ตอนที่ ๑๗
ปัญหาที่ ๗
เรื่องอายุพระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี
สมเด็จพระบรมกษัตริย์ตรัสถามว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน ด้วยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
“ ดูก่อนอานนท์ บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น ”
แต่ในเวลาจะปรินิพพาน สุภัททปริพาชก ทูลถามได้ตรัสอีกว่า
“ ดูก่อนสุภัททะ ถ้าพระภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ”
คำนี้เป็นคำไม่มีเศษ เป็นคำเด็ดขาด
ถ้าสมเด็จพระบรมโลกนาถได้ตรัสไว้ว่า
“ โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ” ดังนี้เป็นคำจริงแล้ว คำที่ว่า “ บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ” ก็ผิด ถ้าคำว่า “ พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ” เป็นคำถูก คำที่ว่า “ โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ” ก็เป็นคำผิด ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้โยมสิ้นสงสัยด้วยเถิด ” พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า “ ขอถวายพระพร ถูกทั้งสอง คือคำที่สมเด็จพระชินวรตรัสไว้ว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ก็เป็นคำที่ถูก ส่วนที่ตรัสไว้ว่า ถ้าภิกษุเหล่านั้นยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นก็ถูก คำทั้งสองนั้นมีอรรถพยัญชนะต่างกันคำหนึ่งเป็น สาสนปริจเฉท คือ เป็นคำกำหนดพระศาสนา อีกคำหนึ่งเป็น ปฏิปัตติปริทีปนา คือ เป็นการแสดงซึ่งปฏิบัติ เป็นอันว่าคำทั้งสองไกลกันมาก ไกลกันเหมือนแผ่นดินกับแผ่นฟ้า เหมือนนรกกับสวรรค์ เหมือนกุศลกับอกุศล และเหมือนทุกข์กับสุขฉะนั้น แต่ว่าอย่าให้พระดำรัสถามของมหาบพิตรเป็นโมฆะเลย อาตมาภาพจักแสดงคำทั้งสองนั้น ให้เข้าเป็นอันเดียวกันได้ คือคำที่ตรัสว่า “ พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีนั้น ” เป็นการกำหนดความตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม คือถ้าภิกษุณีไม่บรรพชา พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เมื่อพระตถาคตเจ้าตรัสอย่างนี้ ชื่อว่าตรัสถึงความอันตรธรานแห่งพระสัทธรรม หรือชื่อว่าปฏิเสธการบรรลุมรรคผลอย่างนั้นหรือ...มหาบพิตร ? ” “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ” “ ขอถวายพระพร เมื่อสมเด็จพระชินวรจะทรงกำหนดสิ่งที่หมดไปแล้ว จะทรงกำหนดสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ก็ได้ทรงกำหนดไว้อย่างนั้นเหมือนอย่างบุรุษกำหนดของที่หมดไป ถือเอาของที่เหลือขึ้นแสดงแก่ผู้อื่นว่า ของเราหมดไปแล้วเท่านั้น นี้เป็นส่วนที่ยังเหลืออยู่ฉันใด เมื่อสมเด็จพระจอมไตรจะทรงกำหนดพระศาสนาที่หมดไป ก็ได้ทรงแสดงส่วนที่ยังเหลืออยู่ในท่ามกลางเทพยดามนุษย์ทั้งหลายว่า บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น คำว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น เป็น สาสนปริจเฉท คือเป็นการกำหนดพระศาสนา ส่วนคำที่ตรัสไว้ในเวลาจะปรินิพพานว่า “ ถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ” ดังนี้นั้น เป็น ปฏิปัตติปริทีปนา คือเป็นการแสดงซึ่งปฏิบัติขอมหาบพิตรจงทรงกระทำ ปริทีปนา กับ ปริจเฉท ให้เป็นอันเดียวกัน ถ้ามหาบพิตรพอพระทัย