ตอนที่ ๑๔
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องโปรดให้พระเทวทัตบรรพชา
“ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าพระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณา เป็นผู้แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายอย่างนั้นหรือ ? ”
“ อย่างนั้น มหาบพิตร ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระเทวทัต ใครบวชให้ ขอจงว่าไปตามจริง ? ”
“ ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าทรงบวชให้พร้อมกับ พระภัททิยะ พระอนุรุทธ พระอานนท์ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระอุบาลี ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้ เพราะคฤหัสถ์ หรือ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเรี ทำสังฆเภทไม่ได้ ทำได้แต่เฉพาะภิกษุ ผู้ยังเป็นภิกษุอยู่ตามปกติ ยังร่วมกับสงฆ์ได้อยู่ อยู่ในเสมาอันเดียวกันกับสงฆ์เท่านั้น ”
“ ถูกอย่างนั้น มหาบพิตร พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้ ” พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทำสังฆเภทได้รับกรรมอย่างไร ? ”
“ ขอถวายพระพร ผู้ทำสังฆเภทต้องตกนรกอยู่ตลอด ๑ กัป ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระตถาคตเจ้าทรงทราบหรือไม่ว่า พระเทวทัตบวชแล้วจักทำสังฆเภท แล้วจักไปตกนรกอยู่ตลอดกัป ? ”
“ ขอถวายพระพร ทรงทราบ ”
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าทรงทราบ คำที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาแสวงหาประโยชน์ โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ก็ผิดไป ถ้าไม่ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระสัพพัญญู
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ มีสองแง่ ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขให้สิ้นสงสัย พระภิกษุมีความรู้ดังพระผู้เป็นเจ้า ในภายหน้าโน้นจักหาได้ยาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงกำลังปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไว้ ” ทรงใช้วิธีผ่อนหนักเป็นเบา
“ ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาจริง เป็นพระสัพพัญญูจริงเป็นพระสัพพทัสสาวี คือเห็นทุกสิ่งจริง เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงเล็งดูคติของพระเทวทัตด้วยพระสัพพัญญุตญาณ อันประกอบด้วยพระมหากรุณา ก็ได้ทรงเห็นว่า
พระเทวทัตถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็จักทำบาปกรรมอันจักให้ไปตกนรก เกิดเป็นเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน หลายกัป และทรงทราบว่า กรรมของพระเทวทัตจักไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จักมีสิ้นสุดได้ เมื่อบรรพชาแล้ว ก็จักทำกรรมเพียงให้ตกนรกอยู่ ๑ กัปเท่านั้น ทรงเห็นอย่างนี้ จึงได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยอำนาจพระมหากรุณา”
“ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าทุบตีพระเทวทัตแล้วทาน้ำมันให้ ผลักให้ล้มแล้ว ดึงแขนให้ลุกขึ้นฆ่าแล้วชุบชีวิตให้ เพราะให้ทุกข์ก่อนแล้วจึงให้สุขต่อภายหลัง ” อุปมามารดาบิดาโทษบุตร
“ ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าทรงทำอย่างนั้นจริง ข้อนี้ควรทราบด้วยอุปมา เหมือนมารดาบิดาเฆี่ยนตีบุตรแล้ว ให้ประโยชน์ทีหลังฉันใด พระตถาคตเจ้าก็ทรงทำฉันนั้น
พระเทวทัตถ้าจักไม่ได้บรรพชา ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ก็จักทำบาปกรรม อันจักให้ไปตกนรกอยู่หลายแสนกัป
เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทราบอย่างนี้ จึงได้ทรงพระกรุณาให้บรรพชา ได้ทรงทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบา ด้วยทรงเล็งเห็นว่า เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในศาสนาของเราแล้วทุกข์ก็จักมีที่สิ้นสุด ” อุปมาบุรุษผู้มีอำนาจ
“ มหาราชเจ้า เปรียบประดุจบุรุษผู้มีกำลังทรัพย์ ยศ ศักดิ์ ญาติวงศ์ รู้ว่าญาติหรือมิตรจะต้องได้รับพระราชอาญาหนัก ก็ช่วยให้เบาตามความสามารถของตนฉันใด
สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์อยู่หลายแสนกัป จึงให้บรรพชาช่วยให้หนักเป็นเบา ด้วยอำนาจศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณฉันนั้น ” อุปมาเหมือนหมอผ่าตัด
“ อีกอย่างหนึ่ง หมอผ่าตัดย่อมตัดโรคที่หนัก ๆ ออกเสียทำให้เบาลง ด้วยอำนาจยาอันแรงกล้าฉันใด
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์อยู่หลายแสนกัป จึงโปรดให้บรรพชาทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบาด้วยกำลังยา คือพระธรรม อันประกอบด้วยพระมหากรุณาฉันนั้น
ขอถวายพระพร เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทำพระเทวทัตผู้จะได้รับทุกข์มาก ให้ได้รับทุกข์น้อย จะได้บาปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ ? ”
“ ไม่ได้บาปอย่างใดเลย พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร เหตุการณ์ข้อนี้ มหาบพิตรจงรับไว้ตามความจริงว่า พระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา เพราะทรงพระมหากรุณาแท้ ๆ ” อุปมาเหมือนผู้จับโจร
“ อีกประการหนึ่ง เมื่อมีผู้จับโจรมาถวายพระราชาให้ลงพระราชอาญา พระราชาก็ตรัสสั่งให้นำไปตัดศีรษะ แต่มีผู้ที่ได้รับพรจากพระราชาทูลขอชีวิตไว้ ให้ตัดเพียงมือและเท้าเท่านั้นผู้ที่ขอชีวิตไว้นั้น จะได้บาปอย่างไรหรือ ? ”
“ ไม่ได้บาปอย่างไรเลย พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าทรงพระกรุณาให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยทรงพิจารณาเห็นว่า
เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาแล้ว กรรมของพระเทวทัตก็จักมีที่สิ้นสุด ในเวลาที่พระเทวทัตจะถึงมรณะ ก็ได้เปล่งวาจานับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยคำว่า
“ ข้าพเจ้าขอนับถือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลอันล้ำเลิศ ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้ฝึกฝนบุคคลที่ควรฝึกฝน ผู้มีพระจักษุรอบพระองค์ ผู้มีลัษณะแห่งบุญอันคูณด้วย ๑๐๐ ด้วยกระดูกของข้าพเจ้า ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีก ” ดังนี้ ” ด้วยอานิสงฆ์เพียงเท่านี้
