าทรงดำริว่า พระสงฆ์เป็นผู้ควรบูชาอยู่ตามความจริงแล้วไม่ใช่ว่าพระตถาคตเจ้าจะทรงยกย่องพระสงฆ์ว่า เป็นผู้ควรบูชายิ่งกว่าพระองค์
อีกประการหนึ่ง ผู้ใดควรแก่การบูชา พระตถาคตเจ้าก็ทรงสรรเสริญการบูชานั้น
ดูก่อน มหาราชะ มหาบพิตรพระราชสมภาร องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาอื่น เมื่อจะทรงยกย่องข้อปฏิบัติ คือความมักน้อยไว้ ก็ได้ตรัสไวัใน คัมภีร์มัชฌิมนิกาย อันว่าด้วยธรรมทายาทว่า
“ ภิกษุองค์ก่อนโน้น เป็นผู้ควรบูชากว่า ควรสรรเสริญกว่า” ดังนี้ ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งในโลก จะยิ่งกว่า วิเศษกว่า พระตถาคตเจ้า พระตถาคตเจ้าเป็นผู้ควรแก่การถวายทานเป็นผู้เยี่ยม เป็นผู้ยิ่ง ”ภาษิตสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า
ดูก่อนมหาราชะ มีเทวบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า มาณวคามิกะ ได้กล่าวขึ้นในท่ามกลางเทพยดาและมนุษย์ ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าว่า
“ ภูเขาเวปุลลบรรพต เป็นภูเขาประเสริฐกว่าภูเขาทั้งปวง อันมีในแขวงราชคฤห์ ภูเขาเสตบรรพต เป็นภูเขาใหญ่กว่าภูเขาทั้งหลายในป่าหิมพานต์
ดวงอาทิตย์ประเสริฐกว่าสิ่งที่มีในอากาศทั้งสิ้น มหาสมุทรใหญ่กว่าแม่น้ำทั้งหลายดวงจันทร์ดีกว่าดวงดาวทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเลิศกว่ามนุษย์โลกและเทวโลกทั้งสิ้น ” ดังนี้
คำนี้ มาณวคามิกะเทพบุตร ได้กล่าวไว้ถูกต้องดีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว
อนึ่ง พระสารีบุตรเถระ ได้กล่าวไว้ว่า
“ ผู้ถึงสรณะ หรือยกมือไหว้ ด้วยใจเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็อาจช่วยผู้นั้นให้ข้ามพ้นได้” ดังนี้
ส่วนองค์สมเด็จพระชินสีห์ผู้ทรงกำจัดพลมารเสียได้แล้ว ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ก็ได้ตรัสไว้ว่า
“ บุคคลเอก เมื่อจะเกิดขึ้นในโลก ก็เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของโลก บุคคลเอกนั้นได้แก่ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”
ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
“ ดีแล้ว พระนาคเสน โยมขอรับไว้ด้วยดีซึ่งการกล่าวแก้ปัญหาข้อนี้”จบนอกวรรค

 เริ่มมณฑกปัญหา

ลำดับนั้น พระนาคเสนเถระได้กลับสู่สังฆารามอีก พระเจ้ามิลินท์ผู้มีพระวาจาเฉลียวฉลาด ผู้ชอบไต่ถาม ผู้มีความรู้ยิ่ง ผู้เฉียบแหลม ได้เข้าใกล้พระนาคเสน เพื่อให้ความรู้แตกฉาน