อาตมาภาพจักแสดงถวายให้เป็นอันเดียวกัน ขอมหาบพิตรอย่ามีพระทัยวอกแวก จงตั้งพระทัยสดับให้จงดีเถิด ” อุปมาดังสระน้ำ เมื่อพระนาคเสนถวายพระพรอย่างนี้แล้วจึงถวายพระพรต่อไปว่า “ เหมือนอย่างสระน้ำเต็มเปี่ยมด้วยน้ำใหม่มีน้ำเต็มเสมอปากขอบสระ เมื่อเมฆใหญ่ทำให้ฝนตกลงมาที่สระนั้นเนือง ๆ น้ำในสระนั้นจะแห้งจะหมดไปหรือไม่ ? ” “ ไม่แห้งไม่หมด พระผู้เป็นเจ้า ” “ เพราะอะไร มหาบพิตร ” “ เพราะฝนยังตกลงมาอยู่เนือง ๆ น่ะซิ พระผู้เป็นเจ้า ” “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสระใหญ่อันได้แก่พระสัทธรรมที่เป็นพระศาสนาของสมเด็จพระชินสีห์ เต็มเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาด คือ อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ได้ตรัสมรรคภาวนาไว้แล้ว ผู้ใดกระทำให้ฝนคือ อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ ตกลงมาเนือง ๆ ผู้นั้นได้ชื่อว่าได้อบรมมรรคภาวนาไว้แล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นสระใหญ่ คือ พระสัทธรรม อันเป็นพระศาสนาสูงสุดของสมเด็จพระบรมสุคต ก็จักตั้งอยู่ตลอดกาลนาน โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายความอย่างนี้ จึงได้ตรัสไว้ว่าถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบิติชอบอยู่ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ” อุปมาเหมือนกองไฟใหญ่ “ ขอถวายพระพร เมื่อกองไฟใหญ่กำลังลุกรุ่งเรืองอยู่ มีคนทั้งหลายเอาหญ้าแห้ง ไม้แห้ง มูลโคแห้ง มาทิ้งเข้าในกองไฟใหญ่นั้นเรื่อย ๆ ไป กองไฟใหญ่นั้นจะดับไปหรือไม่ ? ” “ ไม่ดับเลย พระผู้เป็นเจ้า มีแต่จะลุกใหญ่เท่านั้น ” “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระศาสนาอันประเสริฐของพระศาสดา ได้สว่างรุ่งเรืองอยู่ในหมื่นโลกธาตุ ด้วย อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าศากยบุตรพุทธชิโนรสยังประกอบด้วยองค์ของผู้มีความเพียร ยังฝึกฝนดี ยังไม่ประมาท ยังเต็มใจใน ไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) ยังทำสิกขาให้บริบูรณ์ ทำจารีตและสีลสัมปทา ( ถึงพร้อมด้วยศีล ) ให้บริบูรณ์พระศาสนาก็ยังจักตั้งอยู่ตลอดกาลนาน โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายความอย่างนี้ จึงได้ตรัสไว้ว่า ถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ” อุปมาเหมือนกระจก “ อีกประการหนึ่ง กระจกอันบุคคลขัดดีแล้ว ทำให้ผ่องใสดีแล้ว และมีผู้ขัดอีกเนือง ๆ กระจกนั้นจะมัวหมองได้หรือไม่ ? ” “ ไม่มัวหมอง พระผู้เป็นเจ้า มีแต่จะผ่องใสยิ่งขึ้นไป ” “ ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละคือพระศาสนาของสมเด็จภควันบรมศาสดาผ่องใสอยู่เป็นปกติ คือไม่มัวหมองด้วยกิเลสตัณหาแต่อย่างใด ถ้าพระพุทธบุตรเหล่านั้นศึกษาพระศาสนาอันประเสริฐนั้นไว้ให้ผ่องใส ด้วย อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ สัลเลข ( ขัดเกลา ) ธุดงคคุณ อยู่แล้ว พระศาสนาก็จะตั้งอยู่ตลอกกาลนาน โลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย พระพุทธศาสนามีการปฏิบัติเป็นราก มีการปฏิบัติเป็นแก่น ตั้งอยู่ได้ด้วยการปฏิบัติ ” “ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อว่า พระสัทธรรมอัตรธานนั้น มีอยู่กี่ประการ ? ” อันตรธาน ๓ ประการ “ ขอถวายพระพร อันตรธานนั้น มีอยู่ ๓ ประการ คือ ๑. อธิคมอันตรธาน ( มรรคผลสูญหายไป ) ๒. ปฏิปัตติอันตรธาน ( ข้อปฏิบัติสูญหายไป ) ๓. ลิงคอันตรธาน ( เพศสูญหายไป) เมื่อ อธิคมอันตรธาน แล้ว ถึงมีผู้ปฏิบัติดี ก็ไม่มีธรรมาภิสมัย คือการได้รู้ยิ่งซึ่งธรรม เมื่อ ปฏิปัตติอันตรธาน แล้ว สิกขาบทบัญญัติก็อันตรธาน ยังเหลือแต่เพศเท่านั้น เมื่อ ลิงคอันตรธาน แล้ว ก็ขาดประเพณี คือความสืบต่อแห่งเพศบรรพชิตในพระพุทธศาสนา อันตรธานมีอยู่ ๓ ประการเท่านี้แหละ มหาบพิตร ” “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้ทำปัญหาอันลึกให้ตื้นแล้ว ได้ทำลายข้อยุ่งยากแล้ว ได้ทำให้ถ้อยคำของผู้อื่นหมดไปแล้วพระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว ซึ่งความเป็นผู้องอาจในหมู่คณะอันประเสริฐ ” อธิบาย
ข้อความในวงเล็บ ผู้เรียบเรียงได้เพิ่มเติมไป เพื่อความเข้าใจ
ฎีกามิลินท์ อธิบายคำว่า “ พระสัทธรรม ” ได้แก่ อธิคมสัทธรรม คือ ปฏิเวธสัทธรรม อันได้แก่ มรรค ผล นิพพาน
ส่วนผู้แปลหนังสือเล่มนี้อธิบายว่า
เมื่อท่านอ่านมาตาม อรรถกถา ฎีกาแล้วนี้ ยังไม่สิ้นสงสัย ก็ขอให้อ่านคำอธิบายต่อไปคือคำว่า สาสนปริจเฉท แปลว่า กำหนดพระศาสนานั้น อธิบายว่า ได้แก่การกำหนดอายุพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่ ๕,๐๐๐ ปี
คำว่า ปฏิปัตติปรทีปนา แปลว่า กำหนดแสดงซึ่งการปฏิบัตินั้น หมายถึงผลแห่งการปฏิบัติ หรืออานุภาพแห่งการปฏิบัติว่า ถ้ายังปฏิบัติอยู่ตราบใด พระพุทธศาสนาก็จักยังตั้งอยู่ตราบนั้น
คำทั้งสองนี้ถูกทั้ง ๒ คำ เปรียบเหมือนคำว่า อายุของผู้นั้นมีกำหนด ๑๐๐ ปี อีกคำหนึ่งว่า ถ้าธาตุทั้ง ๔ ของผู้นั้นยังปกติอยู่ตราบใด ผู้นั้นก็จักยังมีอายุอยู่ตราบใด ผู้นั้นก็จักมีอายุอยู่ตราบนั้น ดังนี้
คำทั้งสองนี้ คำหนึ่งแสดงกำหนดอายุอีกคำหนึ่งแสดงอานุภาพของธาตุ ๔ แต่ขอให้เข้าใจว่า อายุของผู้นั้นจักตั้งอยู่ได้เพียง ๑๐๐ ปีเท่านั้น แล้วธาตุทั้ง ๔ ของผู้นั้นจะต้องวิปริตไป ข้อนี้มีอุปมาฉันใด พระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ก็ฉันนั้น
ข้อสำคัญในปัญหาข้อนี้มีอยู่อย่างหนึ่งคือข้อที่ว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียงแค่ ๕,๐๐๐ ปีนั้น ผิดจากที่กล่าวไว้ใน พระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปฎิก ที่เป็นพระบาลีกับอรรถกถาฎีกา คือ
ในพระบาลีอรรถกถาฎีกาว่า
“ ถ้าไม่มีภิกษุณี พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ ๑,๐๐๐ ปี เมื่อมีภิกษุณีแล้ว พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ ๕๐๐ ปีเท่านั้น ” อันนี้เป็นคำในพระบาลี
ส่วนในอรรถกถาว่า
“ เมื่อพระพุทธองค์ ทรงเล็งเห็นอย่างนั้น จึงได้ทรงบัญญัติครุธรรม ๘ ไว้ป้องกันเสียก่อน แล้วจึงทรงอนุญาตให้มีนางภิกษุณี ”
เมื่อทรงป้องกันแล้วก็ได้อีก ๕๐๐ ปีรวมกับ อีก ๕๐๐ ปีที่ยังเหลืออยู่นั้น จึงเป็นพันปีเท่ากับไม่มีนางภิกษุณี แล้วอธิบายไว้ตั้งแต่พันปีที่ ๑ ถึงพันปีที่ ๕ ( รายละเอียดของดไว้ )
เมื่อสิ้น ๕ พันปีแล้ว อธิคมสัทธรรม คือผู้บรรลุมรรคผลก็สิ้นไป พระปริยัติธรรมก็หมดไปทีละน้อย ลงท้ายก็เหลือแต่เพศภิกษุที่มีผ้าเหลืองน้องห้อยหู ทำไร่ไถนาเลี้ยงบุตรภรรยา แล้วลงท้ายก็หมดผ้าเหลืองน้อยห้อยหู