“ ขอถวายพระพร กัปที่ยังเหลืออยู่นี้ แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน พระเทวทัตได้ทำสังฆเภทให้ส่วนแรก จักไปตกนรกอยู่ตลอด ๕ ส่วนพ้นจากนรกแล้ว จักได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “อัฏฐิสสระ” ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ได้ชื่อว่าทรงทำสิ่งที่ควรทำต่อพระเทวทัตแล้วหรือ ? ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ชื่อว่าทรงประทานสิ่งทั้งปวงแก่พระเทวทัตแล้ว ข้อที่พระตถาคตเจ้าได้ทรงทำให้พระเทวทัต ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ชื่อว่าได้ทรงทำสิ่งทั้งปวงให้พระเทวทัตแล้ว ไม่มีอะไรที่จะได้ชื่อว่า ไม่ได้ทรงกระทำ ”
“ ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าจะได้บาป เพราะเหตุที่พระเทวทัตทำสัฆเภทแล้วไปทนทุกข์อยู่ในนรกบ้างหรือ ? ”
“ เปล่าเลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระเทวทัตไปตกนรกด้วยกรรมของพระเทวทัตเอง พระพุทธเจ้าจะได้บาปมาแต่ไหน ”
“ ขอถวายพระพร แม้เหตุการณ์ดังนี้ ก็ขอมหาบพิตรจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าได้ให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้ ” อุปมามารดาบิดาผู้ให้กำเนิด
“ ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือมารดาบิดาทำให้บุตรเกิดขึ้นมาแล้ว ก็กำจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เสีย มีแต่ทำให้เป็นประโยชน์ ทำให้บุตรเติบโตขึ้น
แต่เมื่อบุตรเติบโตขึ้นแล้ว บุตรก็ได้ทำบาปกรรมไว้ มารดาบิดาจะพลอยได้รับบาปกรรม ที่บุตรกระทำนั้นหรือไม่ ? ”
“ ไม่ได้รับเลย พระผู้เป็นเจ้า มารดาบิดาผู้เลี้ยงบุตรให้เติบโตขึ้นนั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการคุณมากแท้ แต่บุตรจักได้รับโทษแห่งบาปกรรมที่เขาทำด้วยตนเองต่างหาก ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าก็เสมอกับมารดาบิดา ที่ได้ให้พระเทวทัตบรรพชา ก็เพราะทรงพระมหากรุณา เหตุอันนี้ขอจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้ ” อุปมาหมอรักษาแผล
“ ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเหมือนอย่างว่าหมอผ่าตัดจะรักษาแผล อันเต็มด้วยบุพโลหิต มีรูอยู่ข้างใน มีลูกศรฝังอยู่ อันเป็นที่ไหลออกแห่งของเปื่อยเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้ง
ต้องชำระล้างปากแผลด้วยยาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อน ทำให้ปากแผลอ่อนดีแล้ว จึงตัดด้วยมีดแล้วจี้ด้วยซี่เหล็กแดง แล้วราดด้วยน้ำด่างอันแสบเค็ม แล้วทายา แล้วเนื้อที่แผลก็งอกขึ้น แผลก็หายเป็นลำดับไป
จึงขอถามมหาบพิตรว่า จะว่าแพทย์ผ่าตัดนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรืออย่างไร ?”
“ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า แพทย์ผ่าตัดนั้น เป็นผู้มีจิตเมตตาแท้ทีเดียว ”
