ตอนที่
๑๙
ปัญหาที่
๙ ถามเรื่องสิ่งที่ควรทำยิ่งของพระพุทธเจ้า
สมเด็จพระราชาธิบดินทร์มิลินทราลพระบาทท้าวเธอตรัสถามปัญหาข้อต่อไปอีกว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า สิ่งที่ควรทำทั้งสิ้น
สมเด็จพระมหามุนินทร์ทรงทำสำเร็จแล้วที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ
ไม่มีสิ่งที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่มีการสะสมสิ่งที่ทำแล้ว ดังนี้
แต่มีปรากฏอยู่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทรงประทับอยู่ในที่สงัดถึง
๓ เดือน ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้ว
คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าทรงเจ้าอยู่ในที่สงัดอยู่ถึง
๓ เดือนนั้นก็ผิดไป ถ้าถือว่าการที่พระตถาคตเจ้าเข้าอยู่ในที่สงัดตลอด
๓ เดือนนั้นถูก คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้วนั้นก็ผิดไป
ข้าแต่พระนาคเสน การอยู่ในที่สงัด
คือการเข้าฌานสมบัติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จแล้ว
เหมือนกับความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยยา
ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีโรค ความจำเป็นด้วยโภชนาหาร
ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่หิวฉะนั้น ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ
มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้วขอได้โปรดแก้ไขด้วยเถิด
พระนาคเสนเถระวิสัชนาว่า
ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จแล้ว
ที่ภายใต้โพธิพฤกษ์ไม่มีสิ่งที่ควรทำอีก
ไม่มีการสะสมสิ่งที่ควรทำไว้แล้วนั้นก็จริง
คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทรงเข้าฌานสมาบัติอยู่ตลอด
๓ เดือนนั้นก็จริง คือเมื่อพระตถาคตเจ้าทั้งหลายทรงเจ้าฌาน
อันมีคุณมาก มีคุณเป็นเอนก แล้วจึงสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ
เมื่อทรงระลึกถึงคุณที่ฌานเหล่านั้น
ได้กระทำไว้แล้ว จึงทรงเข้าฌาณอีก
เหมือนกับผู้ได้รับพรจากพระราชา
คือได้ลาภยศจากพระราชาแล้ว เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระราชา
ก็ไปเฝ้าพระราชาอยู่เนือง ๆ หรือเหมือนกับบุรุษผู้เจ็บไข้ได้หายเจ็บไข้เพราะหมอคนใด
เมื่อระลึกถึงคุณของหมอคนนั้น ก็ไปหาหมอเนือง
ๆ ไปเพิ่มทรัพย์ให้หมอคนนั้นอีกเนือง
ๆ ฉะนั้น การเข้าฌานมีคุณ ๒๘
ขอถวายพระพร การเข้าฌานมีคุณ
๒๘ เมื่อสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงระลึกถึงคุณ
๒๘ นั้น ก็ทรงเข้าฌาน คุณแห่งการเข้าฌาณ
๒๘ นั้น คือ
๑. รักษาตัว
๒. ทำให้อายุเจริญ
๓. ให้เกิดกำลัง
๔. ปิดเสียซึ่งโทษ
๕. กำจัดเสียซึ่งสิ่งที่ไม่ใช่ยศ
๖. ทำให้เกิดยศ
๗. กำจัดเสียซึ่งความไม่ยินดีในธรรม
๘. ทำให้เกิดความยินดีในธรรม
๙. กำจัดเสียซึ่งภัย