เมื่อมีการไต่ถามโต้เถียงกับพระนาคเสนอยู่เนือง ๆ ไม่ขาดสาย ก็มีความรู้แตกฉานชำนาญในพระไตรปิฏก
อยู่มาคืนวันหนึ่งเมื่อทรงรำลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า อันประกอบด้วยองค์ ๙ ก็ได้ทรงเห็น เมณฑกปัญหา (คือปัญหาสองแง่ ) อันเป็นปัญหาที่แก้ไขยาก
ด้วยถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นปริยาย ( คือโดยอ้อม) ก็มี ตรัสไว้โดยอรรถะ ( คือมีความหมายลึกซึ้ง ) ก็มี เป็นคำของพระสาวกก็มีอยู่
ความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นเป็นของรู้ได้ยาก เปรียบเหมือนแพะชนกัน นานไปเบื้องหน้า จะเกิดวิววาทกันในถ้อยคำเหล่านั้น
เราควรจักให้พระนาคเสนเลื่อมใสต่อเราแล้ว ให้กล่าวแก้ซึ่ง เมณฑกปัญหา คือปัญหาอันอุปมาดับแพะชนกันให้แจ้งไว้ ปัญหาที่แก้ยากเหล่านั้น จักมีผู้แก้ได้ตามทางที่พระนาคเสนได้ชี้ไว้ทรงสมาทานวัตรบท ๘
 เมื่อพระเจ้ามิลินทร์ทรงดำริดังนี้แล้วรุ่งเช้าขึ้นก็เสด็จเข้าสู่ที่สระสรง ทรงประดับประดาพระองค์ดีแล้ว ก็ทรงระลึกถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในอดีต อนาคต ปัจจุบัน แล้วทรงสมาทานวัตรบท ๘ ว่า
เราจะประพฤติตบะ จักทำให้อาจารย์ยินดีแล้ว จักถามปัญหา ทรงดำริดังนี้แล้วก็ทรงเปลื้องเครื่องประดับของกษัตริย์ ทรงแต่งพระองค์เป็นมุนี สมาทานคุณธรรมทั้ง ๘ คือ
๑. จักไม่ทรงวินิจฉัยอรรถคดีตลอดถึง ๗ วัน
๒. ไม่ให้เกิดราคะ
๓. ไม่ให้เกิดความโกรธ
๔. ไม่ให้เกิดความหลง
๕. จักนบนอบกระทั่งทารกทาริกาของพวกทาสี
๖. จักรักษากายวาจาให้ดี
๗. จะรักษาอายตนะทั้ง ๖ ให้ดี
๘. จักทำใจมีเมตตา
ครั้นทรงมั่นอยู่ในคุณธรรมทั้ง ๘ นี้ ตลอด ๗ วันแล้ว รุ่งเช้าวันที่ ๘ ก็เสวยพระกระยาหารเช้า แล้วสำรวมพระเนตรเป็นอันดี มีพระวาจาพอประมาณ มีพระอริยาบถอันดี มีพระหฤทัยมั่นคงเบิกบาน แล้วเข้าไปหาพระนาคเสนเถระ กราบไหว้แล้วทรงยืนตรัสว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน โยมมีเรื่องที่จะสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าในป่าที่เงียบสงัดโดยลำพังสองคนไม่มีผู้อื่นปะปน
ป่านั้นต้องเป็นป่าประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นป่าที่สมควรแก่สมณะ เป็นป่าที่สมควรถามปัญหา ในการถามและแก้นั้นไม่ควรให้มีข้อลี้ลับควรให้แจ่มแจ้งทุกข้อ ควรให้เข้าใจได้ด้วยอุปมา