“ ขอถวายพระพร ทุกขเวทนาอันเกิดแก่ผู้บาดเจ็บนั้น ด้วยการรักษาของหมอมีอยู่ หมอนั้นจะได้บาปอย่างไรหรือไม่ ? ”
“ ไม่ได้บาปอย่างใดเลย ผู้เป็นเจ้า มีแต่จะได้บุญไปสวรรค์ ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยทรงพระมหากรุณา เพื่อจะปลดเปลื้องพระเทวทัตให้พ้นทุกข์ จึงไม่ได้บาปอะไร ” อุปมาผู้ถูกหนามตำที่เท่า
“ ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเปรียบประดุจบุรุษคนหนึ่งถูกหนามปักเข้าไปที่เท้า หรือโดนหลักตอ
มีบุรุษอีกคนหนึ่งมุ่งจะให้บุรุษนั้นสุขสบาย จึงบ่งด้วยหนามอันแหลม หรือด้วยมีดแหลม ๆ แล้วชักหนามหรือตอนั้นออก ทั้งที่มีโลหิตไหลอยู่ จะว่าบุรุษผู้ชักหนามหรือตอออกนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรือ ? ”
“ ว่าไม่ได้เลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะบุรุษนั้นมุ่งให้มีความสวัสดีแท้ ๆ ถ้าเขาไม่ช่วยนำหนามหรือตอนั้นออก บุรุษนั้นก็จะต้องถึงซึ่งความตาย หรือถึงซึ่งทุกข์แทบประดาตาย ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถ้าพระพุทธเจ้าไม่โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา พระเทวทัตก็จะต้องไปไหม้อยู่ในนรกหลายแสนกัป ”
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงช่วยพระเทวทัต ผู้ไหลไปตามกระแสน้ำ ให้ไหลทวนขึ้นมาเหนือน้ำ ผู้ถึงซึ่งความวิบัติให้ถึงซึ่งความเจริญ ผู้ตกไปในเหว ให้ขึ้นจากเหว ผู้เดินทางผิด ให้มาเดินทางถูก
ข้าแต่พระนาคเสน เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีบรรพชิตอื่นจะชี้บอกให้เห็นได้ นอกจากผู้มีความรู้ดี ดังพระผู้เป็นเจ้านี้เท่านั้น ” ฎีกามิลินท์
ข้อที่ว่า “ พระเทวทัตจักไปตกนรกอยู่หลายแสนกัปนั้น ” คือถ้าพระเทวทัตไม่ได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา ก็จักเป็นมิจฉาทำฎฐิอันมีโทษหนักยิ่งกว่าสังฆเภท เพราะมิจฉาทิฎฐินั้น ต้องตกนรกอยู่หลายแสนกัป
ยิ่งเป็นอัจจันตมิจฉาทิฎฐิ คือเป็นมิจฉาทิฎฐิอย่างหนักด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่มีกำหนดว่าจะพ้นจากนรกเมื่อใด จักเป็นหลักตออยู่ในนรกหากำหนดมิได้
คำว่า “ พระเทวทัตทำสังฆเภทแล้วไปตกนรกอยู่ตลอด ๑ กัปนั้น ” หมายถึง อันตรกัป คือกัปในระหว่างกัปใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่หมายเอาตลอดกัปใหญ่ ( กัปหนึ่ง ๆ แบ่งเป็น ๖๔ อันตรกัป )
เมื่อพระนาคเสนเถระแก้ปัญหาข้อนี้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ก็มีเทวดาตั้งแต่ภุมเทวดาขึ้นไปจนถึงชั้นอกนิฎฐพรหมโลก (พรหมชั้น ๑๖ ) เปล่งเสียงสาธุการ ดอกไม้ทิพย์ในสวรรค์ก็ตกลงมาบูชา
พระเจ้ามิลินท์กับข้าราชบริพารทั้งหลายพร้อมกันประนมมือสาธุการ สรรเสริญว่ายกพระสารีบุตรเถระเสียแล้ว ไม่มีผู้อื่นจะมีปัญญาเสมอเหมือนพระนาคเสน
เมื่อพระนาคเสนกลับไปแล้ว พระเจ้ามิลินท์ก็สร้างวัดถวาย ชื่อว่า “ มิลิทรวิหาร ” แล้วถวายปัจจัย ๔ แก่พระภิกษุทั้งหลายทุกวันไป ปัญหาที่ ๔ ถามถึงเหตุให้แผ่นดินไหว
พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นคำขาดว่า “ เหตุปัจจัยที่จะทำให้แผ่นดินไหวใหญ่นั้นมีอยู่ ๘ ประการเท่านั้น ไม่มีถึง ๙ ถ้าคำนั้นจริงแล้ว คำที่ว่า แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของ พระเวสสันดร ” นั้นก็ผิด
ถ้าว่าคำที่ว่า “ แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของพระเวสสันดร ” นั้นถูก คำที่ว่า “ เหตุให้แผ่นดินไหวใหญ่มีเพียง ๘ อย่างเท่านั้น ” ก็ผิด เพราะว่าการให้ทานไม่นับเข้าในเหตุอย่างหนึ่ง ในเหตุ ๘ อย่างที่แผ่นดินไหวนั้น
เพราะฉะนั้น ปัญหาข้อนี้จึงเป็นอุภโตโกฏิมีสองง่ามสองแง่ เป็นปัญหาละเอียด เป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาชี้ให้เห็นได้ว่า เป็นปัญหาที่ให้เกิดความมืด แต่ปัญหานี้ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีจักษุญาณแล้ว ผู้อื่นนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ ”
พระนาคเสนจึงตอบว่า
“ ขอถวายพระพร คำทั้งสองนี้จริงทั้งนั้นคือคำที่ว่า “ เหตุให้แผ่นดินไหวใหญ่มีอยู่ ๘ ” ก็เป็นของจริง คำที่ว่า “ แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะมหาทานของ พระเวสสันดร ” ก็เป็นของจริง ไม่ใช่ของเหลาะแหละ ” อุปมาเมฆนอกฤดูกาล
“ ขอถวายพระพร ในโลกนี้มีเมฆอยู่เพียง ๓ ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อนเท่านั้น ถ้าเมฆอื่นนอกจาก ๓ ฤดูนั้น จะทำให้ฝนตกลงมา เมฆนั้นก็ไม่นับเข้ากับเมฆที่คนทั้งหลายรู้กัน เรียกว่า “ อกาลเมฆ ” ฉันใด
การที่แผ่นดินใหญ่ไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยอำนาจมหาทานของพระเวสสันดร ก็เป็น “ อกาลกัมปนัง ” คือแผ่นดินไหวนอกจากเหตุ ๘ ประการ ฉันนั้น ” อุปมาด้วยแม่น้ำ
“ นที ๕ สายย่อมไหลมาจากภูเขาหิมพานต์อีก ๑๐ นที คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ สินธุ สตธู วิชา ปิปาสิ จันทภาคี ก็นับรวมเข้าในคำว่า “ นที ” นทีนอกนั้นไม่นับเข้าในนที เพราะไม่มีน้ำประจำอยู่เป็นนิจฉันใด
การที่แผ่นดินใหญ่ไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยอำนาจมหาทานของพระเวสสันดรนั้น ก็ไม่นับเข้าในเหตุ ๘ อย่าง เพราะว่าไม่ใช่เหตุที่จะให้แผ่นดินไหวเสมอไปฉันนั้น ” อุปมาหมู่เสนาอำมาตย์
“ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าอำมาตย์ของพระราชามีอยู่ ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ ก็ดี ก็นับเข้าในหมู่อำมาตย์เพียง ๖ คน เท่านั้น อำมาตย์ ๖ คนนั้น คือ
เสนาบดี ๑ ปุโรหิต ๑ ผู้ตัดสินถ้อยความ ๑ ผู้รักษาพระราชทรัพย์ ๑ ผู้กั้นเศวตฉัตร ๑ ผู้ถือพระขรรค์ ๑ เท่านั้น นอกจาก ๖ คนนี้ไม่นับเข้าว่าเป็นอำมาตย์
ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การที่แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของพระเวสสันดรนั้นก็ไม่นับเข้าในเหตุ ๘ อย่างฉันนั้น ”
ผู้ได้รับผลบุญเห็นทันตา ๗ คน
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า ผู้ที่ทำบุญในพระพุทธศาสนานี้แล้ว ได้รับผลบุญเห็นทันตา มีกิตติศัพท์ลือชาและยศศักดิ์ ปรากฏไปในเทพยดาและมนุษย์ ? ”