๑๐. กระทำให้เกิดความกล้าหาญ
๑๑. กำจัดเสียซึ่งความเกียจคร้าน
๑๒. ทำให้เกิดความเพียร
๑๓. กำจัดเสียซึ่งราคะ
๑๔. ระงับเสียซึ่งโทสะ
๑๕. กำจัดเสียซึ่งโมหะ
๑๖. กำจัดเสียซึ่งมานะ
๑๗. ทิ้งเสียซึ่งวิตก
๑๘. ทำจิตให้มีอารมณืเป็นหนึ่ง
๑๙. ทำให้จิตรักในที่สงัด
๒๐. ทำให้เกิดร่าเริง
๒๑. ทำให้เกิดปีติ
๒๒. ทำให้เป็นที่เคารพ
๒๓. ทำให้เกิดลาภ
๒๔. ทำให้เป็นที่รักแก่ผู้อื่น
๒๕. รักษาไว้ซึ่งความอดทน
๒๖. กำจัดเสียซึ่งอาสวะแห่งสังขารทั้งหลาย
๒๗. เพิกถอนเสียซึ่งการเกิดในภพต่อไป
๒๘. ให้ถึงซึ่งสามัญผลทั้งปวง
ดูก่อนมหาราชะ การเข้าฌานย่อมีคุณ
๒๘ ประการดังนี้ สมเด็จพระชินสีห์ทั้งหลายจึงทรงเจ้าฌาน
อีกประการหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงต้องการเสวยสุขอันสงบ
ก็ทรงเข้าฌาน
อนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายย่อมทรงเข้าฌานโดยเหตุ
๔ คือ เพื่อความอยู่เป็นสุข ๑ เพื่อความไม่มีโทษมีแต่มากด้วยคุณ
๑ เพื่อความเจริญแห่งพระอริยะอย่างไม่เหลือ
๑ เป็นของที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงสรรเสริญว่าประเสริฐ
๑ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมทรงเจ้าฌานด้วยเหตุเหล่านี้ไม่ใช่ทรงเข้าฌานเวยเหตุที่ยังมีสิ่งที่ควรทำอยู่หรือด้วยเหตุเพื่อจะสะสมสิ่งที่ควรทำแล้วทรงเข้าด้วยทรงเล็งเห็นคุณวิเศษโดยแท้ขอถวายพระพร
พระผู้เป็นเจ้าโปรดนี้โยมไม่มีข้อสงสัยโยมจะรับไว้ซึ่งถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้า
ด้วยประการดังนี้
ปัญหาที่
๑๐
ถามเรื่องกำลังอิทธิบาท
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนอานนท์อิทธิบาททั้ง ๔ เป็นของที่พระตถาคตเจ้าได้อบรมแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานพาหนะแล้ว
ทำให้เป็นที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนือง ๆ
แล้ว สะสมไว้มั่นแล้ว ปรารภไว้ดีแล้ว
เมื่อพระตถาคตเจ้าจำนงจะดำรงอยู่ตลอดกัป
หรือเกินกัปกัปก็ได้
แล้วตรัสอีกว่า
เมื่อล่วง ๓ เดือนจากนี้ไป
พระตถาคตเจ้าจักปรินิพพาน ดังนี้
ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าพระตถาคตเจ้าทรงเจริญอิทธิบาท ๔ จนสามารถให้อยู่ได้ตลอดกัป
หรือเกินกว่ากัปนั้นเป็นของจริงการกำหนดเดือนนั้นก็ผิดไป
ถ้าการกำหนดเดือนนั้นถูก คำว่า จะดำรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่านั้นก็ผิดไป
คำของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ผิดเป็นคำจริงทั้งนั้น
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาลึกละเอียด
รู้ได้ยาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายเสียซึ่งข่าย
คือความเห็นเถิด
พระนาคเสนตอบว่า
ขอถวายพระพร ข้อที่ว่าพระตถาคตเจ้าทรงเจริญอิทธิบาท
อาจให้ทรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่านั้นก็เป็นของจริง
