ตอนที่
๑๕
เมื่อตอนที่แล้วท่านได้ยกตังอย่า
ผู้ที่รับผลบุญเห็นทันตา ๗ คน คือ
นายยสุมนมาลาการ
๑ พราหมณ์เอกสาฏก ๑ นายปุณณะ ๑ พระนางมัลลิกาเทวี
๑ พระนางโคปาลมาตาเทวี ๑ นางสุปิยอุบาสิกา
๑ นางปุณณทาสี ๑
ในตอนนี้จึงขอนำเรื่องราวที่มีในพระสูตรมาให้ทราบประวัติแต่เพียงโดยย่อ
เอาเฉพาะบางท่านเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังบ้างแล้ว
จึงขอเริ่มท่านแรกกันเลย...นายสุมนมาลาการ
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปรารภนายสุมนมาลาการ
ผู้เก็บดอกมะลิไปถวายพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน
วันหนึ่งเขาได้พบพระศาสดาทรงเปล่าฉัพพรรณรังสีรัศมี
๖ ประการ เสด็จเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต
พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร
เขาจึงมีจิตยินดีเลื่อมใส
ได้ตัดสินใจเอาดอกมะลิที่ตนจะต้องนำไปถวายพระราชา
ด้วยคิดว่า เมื่อพระราชาไม่ทรงได้ดอกไม้
จะทรงฆ่าเราหรือขับไล่เสียจากแว่นแคว้น
เราก็ยอมทุกอย่าง
เมื่อคิดดังนี้แล้ว
จึงได้ยอมสละชีวิตของตนเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
เขาได้ซัดดอกมะลิทีละ ๒ กำ ขึ้นไปเบื้องบนแห่งพระตถาคต
ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์ ดอกมะลิทั้ง ๘ กำ ๘ ทะนาน
ได้ลอยเป็นตาข่ายแวดล้อมพระพุทธเจ้าทั้ง
๔ ด้าน
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบก็เลื่อมใส
ได้พระราชทานสมบัติเป็นอันมากแก่นายสุมนมาลาการนั้น
พระบรมศาสดาจึงตรัสพยากรณ์ด้วยเหตุนี้ว่า
อานนท์ เธออย่าได้กำหนดว่า
การกระทำนี้มีประมาณเล็กน้อย การที่นายมาลาการได้สละชีวิตกระทำการบูชา
ด้วยความเลื่อมใสในเราแล้ว จักดำรงอยู่ในเทวดาและมนุษย์
จักไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป ภายหลังเขาจักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
นามว่า สุมนะพระนางมัลลิกาเทวี
ในกรุงสาวัตถึมีธิดาช่างดอกไม้ผู้ใหญ่คนหนึ่ง
เป็นผู้มีรูปร่างสวยงามยิ่ง เป็นผู้มีบุญมาก
มีอายุ ๑๖ ปี
อยู่มาวันหนึ่ง
ธิดาของช่างดอกไม้นั้นเอาขนมถั่วใส่ลงกระเช้าดอกไม้
ออกไปที่สวนดอกไม้ ก็ได้พบองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากับทั้งพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปบิณบาตในพระนครก็ดีใจ
จึงเอาขนมเหล่านั้นใส่ลงในบาตรของพระศาสดา
ไหว้แล้วก็เกิดปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
แล้วยืนอยู่
เมื่อสมเด็จพระบรมครูทอดพระเนตรดูแล้วก็ทรงยิ้ม
เวลาพระอานนท์ทูลถามถึงเหตุที่ทรงยิ้ม
ก็ตรัสว่า
อานนท์ กุมาริกานี้จักได้เป็นอัครมเหสีของพระราชาโกศลในวันนี้
ด้วยผลที่ถวายขนมถั่ว ดังนี้แล้วก็เสด็จไป
ฝ่ายธิดาช่างดอกไม้นั้น
ไปถึงสวนดอกไม้แล้ว ก็ร้องเพลงเก็บดอกไม้
ในวันนั้นเอง พระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ทรงสู้รบกับพระเจ้าอชาตศัตรู
เวลาพ่ายแพ้ก็เสด็จหนีขึ้นทรงม้าเสด็จมา
ได้ทรงสดับเสียงร้องเพลงแห่งกุมาริกานั้น
ก็มีพระหฤทัยปฏิพัทธิ์
พระบาทท้าวเธอจึงเสด็จไปที่สวนดอกไม้ทรงทราบว่ากุมาริกานั้นยังไม่มีสามี