“ เคยได้ฟัง พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร บุคคลเหล่านั้นมีอยู่กีคน ? ”
“ มีอยู่ ๗ คน พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร คือใครบ้าง ? ”
“ คือ นายสุมนมาลาการ ๑ พราหมณ์เอกสาฏก ๑ ลูกจ้างชื่อว่า นายปุณะ ๑ พระนางมัลลิกาเทวี ๑ พระนางโคปาลมาตาเทวี ๑ นางสุปิยาอุบาสิกา ๑ นางปุทาสี ๑ รวมเป็น ๗ คนเท่านี้แหละ พระผู้เป็นเจ้า ”
ผู้ที่ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ๗ คน
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับมาหรือไม่ว่า ผู้ที่ได้ทำความดีไว้ในพระพุทธศาสนาก่อน ๆ โน้น ได้ไปสวรรค์ทั้งเป็นไปด้วยรูปร่างมนุษย์มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ได้แก่ใคร...มหาพิตร ? ”
“ ได้แก่ โคตติลคันธัพพราชา ๑ สาธินราชา ๑ เนมิราชา ๑ มันธาตุราชา ๑ ทั้ง ๔ คนนี้ ได้ขึ้นไปดาวดึงส์สวรรค์ทั้งเป็น เพราะคนเหล่านั้น ได้ทำความดีไว้นานแล้ว ”
ทานของผู้อื่นไม่เป็น
เหตุให้แผ่นดินไหว
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า ผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ ให้ทานอยู่ในอดีตกาล หรือในปัจจุบันกาล ทำให้แผ่นดินใหญ่นี้ไหวครั้งหนึ่ง หรือสองสามครั้ง ? ”
“ ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร อาตมาภาพผู้มีอาคมคือพระปริยัติธรรม และอธิคม คือมรรคผลกับการสดับฟังพระปริยัติ การเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า การฟังดี การไต่ถาม การอยู่ร่วมกับอาจารย์ การปฏิบัติอาจารย์ ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า
เมื่อผู้อื่นให้ทานได้เกิดแผ่นดินไหวเพียงครั้งเดียว หรือ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง นอกจากการให้ทานของพระเวสสันดรเท่านั้น ” อุปมาด้วยเกวียน
“ ขอถวายพระพร ในระหว่างพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า กับ พระกัสสปพุทธเจ้านั้น ล่วงมาแล้วหลายโกฏิปีในระหว่างนั้นก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ถึงเลือกค้นดูก็ไม่เห็นว่าผู้อื่นให้ทานทำให้แผ่นดินไหว
แผ่นดินอันใหญ่นี้ไม่ไหวด้วยความความเพียรเท่านั้น ด้วยความบากบั่นเพียงเท่านั้นแผ่นดินอันใหญ่หนักด้วยของหนัก คือคุณความดีของบุคคล จนไม่อาจรับไว้ได้ จึงสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว
เกวียนที่บรรทุกหนักเกินไป จนดุมเกวียนกำเกวียน กงเกวียนทนไม่ไหว เพลาเกวียนก็หักฉันใด แผ่นดินอันใหญ่อันหนักด้วยคุณความดีของบุคคล จนไม่อาจรับไว้ได้จึงไหวฉันนั้น ” อุปมาด้วยท้องฟ้า
“ อีกประการหนึ่ง ท้องฟ้าอันปกคลุมด้วยก้อนเมฆ หนักด้วยก้อนเมฆ มีลมพัดแรงเกินไป ก็มีเสียงดังกึกก้องฉันใด แผ่นดินใหญ่ เมื่อไม่อาจทรงของหนัก คือความไพบูลย์แห่งกำลังทานของพระเวสสันดรจึงไหวฉันนั้น
เพราะว่าพระหฤทัยของพระเวสสันดรนั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยอำนาจราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ความโกรธ ความริษยา อย่างใดเลย เป็นไปมากด้วยอำนาจแห่งทานอย่างเดียวเท่านั้น