แต่เมื่อผู้ใดยังมีผู้จำพระพุทธวจนะได้เพียง ๑ คาถา อันกำหนดด้วยอักขระ ๓๒ ตัว เมื่อนั้นก็ยังเรียกว่า พระปริยัติศาสนายังอยู่ เมื่อไม่มีมนุษย์ผู้ใดในโลก จะจำพระพุทธวจนะเพียงคาถาเดียวได้ เมื่อนั้นแหละจึงเรียกว่า หมดพระปริยัติศาสนาจริง ๆ
และมีกล่าวไว้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งอยู่ที่ต่าง ๆ กัน จะเสด็จมารวมกันที่ไม้ศรีมหาโพธิ แล้วปรากฏเป็นองค์สมเด็จพระบรมสุคตขึ้น ทรงแสดงธรรมแก่เทพยดาอยู่ตลอด ๗ ทิวาราตรี เทพยดาหรือ ยักษ์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ผู้ใดเป็นธาตุเวไนย ผู้นั้นก็จักได้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน ในคราวนั้น
แล้วจวนรุ่งอรุณในคืนที่ ๗ พระบรมสารีริกธาตุที่ปรากฏเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นนั้นก็จะมีเพลิงธาตุเกิดขึ้น ถวายพระเพลิงเผ่าให้ย่อยยับไปไม่มีเหลือ เมื่อนั้นแหละเรียกว่า “ ธาตุอันตรธาน ” ดังนี้
( ต้องของดปัญหาไว้เพียงข้อนี้ก่อนเพราะตอนที่แล้วในเรื่อง “ การตั้งครรภ์ ” ได้เกี่ยวพันถึงบุคคลในพระสูตร เช่น มาตังคฤาษี พระเจ้ากุสราช และ พระเจ้ามหาปนาท เป็นต้น จึงจะขอนำประวัติบุคคลเหล่านี้ มาให้ทราบแต่พอได้ใจความดังนี้ ) มาตังคบรมโพธิสัตว์
ในอดีตเป็นเมื่อครั้ง พระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติในเมืองพาราสี พระมหาสัตว์เจ้าได้บังเกิดในกำเนิดตระกูลคนจัณฑาลมีนามว่า มาตังคมาณพ เพราะเหตุที่มีปัญญาภายหลังจึงมีชื่อว่า มาตังคบัณฑิต
ในเมืองนั้นมีธิดาเศรษฐีชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา วันหนึ่งนางได้เห็นพระโพธิสัตว์ทางช่องม่าน ข้างประตูอุทยาน เมื่อรู้ว่าเป็นคนจัณฑาลจึงล้างตาด้วยน้ำหอม แล้วกลับไปจากที่นั้น พวกบริวารของนางไม่ได้กินเหล้ากันก็พากันโกรธได้ประทุษร้ายมาตังคบัณฑิตจนสลบ แล้วพากันหลบหนีไป
เมื่อมาตังคบัณฑิตฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงคิดว่าผู้คนของนางทิฏฐมังคลิกาโบยตีเราผู้หาความผิดมิได้ ถ้าเราไม่ได้นางมาเราจะไม่ลุกขึ้นครั้งตั้งใจดังนี้แล้ว จึงได้ไปนอนลงที่ประตูบ้านบิดาของนาง ได้นอนอยู่ ๖ วัน ก็ยังไม่ได้ลุกไปไหน
ธรรมดาว่าการอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จ เพราะฉะนั้นในวันที่ ๗ คนทั้งหลายจึงได้พานางทิฏฐมังคลิกามามอบให้
นางทิฏฐมังคลิกาจึงกล่าวขึ้นว่า
“ ลุกขึ้นเถิดนาย เราพากันไปบ้านของท่านเถิด ”
มาตังคบัณฑิตจึงกล่าวว่า
“ บริวารของเจ้าทุบตีเราเสียบอบซ้ำแล้วเจ้าจงยกเราขึ้นหลังแล้วพาไปเถิด ”
นางก็ทำตามสั่ง ได้ออกจากพระนครไปต่อหน้าชาวพระนคร ที่พากันมามุงดูแล้วก็ได้ไปสู่บ้านคนจัณฑาล
ในคราวนั้น พระมหาสัตว์เจ้ามิได้ล่วงเกินนาง ให้ผิดประเพณีแห่งเผ่าพันธุ์วรรณะให้นางพักอยู่ที่เรือนของตน ๒ - ๓ วัน แล้วคิดว่า เราจะทำให้นางถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภยศนั้น เราจักต้องบรรพชาจึงจะทำให้ได้ นอกจากนี้แล้วไม่มีทางทำได้ มาตังคฤาษีผู้มีฤทธิ์
เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงบอกนางว่าจะไปในป่าขอให้รออยู่ที่นี้จนกว่าจะกลับมา และได้สั่งคนในบ้านให้เอาใจใส่ต่อนาง แล้วก็ออกไปบรรพชาเป็นฤาษีอยู่ในป่า ตั้งในเจริญสมธรรมพอถึงวันที่ ๗ ก็ได้สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘
จึงคิดว่า บัดนี้เราอาจเป็นที่พึ่งของนางทิฏฐมังคลิกาได้แล้ว จึงเหาะไปลงที่ประตูบ้านคนจัณฑาล แล้วเดินไปสู่ประตูเรือนของนาง
ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาออกมาต้อนรับแล้วรำพันต่าง ๆ นานา พระมหาสัตว์จึงปลอบโยนนางว่า
“ เจ้าอย่าเสียใจไปเลย คราวนี้เราจะทำให้เจ้ามียศใหญ่ยิ่งกว่ายศที่มีอยู่เก่าของเจ้า ก็แต่ว่าเจ้าสามารถพูดในที่ประชุมชนได้ไหมว่ามาตังคบัณฑิตไม่ใช่สามีของเรา ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของเรา ”
นางทิฏฐมังคลิกาก็รับว่าได้ แล้วพระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวต่อไปว่า
“ ถ้าอย่างนั้นเมื่อมีผู้ถามว่า เวลานี้สามีของเจ้าไปไหน ให้ตอบว่าไปพรหมโลก เมื่อเขาถามว่าจะกลับมาเมื่อไร ให้ตอบเขาว่านับแต่วันนี้ไปอีก ๗ วัน ท้าวมหาพรหมผู้เป็นสามีของเรา จักแหวกพระจันทร์มาในวันเพ็ญ ”
ครั้นกล่าวกับนางอย่างนี้แล้ว ก็เหาะกลับไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เที่ยวประกาศอย่างนั้นในท่ามกลางมหาชน มหาชนก็เชื่อว่าอาจจะเป็นได้ เพราะถ้าไม่เป็นไปได้ นางทิฏฐมังคลิกาก็จะได้ประโยชน์อะไรในการกล่าวเช่นนี้
ฝ่ายพระโพธิสัตว์พอถึงวันเพ็ญด้วงจันทร์เด่นอยู่ในท้องฟ้า ก็จำแลงตัวเป็นท้าวมหาพรหม เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วแว่นแคว้นกาสีแล้วชำแรกแทรกออกมาจากดวงจันทร์ ลงมาเลื่อนลอยรอบเมืองพาราสีถึง ๓ รอบ
เมื่อมหาชนพากันบูชาอยู่ด้วยดอกไม้และของหอม เป็นต้น ได้บ่ายหน้าไปหมู่บ้านคนจัณฑาล พวกพรหมภัต คือพวกจักเครื่องต้อนรับพระพรหม ก็ได้พร้อมกันไปที่บ้านคนจัณฑทาล
ครั้งเขาตกแต่งบ้านเรือนของนางทิฏฐมังคลิกาเสร็จแล้ว พระมหาสัตว์เจ้าก็ลงมาจากอากาศ เข้าไปนั่งอยู่บนที่นอนสักครู่หนึ่ง ในเวลานั้นนางกำลังมีระดู จึงลูบสะดือของนางด้วยปลายนิ้วมือ แล้วนางก็ตั้งครรภ์ขึ้น
ต่อมาพระมหาสัตว์เจ้าจึงบอกว่า
“ เจ้าจักได้ลูกเป็นผู้ชาย เจ้ากับบุตรจักเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยลาภยศ เพียงแต่น้ำอาบของเจ้าก็จะเป็นยาวิเศษ รดศีรษะผู้ใด ผู้นั้นจะหายจากโรคทั้งปวง ผู้ที่กราบไหว้จักให้ทรัพย์แก่เจ้า เจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ”
ครั้งให้โอวาทนางแล้วก็ได้ออกจากเรือนแล้วเลื่อนลอยขึ้นไปบนอากาศ ต่อหน้ามหาชนที่กำลังดูอยู่ แล้วเข้าไปสู่ดวงจันทร์ มัณฑพยกุมาร
พวกพรหมภัตจึงได้ให้นางทิฏฐมังคลิการขึ้นนั่งบนสุวรรณสีวิกา แล้วยกขึ้นทูนศีรษะของตนพาเข้าไปสู่พระนคร มหาชนต่างก็พากันบูชากราบไหว้ได้ทรัพย์ถึง ๑๘ โกฏิ โดยเชื่อถือว่าเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหม
ครั้งพวกพราหมณ์นำไปรอบพระนครแล้ว ได้สร้างมณฑปใหญ่ขึ้นในท่ามกลางพระนคร แล้วให้นางทิฏฐมังคลิกาอยู่ที่นั้นและเริ่มก่อสร้างปราสาท ๗ ชั้น ไว้ที่ใกล้มหามณฑปนั้น
ต่อมานางก็ได้คลอดบุตรในมณฑปนั้นเอง พราหมณ์จึงขนานนามกุมารว่า “ มัณฑพยกุมาร ” อีก ๑๐ เดือน ปราสาทจึงสำเร็จลงนางจึงอยู่ที่ปราสาทนั้น
มัณฑพยกุมารนั้นก็เจริญขึ้นด้วยบริวารเป็นอันมาก ได้ศึกษาวิชาไตรเพทจนอายุได้ ๑๖ ปี ก็เริ่มตั้งพิธีเลี้ยงพวกพราหมณ์เป็นนิจไป
ในขณะนั้นเอง มาตังคบัณฑิตนั่งอยู่ที่อาศรมบทในป่าหิมพานต์ ได้เล็งดูเหตุการณ์ก็ทราบว่า ความประพฤติแห่งบุตรโน้มเอียงไปในลัทธิอันไม่สมควร จึงคิดว่าวันนี้เราจักไปฝึกมาณพนั้น ให้รู้ว่าให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก
คิดดังนี้แล้ว ก็ได้ไปที่สระอโนดาตโดยทางอากาศ ลงอาบน้ำชำระกายแล้วก็ขึ้นยืนอยู่ที่มโนศิลา ได้นุ่งผ้าสองชั้นคาดประคตเอวแล้วห่มผ้าจีวรผืนใหญ่ ถือเอาบาตรเหาะมาลงยืนอยู่ที่โรงทานซุ้มประตูที่ ๔
มัณฑพยกุมารได้เห็นมาตังคฤาษี ผู้จำแลงเพศเป็นภิกษุ จึงกล่าวว่า
“ ท่านนุ่งห่มด้วยผ้าขี้ริ้วสกปรกเหมือนปีศาจเล่นฝุ่น ท่านไม่สมควรแก่การถวายทานของเรา
พระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวว่า
“ อาหารที่ท่านจัดไว้ให้พราหมณ์ทั้งหลายนั้น ก็ควรจะให้ทานแก่เราผู้เลี้ยงชีวิตด้วยอาหารผู้อื่นให้เช่นกัน แม้ถึงจะเป็นคนจัณฑาลก็ขอจงให้อาหารแก่เราบ้างเถิด ”
แต่มัณฑพยกุมารก็ไม่ยอมให้ กลับขับไล่ออกไป พระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวว่า
“ ชาวนาผู้หวังผลย่อมหว่านพืชลงในที่ลุ่มบ้าง ในที่ดอนบ้าง ในที่เสมอไม่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ บ้างฉันใด ท่านจงให้ทานแก่บุคคลทั้งปวงด้วยศรัทธานี้ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ดีกุมารก็จักได้บุคคลที่ควรแก่การถวาย ”
มัณฑพยกุมารจึกล่าวต่อไปว่า
“ เรารู้ดีว่านาเหล่าใดเป็นนาดีในโลก เรารู้ดีว่าการหว่านพืช คือให้ทานแก่พวกพราหมณ์ที่สมบูรณ์ด้วยชาติตระกูล และด้วยความรู้นี้เป็นทางได้ผลดี ”
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าจึงว่า
“ ความเมาด้วยชาติตระกูล ความถือตัวเกินไป และโลภะ โทสะ โมหะ เหล่านี้มีอยู่ในพวกใด พวกนั้นไม่จัดว่าเป็นเขตอันดี เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในพวกใด พวกนั้นจึงจัดว่าเป็นเขตอันดี ”
มัณฑพกุมารไม่พอใจจึงให้นายประตูขับไล่ออกไป พวกนายประตูยังมาไม่ทันถึงตัวพระมหาสัตว์เจ้าก็ขึ้นไปยืนบนอากาศต่อหน้าคนทั้งหลายแล้วกล่าวว่า
“ ผู้ใดด่าว่าฤาษี ผู้นั้นชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟัน ชื่อว่าพยายามกลืนกินไฟ ”
ครั้งกล่าวดังนี้แล้ว จึงเหาะไปต่อหน้ากุมารและพราหมณ์ทั้งหลาย บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก ไปลงที่ถนนสายหนึ่งแล้วอธิษฐานว่า ขอจงให้รอยเท้าของเราปรากฏอยู่ในที่นี้ แล้วก็เที่ยวไปบิณฑบาตได้อาหารแล้ว ก็นั่งฉันอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง อานุภาพแห่งเทพยดา
ฝ่ายเทวดาผู้รักษาพระนครนั้น ก็คิดว่ามัณฑพยกุมารได้กล่าวเบียดเบียนพระผู้เป็นเจ้าของเรา จึงจับศีรษะของกุมารและพวกบพราหมณ์ทั้งหลายบิดให้เหลียวหลังไป นอนตัวแข็งทื่อตาค้าง อ้าปากน้ำลายไหลกลิ้งไปมา
คนทั้งหลายจึงไปแจ้งนางทิฏฐมังคลิกาว่ามีสมณะองค์หนึ่งนุ่งห่มผ้าขาดเป็นริ้วรอยเข้ามาในที่นี้ บุตรของพระแม่เจ้าจึงเป็นอย่างนี้
นางจึงคิดว่าเราจักไปเที่ยวค้นหาสามีของเรา แล้วสั่งให้ทาสและทาสีถือคณโฑน้ำทองคำเที่ยวติดตามไป ได้เห็นรอยเท้าที่พระมหาสัตว์เจ้าอธิษฐานไว้ก็รีบติดตามไปได้พบในขณะกำลังนั่งฉันอาหารอยู่ที่ศาลานั้นนางจึงเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงยกมือไหว้
พระมหาสัตว์เจ้าได้เห็นนางมาถึง จึงเหลือข้าวสุกไว้ก้นบาตรแสดงอาการอิ่มแล้วนางจึงน้อมคณโฑเข้าไปถวาย และกล่าวถามถึงเหตุดังกล่าวนั้น
มาตังคฤาษีตอบว่าเป็นเพราะยักษ์ผู้รักษาพระนคร รู้จักคุณธรรมของพวกฤาษี ทราบว่าบุตรของเจ้าคิดร้ายต่อฤาษี จึงได้ทำบุตรของเจ้าให้เป็นอย่างนี้