ข้าแต่พระนาคเสน แผ่นดินใหญ่นี้ ย่อมเป็นที่เก็บเป็นที่ซ่อน ซึ่งสิ่งที่ควรเก็บควรซ่อนฉันใด โยมก็สมควรฟังข้อลึกลับ ที่ควรเก็บควรซ่อนไว้ฉันนั้น เมื่อมีข้อควรปรึกษาเกิดขึ้น โยมก็สมควรแก่การปรึกษา ”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว ก็พร้อมกับพระเถระออกไปสู่ป่าใหญ่แห่งหนึ่งแล้วตรัสต่อไปอีกหลายอย่าง
ที่ไม่ควรปรึกษากัน ๘ ประการ
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน บุรุษผู้จะปรึกษาหารือกัน ควรรู้ไว้ว่า ที่ควรงดเว้นมีอยู่ ฌ ๘
คือ ๑. ที่อันไม่สม่ำเสมอ
 ๒. ที่มีภัย
 ๓. ที่มีลมแรง
 ๔. ที่กำบัง
 ๕. ที่ศาลเจ้า
 ๖. ที่ถนนหนทาง
 ๗. ที่ก้าวขึ้นก้าวลง
 ๘. ที่ท่าน้ำ
ที่ทั้ง ๘ นี้ เป็นที่ควรงดเว้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุว่า
เมื่อปรึกษากันในที่ไม่สม่ำเสมอ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่สบาย เรื่องที่ปรึกษาหารือกันก็จะไม่สม่ำเสมอดี
เมื่อปรึกษากันในที่มีภัย ใจก็จะสะดุ้งกลัว จะไม่แลเห็นเหตุผลได้ดี
เมื่อปรึกษากันในที่มีลมแรง เสียงลมพัดตลบบอบไป มิอาจที่จะคิดความหมายนั้นได้
เมื่อปรึกษากันในที่กำบัง ก็จะมีผู้แอบฟัง
เมื่อปรึกษากันที่ศาลเจ้า ของหนัก ๆ ก็จะหักพังลงมา
เมื่อปรึกษากันที่หนทาง ก็จะไม่ได้ความดี เพราะมีคนเดินไปมาสับสน
เมื่อปรึกษากันในที่ขึ้นลง จิตใจก็จะไม่มั่นคง
เมื่อปรึกษากันในที่ท่าน้ำ ก็จะมีผู้รู้แพร่งพราย
เพราะฉะนั้น จึงควรเว้นที่ทั้ง ๘ คือ ที่ไม่สม่ำเสมอ ที่มีภัย ที่มีลมแรง ที่มีกำบัง ที่ศาลเจ้า ที่หนทาง ที่ก้าวขึ้นก้าวลง ที่ท่าน้ำ เหล่านี้เสีย ”
คนที่ไม่ควรปรึกษา ๘ จำพวก
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ทรงแสดงที่ควรเว้น ๘ แห่งดังนี้แล้ว จึงทรงแสดงบุคคลควรเว้นอีก ๘ จำพวกว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลผู้ที่ถูกปรึกษาแล้ว ทำเรื่องให้เสียไปมีอยู่ ฌ ๘ จำพวก คือ
 ๑. คนมีราคะจริต คือหนักในทางราคะ
 ๒. คนโทสะจริต มากด้วยโทสะ
 ๓. คนโมหะจริต มากด้วยความลุ่มหลง
 ๔. คนมานะจริต มากด้วยการถือตัว
 ๕. คนโลภเห็นแต่จะได้
 ๖. คนขี้เกียจ ย่อท้อ อ่อนแอ
 ๗. คนเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว
 ๘. คนพาล คือคนโง่มุทะลุ ”พระนาคเสนจึงถามว่า
“ คนทั้ง ๘ จำพวกนั้น ให้โทษอย่างไร ? ”
“ คนราคะจริต เมื่อปรึกษาด้วยอำนาจราคะ ก็ทำเรื่องที่ปรึกษาให้เสียไป ถึงคนจำพวกอื่นอีก ๗ จำพวกก็เหมือนกัน ”