คือพระเวสสันดรคิดอยู่ว่า พวกยาจกที่ยังไม่มาก็ขอให้มา ที่มาแล้วก็ขอให้ได้ตามประสงค์ ได้แล้วขอให้มาอีก ”
คุณธรรมของพระเวสสันดร
“ พระเวสสันดรนั้น มีพระหฤทัยมั่นอยู่ในธรรม ๑๐ ประการ คือ ความฝึกใจ ๑ ความสำรวม ๑ ความอดทน ๑ ความระวัง ๑ ความแน่นอน ๑ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑ ความจริง ๑ ความสะอาดใจ ๑ ความเมตตา ๑
พระเวสสันดรนั้น ได้ละการแสวงหากามารมณ์เสียแล้ว ระงับการแสวงหาภพเสียแล้ว มุ่งแต่การแสวงหาพรหมจรรย์เท่านั้น
พระเวสสันดรนั้น สละการรักษาตัวเสียแล้ว มุ่งแต่รักษาผู้อื่นทุกเวลาว่า ทำอย่างไรหนอ สัตว์บุคคลทั้งสิ้นจึงจะพร้อมเพรียงกันจึงจักไม่มีโรค จึงจักมีทรัพย์ จึงจักมีอายุยืน
พระเวสสันดรนั้น ไม่ได้ทรงให้ทานเพราะปรารถนาภพ หรือทรัพย์ หรือการตอบแทน การสรรเสริญ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ บุตร ชีวีต แต่อย่างใดเลย พระองค์ทรงมุ่งแต่ “ พระสัพพัญญุตญาณ ” เท่านั้น
ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า
“ เมื่อเราให้ทานบุตรธิดา คือ ชาลีกัหาและเทวี คือพระนางมัทรี เราไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เรามุ่งต่อพระโพธิญาณอย่างเดียวเท่านั้น ” ดังนี้
พระเวสสันดรนั้น ชนะคนโกรธด้วย ความไม่โกรธ ชนะคนไม่ดีด้วยความดี ชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ ชนะคนเหลาะแหละด้วยความจริง ชนะอกุศลทั้งปวงด้วยกุศล ”
เหตุอัศจรรย์เพราะมหาทาน
“ เมื่อพระเวสสันดรให้ทานอยู่อย่างนั้นลมใหญ่ภายใต้ก็ไหว เมื่อลมใหญ่ภายใต้ไหวน้ำที่อยู่บนลมก็ไหว เมื่อน้ำไหว หินที่อยู่บนน้ำก็ไหว เมื่อหินที่อยู่บนน้ำไหว แผ่นดินใหญ่นี้ก็ไหว
ครั้งนั้น พวกอสูร ครุฑ นาค ยักษ์ทั้งหลาย ที่มีฤทธิ์มีเดชน้อย ก็สะดุ้งตกใจกลัวว่า แผ่นดินไหวใหญ่เพราะอะไร ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการให้ทานของพระเวสสันดรต่อเมื่อไมได้ยินเสียงป่าวร้องสาธุการของเทพยดาทั้งหลายจึงรู้
เป็นอันว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนหิน หินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม เมื่อลมข้างล่างไหว ก็ไหวเป็นลำดับขึ้นมาจนถึงแผ่นดินใหญ่ ดังนี้ ” อุปมาเหมือนแก้วต่าง ๆ
“ ขอถวายพระพร แก้วต่าง ๆ ย่อมมีอยู่ที่พื้นดินเป็นอันมาก คือ แก้วอินทนิล แก้วมหานิล แก้วโชติรส แก้วไพฑูรย์ แก้วอุมมารบุปผา แก้วมโนห์รา แก้วสุริยกันต์ แก้วจันทกันต์ แก้ววิเชียร แก้วกโชปักมกะ แก้วบุษราคัม แก้วแดง แก้วลาย
แก้วมณีของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมแผ่รัศมีไปข้างละ ๑ โยชน์โดยรอบฉันใดทานที่มีอยู่ทั้งสิ้น มี อสทิสทาน เป็นอย่างเยี่ยม ก็สู้มหาทานของพระเวสสันดรไม่ได้ฉันนั้น
เมื่อพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญมหาทานอยู่ แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง ๗ ครั้ง ขอมหาบพิตรจงทรงพระสวนาการฟังให้เข้าพระทัยในกาลบัดนี้ ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาที่ลี้ลับลึกซึ้ง พระผู้เป็นเจ้าก็ได้คลี่คลายขยายออกแล้ว ได้ทำให้ตื้นแล้ว ได้ทำลายข้อที่ฟั่นเฝือได้สิ้นแล้ว ” บทผนวก