นางทิฏฐมังคลิกาจึงขอโทษว่า ยักษ์ทั้งหลายโกรธแล้ว ท่านอาจทำให้หายได้โดยน้ำเพียงจอกเดียว ข้าพเจ้าไม่กลัวยักษ์สักนิดเดียว กลัวท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ผู้เดียวเท่านั้น ขอท่านจงเมตตาอย่าได้โกรธบุตรข้าพเจ้าเลย
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า เมื่อกี้บุตรของเจ้าด่าเรา เราก็ไม่คิดร้ายต่อบุตรของเจ้า ก็แต่ว่าบุตรของเจ้ากำลังมัวเมาว่ารู้ศิลปศาสตร์ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ จึงได้รับโทษอย่างนี้กล่าวดังนี้แล้วจึงให้ข้าวสุกที่เหลือ เพื่อหยอกเข้าไปในปากของบุคคลเหล่านั้น
นางจึงแบ่งข้าวนั้นหยอดลงในปากแห่งบุตรของตน แล้วยักษ์ที่รักษาพระนครก็หนีไป มัณฑพยกุมารฟื้นขึ้นมาจึงพากันไปดูพวกพราหมณ์ที่ยังสลบอยู่
นางทิฏฐมังคลิกาจึงสั่งสอนว่า
“ เจ้ายังมีปัญญาน้อย ไม่รู้จักว่าให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก เพราะการให้ทานแก่ผู้มีกิเลส ไม่มีการสำรวม มีแต่กรรมเศร้าหมองถึงให้ทานมาก ก็ย่อมมีผลน้อย นี่แน่ะมัณฑพยะ ผู้รับการถวายทานของเจ้า บางคนก็รวบเกล้าทำเป็นชฎานุ่งผ้าหนังเสือมีหน้ารุงรังด้วยหนวดเครา เจ้าจงพิจารณาดูซึ่งผู้ที่ทำตนให้หม่นหมองอย่างนี้ การมุ่นเกล้าให้เป็นชฎาและนุ่งผ้าหนังสือเช่นนี้ หาป้องกันผู้มีปัญญาน้อยได้ไม่ ท่านเหล่าใดสำรอกราระ โทสะ และ อวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์แล้ว ทานที่บุคคลถวายย่อมมีผลมาก ” นางทิฏฐมังคลิกากล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเตือนให้ช่วยพวกพราหมณ์กินยาอันไม่รู้จักตายนั้น แล้วเทข้าวสุกที่เหลืออยู่นั้นลงในตุ่มน้ำขยำให้ดีแล้วจึงตักน้ำหยอดเขาไปในปากพวกพราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคนนั้นก็ได้สติลุกขึ้นทันที ลำดับนั้น พวกพราหมณ์อื่นจากพวกนี้ก็พากันติเตียนว่า พวกพราหมณ์เหล่านี้ได้กินน้ำเหลือเดนของคนจัณฑาล ทำให้เสียชาติตระกูล จึงพร้อมกันทำพราหมณ์เหล่านั้นไม่ให้เป็นพราหมณ์อีกต่อไป พราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคนก็ละอายใจได้ยกครอบครัวออกจากเมืองพาราสี ไปอยู่กับ พระเจ้าเมชฌราช ในเมชฌนครเสีย ทรมานดาบสผู้มีมานะ
ในคราวนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งบวชเป็นดาบส อาศัยอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเวตวดี แต่เป็นผู้มีมานะจนเกินการ พระมหาสัตว์เจ้าได้ทราบจึงคิดทำลายมานะของดาบสนี้เสีย
แล้วจึงไปอาศัยอยู่เหนือแม่น้ำเวตวดีได้อธิษฐานขอให้ไม้สีฟัน ไปติดอยู่ที่ชฎาของดาบสนี้ ไม้สีฟันก็ลอยไปติดอยู่ที่ชฎาในขณะที่ดาบสนั้นลงอาบน้ำ
ดาบสนั้นจึงด่าขึ้นว่า อ้ายคนฉิบหาย อ้ายคนชั่วร้าย แล้วคิดว่าอ้ายคนกาลกิณีนี้มาจากไหน จึงทิ้งสิ่งที่โสโครกมา เราจักไปดูแล้วก็ขึ้นเดินไปตามฝั่งแม่น้ำ จึงได้เห็นพระโพธิสัตว์ จึงถามว่าท่านมาจากไหนท่านเป็นคนชนิดใด
พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า เรามาจากป่าหิมพาต์ เราเป็นคนชาติจัณฑาล ดาบสจึงถามว่า ท่านทิ้งไม้สีฟันลงในน้ำบ้างหรือพระมหาสัตว์เจ้าตอบว่าทิ้งลงไป ดาบสนั้นจึงได้ด่าว่า เจ้าคนถ่อย เจ้าอย่าอยู่ในสถานที่นี้ จงไปอยู่เสียด้านใต้ของแม่น้ำ