เพราะฉะนั้น บุคคล ๘ จำพวก คือ คนหนักในราคะ โทสะ โมหะ มานะ โลภะ เกียจคร้าน เห็นแก่ตัว โง่เขลา จึงเรียกว่า “ คนทำให้เสียเรื่องปรึกษา ”
คนที่ปิดความลับไม่ได้ ๙ จำพวก
“ ข้าแต่ดพระนาคเสน บุคคล ๙ จำพวกปิดข้อความอันลี้ลับไว้ไม่ได้ บุคคล ๙ จำพวกนั้น ได้แก่จำพวกไหนบ้าง คือ
 ๑. คนราคะจริต หนักในราคะ
 ๒. คนโทสะจริต มากด้วยโทสะ
 ๓. คนโมหะจริต มากด้วยความหลง
 ๔. คนขี้เกียจ ขี้กลัว
 ๕. คนหนักในอามิส
 ๖. สตรีทั้งปวง
 ๗. นักเลงสุราและนักเลงต่าง ๆ
 ๘. คนชอบแต่งตัว
 ๙. เด็กทั่วไป ทั้งหญิงทั้งชาย ”
พระเถระถามอีกว่า
“ บุคคล ๙ จำพวกนั้น มีโทษอย่างไรบ้าง ”
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
“ บุคคล ๙ จำพวกนั้น จำพวกราคะ ก็ปิดความลับไม่ได้ด้วยอำนาจราคะ คือเมื่อรักใครแล้ว ก็เปิดความลับให้ฟัง
จำพวกโทสะ เมื่อโกรธขึ้นมา ก็พูดความลับโพล่งออกมา
จำพวกโมหะ เมื่อใครพูดดีก็หลงเชื่อแล้วเปิดความลับให้ฟัง
จำพวกขี้ขลาด เมื่อกลัวก็เปิดความลับ
จำพวกหนักในอามิส เมื่อมีผู้ให้อามิสสินจ้าง ก็บอกความลับ
จำพวกสตรี เป็นจำพวกมีปัญญาน้อยเมื่อถูกซักดักหน้าดักหลัง ก็เปิดความลับให้ฟัง
จำพวกนักเลงสุรา เมื่อเมาแล้วก็เปิดความลับง่าย
จำพวกชอบแต่งตัว ก็กังวลอยู่แต่เรื่องแต่งตัว อาจจะเผลอพูดความลับออกมาได้ง่าย
จำพวกทารก ก็มีความคิดยังอ่อนเกินไป ไม่อาจปิดความลับไว้ได้”เหตุให้เจริญความรู้ ๘ ประการ
“ ข้าแต่พระนาคเสน เหตุจะให้ความรู้ดีขึ้นมีอยู่ ฌ๘ ประการ คือ
๑. เจริญด้วยวัยอายุ
๒. ความได้ยศศักดิ์
๓. การชอบการซักไซ้ไต่ถาม
๔. ไม่คบพวกเดียรถีย์
๕. การนึกถูกทาง
๖. การสนทนาเรื่องต่าง ๆ
๗. มากด้วยความรักในเหตุผล
๘. อยู่ในประเทศอันสมควร”
ข้าแต่พระนาคเสน ภูมิภาคนี้ประกอบด้วยองค์ ๘ อีกอย่างหนึ่ง โยมก็เป็นเพื่อนร่วมคิดอย่างเยี่ยมในโลก โลกนี้ยังเป็นไปอยู่ตราบใด โยมยังมีชีวีตอยู่ตราบใด ก็จะรักษาความลับไว้ให้ได้ตราบนั้น
ความรู้ย่อมเจริญขึ้นด้วยเหตุ ๘ อย่างนี้ ศิษย์ผู้ปฏิบัติชอบเหมือนอย่างทุกวันนี้หาได้ยาก ส่วนอาจารย์ก็ควรปฏิบัติชอบให้ประกอบด้วยคุณของอาจารย์ ๒๕ ประการ
คุณของอาจารย์ ๒๕ ประการ
๑. ดูแลศิษย์เนือง ๆ
๒. รู้จักคนที่ควรคบและไม่ควรคบ
๓. รู้ว่าศิษย์ประมาทหรือไม่ประมาท
๔. รู้เวลาที่ศิษย์นอน
๕. รู้เวลาศิษย์เจ็บไข้
๖. รู้ว่าศิษย์ได้อาหารหรือยังไม่ได้
๗. รู้คุณวิเศษต่าง ๆ
๘. รู้จักแจกแบ่งอาหารให้ศิษย์