จึงโปรดให้ขึ้นนั่งบนหลังม้า ห้อมล้อมด้วยพลนิกายเสด็จเข้าสู่พระนคร
แล้วโปรดให้ส่งกุมาริกานั้นกลับไปสู่เรือนตระกูล
พอถึงเวลาเย็นก็โปรดให้รับมาด้วยสักการะใหญ่
อภิเษกบนกองแก้วแล้วตั้งให้เป็นพระอัครมเหสี
พระนางมัลลิกานั้น
ได้เป็นที่โปรดปรานของพระราชา เป็นที่คุ้นเคยกระทั่งพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ปรากฏพระนามว่า พระนางมัลลิกาเทวี ดังนี้พระนางโคปาลมาตาเทวี
ในครั้งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่โน้น
มีนิคมหนึ่งชื่อว่า นาลินิคม ที่นิคมนั้นมีธิดาเศรษฐีอยู่
๒ คน คนหนึ่งเมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้วก็ยากจน
จึงได้อาศัยอยู่กับพี่เลี้ยง แต่มีร่างกายสวยดี
มีผมยาวกว่าสตรีอื่น
อีกคนหนึ่งเป็นยังมั่งมีอยู่
แต่เป็นคนมีผมน้อย ได้เคยให้สาวใช้ไปขอซื้อผมของธิดาเศรษฐีนั้นเป็นราคาตั้งร้อยตั้งพันก็ไม่อาจซื้อได้
ในวันนั้น ธิดาเศรษฐีผู้มีผมยาวได้เห็น
พระมหากัจจายนะเดินมาเที่ยวบิณฑบาตกับพระภิกษุ
๗ องค์ แต่ก็ไม่ได้อะไรในนิคมนั้นจึงให้พี่เลี้ยงไปนิมนต์พระเถระเหล่านั้น
ให้ขึ้นมานั่งบนเรือนแล้วธิดาเศรษฐีก็เข้าห้องให้พี่เลี้ยงตัดผมของตน
แล้วบอกว่า
พี่จงเอาผมเหล่านี้ไปให้แก่ธิดาเศรษฐีซึ่งไม่มีผมชื่อโน้น
เขาให้สิ่งใดก็จงนำสิ่งนั้นมา
เราจะได้ถวายบิณฑบาตแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายด้วยสิ่งนั้น
แล้วก็ใช้ให้พี่เลี้ยงไป
พี่เลี้ยงได้ไปทำอย่างนั้นแล้วได้เงิน
๘ กหาปณะ (๘ ตำลึง ) มาให้แก่ธิดาเศรษฐีผู้มีผมยาว
ธิดาเศรษฐีนั้นก็ให้ไปซื้ออาหารมา
๘ สำรับ ๆ ละ ๑ ตำลึง แล้วให้ถวายแก่พระเถระทั้งหลาย
ส่วนตนเองหลบลี้อยู่ในห้อง
พระมหากัจจายนะรู้เหตุการณ์นั้นแล้วจึงให้เรียกออกมา
ธิดาเศรษฐีนั้นก็ได้ออกมาด้วยความเคารพพระเถรเจ้า
ไหว้พระเถระทั้งหลายแล้วก็เกิดศรัทธาแรงกล้า
ธรรมดาทานที่บุคคลถวายในเนื้อนาที่ดีย่อมให้ผลในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น ผมของธิดาเศรษฐีนั้น จึงกลับเป็นปกติขึ้นพร้อมกับเวลาไหว้พระเถรเจ้า
พระเถระรับบิณฑบาตแล้ว
ก็พากันเลื่อนลอยขึ้นสู่เวหาต่อหน้าธิดาเศรษฐีนั้นแล้วไปลงที่กาญจนอุทยาน
จึงได้ฉันในที่นั้นนายอุทยานได้เห็นพระเถระนั้น
จึงไปกราลทูลพระราชา
พระราชาจัณฑปัชโชต
ได้เสด็จไปที่พระราชอุทยานพอดีพระเถระฉันเสร็จแล้ว
พระบาทท้าวเธอก็กราบไหว้แล้วตรัสถามว่า
วันนี้ท่านทั้งหลายได้อาหารที่ไหน
พอได้ทรงสดับเรื่องดังกล่าวนี้แล้ว
จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์แล้วโปรดให้ไปรับธิดาเศรษฐีนั้น
มาตั้ให้เป็นอัครมเหสีในวันนั้น
ต่อมาเวลาภายหลังเมื่อพระอัครมเหสีนั้นได้พระราชาโอรสแล้ว
จึงทรงตั้งชื่อว่า โคปาลกุมาร เหมือนกับชื่อมหาเศรษฐีผู้เป็นตา
จึงปรากฏพระนามว่า พระนางโคปาลมาตาเทวี
ตามชื่อแห่งพระราชโอรส
พระนางมีความเลื่อมใสต่อพระเถระยิ่งนัก
จึงได้โปรดสร้างวัดถวายพระเถระไว้ในกาญจนอุทยานนั้น
ดังนี้
นางสุปิยอุบาสิกา
ในกาลที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในป่าอิสิปตนมิคทายวัน