พระมหาสัตว์เจ้าก็ไปนั่งอยู่ด้านใต้ของแม่น้ำ แล้วทิ้งไม้สีฟันลงไป ไม้สีฟันนั้นก็กลับไหลทวนน้ำ ไปติดอยู่ชฎาของดาบสนั้นอีก ดาบสนั้นก็โกรธแล้วสาปแช่งว่า อ้ายคนจัญไรถ้าเจ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ศีรษะของเจ้าจักแตกเป็น ๗ ภาค ภายใน ๗ วัน
พระมหาสัตว์เจ้าจึงคิดว่า ถ้าเราโกรธขึ้นบ้าง เราก็อาจทำให้ดาบสนี้ฉิบหาย แต่ศีลที่เรารักษาไว้ก็จะเสียไป เราจะทำลายมานะดาบสนี้ด้วยอุบายวิธิของเรา พอถึงวันที่ ๗ จึงบันดาลไม่ให้ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นในท้องฟ้า
คนทั้งหลายพากันวุ่นวายเข้าไปหาดาบสนั้นว่า เหตุไรท่านจึงไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นดาบสนั้นตอบว่า เราไม่ได้ทำเห็นมีแต่ดาบสจัณฑาลผู้หนึ่งคงเป็นผู้ทำ
คนเหล่านั้นจึงพากันไปไต่ถามพระโพธิสัตว์ ท่านจึงได้เล่าความเป็นไปให้ฟังว่า เมื่อให้ดาบสนั้นมากราบที่เท้าเพื่อขอโทษต่อเราแล้วเราก็จะให้พระอาทิตย์ขึ้น
คนทั้งหลายจึงพากันไปช่วยจับดาบสนั้นฉุดคร่าให้มาหมอบที่เท้าของพระมหาสัตว์เจ้าเพื่อให้ขอโทษ แล้วอ้อนวอนของให้พระอาทิตยืขึ้นเถิด
พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า เรายังให้ขึ้นไม่ได้ ถ้าเราปล่อยให้ขึ้น ศีรษะของดาบสนี้ก็จักแตก ๗ เสี่ยง
เขาจึงถามว่าจะให้ทำอย่างไร พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า ท่านจงไปเอาก้อนดินเปียก ๆ มาพอกศีรษะแล้วให้ดาบสนี้ลงไปอยู่ในน้ำพอศีรษะของดาบสต้องแสงอาทิตย์ ดินเหนียวที่พอกศีรษะนั้นก็จะแตก แล้วให้ดาบศนี้ดำน้ำหลบหนีไป เมื่อทำได้อย่างนี้ ดาบสนี้จะพ้นจากความตาย
คนทั้งหลายก็พากันกระทำตามทุกประการ พระมหาสัตว์เจ้าจึงคลายอิทธิปาฏิหาริย์ ปล่อยให้ดวงอาทิตย์ขึ้น พอแสงอาทิตย์ขึ้นก็เป็นไปตามนั้นทันที มาตังคฤาษีถูกลอบทำร้าย
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าทรมานดาบสให้สิ้นพยศแล้ว จึงนึกถึงพวกพราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคน ได้ทราบว่าเขาพากันไปอยู่กับพระเจ้าเมชฌราช จึงเหาะไปลงที่มุมเมืองเมชฌนครแล้วถือบาตรเที่ยวภิกขาจารไป
พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้เห็นจึงปรึกษากันว่า มาตังคฤาษีได้มาอยู่ในเมืองนี้แล้ว ไม่ช้าเขาก็จักทำพวกเราให้หาที่พึ่งไม่ได้ จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าเมชฌราชว่า วิชาธรซึ่งพวกข้าพระพุทธเจ้าเคยรู้จักได้เข้ามาในเมืองนี้แล้วขอพระองค์จงให้จับฆ่าเสีย
ฝ่ายมหาสัตว์เจ้าพอบิณฑบาตได้แล้ว ก็ไปนั่งฉันอยู่ชายคาเรือนแห่งหนึ่ง พระเจ้าเมชฌราชจึงตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษติดตามไป
พอเขาได้เห็นพระมหาสัตว์เจ้ากำลังนั่งฉันอาหารอยู่โดยไม่รู้ตัว ก็พากันแอบเอาดาบฟันคอของพระมหาสัตว์เจ้าให้ขาดสะบั้น แล้วพระมหาสัตว์เจ้าก็ได้ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก
เทวดาทั้งหลายพากันโกรธเคือง จึงบันดาลให้เป็นฝนเถ้ารึงอันร้อนตกลงมาทั่วเมชฌนคร ไหม้สิ่งของทั้งปวงไม่มีเหลือพระเจ้าเมชฌราชากับทั้งประชาชนก็ถึงซึ่งความพินาศสิ้น
ต่อมาภายหลัง มัณฑพยกุมาร ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้าอุเทน ผู้คิดเบียดเบียนบรรพชิต ส่วน มาตังคบัณฑิต ได้มาเกิดเป็นพระพุทธองค์ สิ้นเนื้อความใน มาตังคชาดก แต่โดยย่อเพียงเท่านี้