การสนทนาได้ยุติลงเพียงแค่นี้ เรื่องแผ่นดินไหวนี้ พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ใน พรหมชาลสูตร ผู้เรียบเรียบขอนำให้ทราบได้ดังนี้
“ ...พึงทราบแผ่นดินไหวด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ
๑. ธาตุกำเริบ ( ไหวตามธรรมชาติ )
๒. อาตุภาพของผู้มีฤทธิ์
๓. พระโพธิสัตว์ก้าวลงสู่พระครรภ์
๔. เสด็จออกจากครรภ์พระมารดา
๕. บรรลุพระสัมโพธิญาณ
๖. ทรงแสดงพระธรรมจักร
๗. ทรงปลงอายุสังขาร
๘. เสด็จดับขันธปรินิพพาน ”
ข้าพเจ้า ( พระพุทธโฆษาจารย์ ) จักกล่าวในคราววรรณนาพระบาลี ที่มาใน มหาปรินิพพานสูตร อย่างนี้ว่า
“ ดูก่อนอานนท์ เหตุปัจจัย ๘ เหล่านี้แลที่ให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ดังนี้เทียว แผ่นดินใหญ่นี้ได้ไหวในฐานะ ๘ แม้อื่น คือ
๑. คราวเสด็จมหาภิเนษกรมณ์
๒. คราวเสด็จเข้าสู่โพธิมัณฑสถาน
๓. คราวรับผ้าบังสุกุล
๔. คราวซักผ้าบังสุกุล
๕. คราวแสดงกาลามสูตร
๖. คราวแสดงโคตมกสูตร
๗. คราวแสดงเวสสันดรชาดก
๘. คราวแสดงพรหมชาลสูตรนี้
ใน ๘ คราวนั้น คราวเสด็จมหาภิเนษกรมณ์ และ คราวเสด็จเข้าสู่โพธิมัณฑสถาน แผ่นดินได้ไหวด้วยกำลังแห่งพระวิริยะ
คราวรับผ้าบังสุกุล แผ่นดินถูกกำลังความอัศจรรย์กระทบแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละมหาทวีป ๔ อันมีทวีป ๒ พันเป็นบิรวารออกผนวชไปสู่ป่าช้าถือเอาผ้าบังสุกุล ได้ทรงกระทำกรรมที่ทำได้ยาก ดังนี้
ได้ไหวแล้ว คราวซักผ้าบังสุกุล และ คราวแสดงเวสสันดรชาดก แผ่นดินได้ไหวด้วยคราวไหวมิใช่กาล
คราวแสดงกาลามสูตร และ คราวแสดงโคตมกสูตร แผ่นดินได้ไหวด้วยความเป็นสักขีว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นสักขี ”
แต่คราวแสดงพรหมชาลสูตรนี้ เมื่อทรงแสดงสะสางคลี่คลายทิฏฐิ ๖๒ ประการอยู่พึงทราบว่า ได้ไหวด้วยอำนาจถวายสาธุการ เหตุแผ่นดินไหว หลังพุทธปรินิพพาน
อนึ่ง มิใช่แต่ในฐานะเหล่านี้อย่างเดียวเท่านั้นที่แผ่นดินไหว ที่จริงแผ่นดินไหวแล้วแม้ในคราวสังคายนาทั้ง ๓ ครั้ง
แม้ในวันที่ พระมหินทเถระ มาสู่ทวีปนี้ ( มาลังกาหลังสังคายนาครั้งที่ ๓ ) นั่งแสดงธรรมในชาติวัน และเมื่อ พระบิณฑาปาติยเถระ กวาดลานพระเจดีย์ในกัลยาณีวิหาร แล้วนั่งที่ลานพระเจดีย์นั้นแหละ ยึดปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เริ่มสวดพระสูตรนี้ ( พรหมชาลสูตร ) แผ่นดินได้ไหวไปถึงน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด
มีสถานที่ชื่อ “ อัมพลัฏฐิกะ ” อยู่ด้านทิศตะวันออกของโลหปราสาท พระเถระผู้กล่าวคัมภีร์ทีฆนิกาย นั่งอยู่ในสถานที่นั้น เริ่มสวดพรหมชาลสูตร แม้ในเวลาที่พระเถระเหล่านั้นสวดจบ แผ่นดินก็ได้ไหวไปถึงน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุดเหมือนกันดังนี้แล...”
( เหตุให้แผ่นดินไหวในคราวสังคายนา ๓ ครั้งนั้ เกิดที่ประเทศอินเดีย นอกจากนั้นเป็นเหตุเกิดที่ประเทศลังกาทั้งสิ้น )