๙. รู้จักปลอบศิษย์ไม่ให้กลัว
๑๐. สอนให้ศิษย์ประพฤติตามเยี่ยงอย่างคนดี
๑๑. ต้องรู้จักรอบ ๆ บ้าน
๑๒. ต้องรู้จักรอบ ๆ วิหาร
๑๓. ไม่ควรเล่นหัวตลกคะนองกับศิษย์
๑๔. ควรรู้จักอดโทษศิษย์
๑๕. ควรตั้งใจทำดีต่อศิษย์
๑๖. ควรประพฤติให้เป็นระเบียบต่อศิษย์
๑๗. ไม่ควรปิด ๆ บัง ๆ ศิษย์
๑๘. สอนความรู้ให้ศิษย์สิ้นเชิง
๑๙. ควรคิดอยากให้ศิษย์รู้ศิลปะ
๒๐. ควรคิดแต่ทางที่จะให้ศิษย์เจริญ
๒๑. ควรคิดอยากให้ศิษย์ชอบเรียน
๒๒. ควรมีจิตอันเมตตาต่อศิษย์
๒๓. ไม่ควรทิ้งศิษย์เวลามีอันตราย
๒๔. ไม่ควรประมาทกิริยาต่อศิษย์
๒๕. ควรประคองศิษย์ผู้พลั้งพลาด
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คุณของอาจารย์มีอยู่ ๒๕ ประการ ดังที่ว่านี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงประพฤติชอบต่อโยม ด้วยคุณธรรมเหล่านี้ศิษย์ผู้เป็นเช่นโยมนี้หาได้ยาก
ความสงสัยใหญ่ได้มีอยู่แก่โยมเพราะ “ เมณฑกปัญหา ”คือปัญหาอันเปรียบดัวยแพะชนกัน สมเด็จพระภควันต์ได้ทรงแสดงไว้แล้วต่อไปข้างหน้าจักมีการถือผิดกัน ทะเลาะกันในเมณฑกปัญหานั้น
อาจารย์ผู้ถูกปรวาที ( ฝ่ายตรงข้าม ) ไต่ถาม เมื่อรู้ก็จะแก้ได้ จะจำแนกแจกเนื้อความได้ จักทำลายปัญหาที่เป็นข้อเป็นปมออกได้
ต่อไปข้างหน้าพระภิกษุผู้เหมือนกับพระผู้เป็นเจ้าจักหาได้ยาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้จักษุ ให้ปัญหาแก่โยมไว้ เพื่อจะข่มเสียซึ่งคำที่เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนา”
พระนาคเสนเถระรับว่า “ ดีแล้ว มหาบพิตร ” แล้วจึงแสดงคุณแห่งอุบาสก ๑๐ ว่า
“ มหาบพิตร คุณของอุบาสกมีอยู่ ๑๐ ประการ ” คืออะไรบ้าง?
คุณแห่งอุบาสก ๑๐ ประการ
 ๑. เป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์กับพระภิกษุสงฆ์
 ๒. รักษากายวาจาดี
 ๓. ถือธรรมะเป็นใหญ่
 ๔. ยินดีในการจำแนกแจกทาน
 ๕. พยายามเพื่อให้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า
 ๖. เป็นผู้มีความเห็นถูก
๗. เป็นคนเชื่อกรรม
๘. ไม่ถือผู้อื่นว่าดีกว่าพระพุทธเจ้า
๙. ยินดีในความพร้อมเพรียง
๑๐. ไม่เป็นคนลวงโลก มีแต่นับถือพระรัตนตรัยโดยตรง
ขอถวายพระพร คุณของอุบาสกทั้ง ๑๐ นี้ มีอยู่ในมหาบพิตรแล้ว การที่มหาบพิตรเล็งเห็นความเสื่อมเสียแห่งพระพุทธศาสนามุ่งแต่ความเจริญแล้วนั้น เป็นการสมควรแท้
อาตมภาพถวายโอกาสแก่มหาบพิตร ขอมหาบพิตรจงทรงไต่ถามตามพระทัยเถิด”จบตอนเริ่มเมณฑกปัญหา