ครั้งนั้นมี สุปิยอุบาสกและสุปิยอุบาสิกา ได้เป็นอุปัฏฐากพระภิกษุทั้งหลาย
ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
วันหนึ่งได้ทราบว่า
มีภิกษุองค์หนึ่งฉันยาประจุรุถ่าย
ปรารถนาจะฉันแกงเนื้อสักหน่อยสุปิยอุบาสิกา
ก็รับว่าจะหามาถวาย จึงกลับไปยังเรือนใช้ให้คนไปซื้อเนื้อ
อันเขาขายอยู่ในตลาดนั้น ปรากฏว่าหาซื้อเนื้อที่ตายแล้วมิได้เลย
สุปิยอุบาสิกาจึงคิดว่า
พระภิกษุที่อาพาธนั้น มิได้ฉันแกงเนื้อแล้วอาจจะอาพาธหนักหรืออาจจะถึงตายได้เป็นมั่นคง
และตัวเราได้รับปากไว้แล้ว จึงได้ตัดสินใจเอามีอเชือดเนื้อที่ขาของตน
แล้วส่งให้ทาสีว่า
เจ้าจงต้มแกงเนื้อนี้แล้ว
จงนำไปถวายแก่ภิกษุไข้ชื่อนั้น ๆ
ถ้าผู้ใดถามว่าฉันไปไหนจงบอกว่าฉันเป็นเป็นไข้อยู่
สุปิยอุบาสิกาสั่งดังนั้นแล้ว
จึงเอาผ้าห่มพันขาเข้าไว้ แล้วเข้าไปในห้องขึ้นนอนอยู่บนเตียงนั้น
ลำดับนั้น สุปิยอุบาสกไปยังเรือนสุปิยอุบาสิกาแล้วถามว่า
นางสุปิยาไปไหน
?
ทาสีจึงบอกว่า
นางนอนอยู่ในห้อง
สุปิยอุบาสกจึงเข้าไปถาม
เมื่อได้ทราบความดังนั้นแล้ว จึงสรรเสริญว่า
อัศจรรย์จริง ๆ แล้วหนอ...สุปิยานี้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจริง
ๆ แม้กระทั่งเนื้อหนังในกายตัวยังบริจากได้
จะว่าไปใยถึงสิ่งของภายนอกกายนั้นเล่า
ซึ่งว่าจะมิได้ให้นั้นจะมิได้มีเลย
แล้วจึงไปอาราธนาพระพุทธองค์
พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง เพื่อจะให้เป็นบุญปีติปราโมทย์ในวันรุ่งเช้า
ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเรือนนั้นแล้ว
จึงตรัสถามสุปิยอุบาสกว่า
สุปิยอุบาสิกาไปไหนจึงไม่เห็น
?
สุปิยอุบาสกจึงกราบทูลว่า
นางป่วยไข้อยู่
พระพุทธเจ้าข้า
จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า
ท่านจงช่วยพยุงมาที่นี่เถิด
อุบาสกรับพระพุทธฏีกาแล้ว
จึงไปพยุงนางออกมาสู่สำนักพระพุทธเจ้า
แต่พอนางสุปิยอุบาสิกาได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้นแผลอันใหญ่นั้นก็งอกเนื้อหนังเป็นปกติขึ้นดังเก่า
คนทั้งสองจึงถวายภัตตาหารอันประณีตแก่พระภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธองค์ทรงเป็นประธาน ดังนี้
( ผลบุญที่บุคคลเหล่านี้กระทำแล้ว
ด้วยการบูชายิ่งกว่าชีวีตของตน ได้ให้ผลทันทีในปัจจุบันนี้
เรื่องเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ในสมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่
ต่อไปจะเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยที่ยังว่างจากพระศาสนา
เป็นกาลที่พระศาสนา เป็นกาลที่พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงอุบัติ
แต่บุคคลเหล่านั้นได้ขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งเป็น
มี ๔ ท่าน ดังนี้ )
โคตติลคันธัพพราชา
๑ สาธินราชา ๑ เนมิราชา ๑ มันธาตุราชา ๑ ( บุคคลทั้ง
๔ ท่านนี้ ได้ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยกายที่เป็นมนุษย์
ความจริงผู้มีชื่อทั้ง ๔ นี้ มิใช่อื่นไกล
เป็นสมเด็จพระจอมไตรองค์ปัจจุบันนี้เอง
ได้เกิดขึ้นในสมัยที่เสวยพระชาติเป็น
พระโพธิสัตว์ นั่นเอง )โคตติลคันธัพพราชา