การกำหนดเดือนนั้นก็เป็นของจริง เพราะกัปที่ตรัสไว้นั้น
หมายถึงอายุกัปไม่ใช่ว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงกำลังของพระองค์
จึงได้ทรงตรัสไว้อย่างนั้น แต่เมื่อจะทรงแสดงกำลังแห่งอิทธิบาท
จึงได้ตรัสไว้อย่างนั้นต่างหาก ขอถวายพระพร
เมื่อพระราชาจะทรงแสดงกำลังรวดเร็วแห่งม้าอาชาไนย
ก็ได้ตรัสขึ้นในท่ามกลางมหาชนว่า
ม้าตัวประเสริฐนนี้อาจวิ่งไปรอบโลก
แล้วกลับมาถึงที่นี้ได้ในขณะเดียว
ดังนี้ ไม่ใช่ว่าตรัสอย่างนี้ เพื่อจะทรงแสดงความรวดเร็วของพระองค์
ทรงประสงค์เพื่อจะทรงแสดงความรวเร็วของม้าอาชาไนยต่างหาก
ข้อที่พระตถาคตเจ้าตรัสอย่างนั้นก็เพื่อจะทรงแสดงกำลังอิทธิบาทเท่านั้น
ไม่ใช่เพื่อจะทรงแสดงกำลังของพระองค์เลย
พระตถาคตเจ้าไม่ต้องการความมีความเป็นทั้งปวงแล้ว
ทรงติเตียนภพ คือ ความมีความเป็นทั้งสิ้น
ข้อนี้สมกับพระพุทธฏีกาขององค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อันว่าคูถถึงมีเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็นฉันใด
ภพถึงมีเพียงเล็กน้อย ชั่วดีดนิ้วมือเดียว
เราตถาคตก็ไม่สรรเสริญ
มหาบพิตรทรงเข้าพระทัยว่า
พระพุทธเจ้ทรงพอพระทัยในภพทั้งปวง
เพราะอาศัยอิทธิฤทธิ์หรือไม่ ?
หามิได้ พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่า
เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงกำลังอิทธิบาท
จึงได้ทรงบันลือพระพุทธสีหนาทไว้อย่างนั้น
ขอถวายพระพร
ถูกแล้ว พระนาคเสน
โยมยินดีรับคำที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนามานี้
ฎีกามิลินท์
ในฎีกาอธิบายว่า ผู้เจริญอิทธิบาทสำเร็จแล้ว
ควรมีอายุอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่าด้วยกำลังอิทธิบาท
คำว่า ถึงภพมีเพียงเล็กน้อย
ชั่วดีดนิ้วมือเดียว เราตถาคตก็ไม่สรรเสริญนั้น
ได้แก่พระตถาคตเจ้าไม่ทรงสรรเสริญซึ่งเป็นการเป็นไปแห่งภพ
อันได้แก่ขันธ์ ๕ โดยที่สุดเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว
ได้ทรงสรรเสริญแต่พระนิพพาน คือความไม่เป็นไปแห่งขันธ์
๕ เท่านั้น อธิบายต่อฎีกา
คำว่า อายุกัป ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีอรรถกถาแห่งอภิธรรม
หน้า ๓๐๖ ว่า
ได้แก่ส่วนหนึ่ง ๆ
แห่ง ๘๐ ส่วนของกัปหนึ่ง ๆ คือในกัปหนึ่ง ๆ
แบ่งออกเป็น ๘๐ ส่วน
ในอิทธิพลกถาวรรณนา
หน้า ๒๙๖ ว่าอายุกัปนั้น ได้แก่กำหนดอายุแห่งสัตว์นรกและสวรรค์นั้น
ๆ
เพราะฉะนั้น จึงได้ใจความว่า
ผู้สำเร็จอิทธิบาท เมื่อจำนงจะอยู่ตลอดอายุกัปหนึ่งหรือเกิดกว่าก็ได้
แต่ท่านเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วทั้งนั้น
ไม่มีใครประสงค์จะอยู่เลย จึงไม่มีใครอยู่
ดังนี้ จบวรรคที่ ๑ ***********
วรรคที่
๒
ปัญหาที่
๑
ถามเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง
ไม่ใช่แสดงธรรมอันไม่ควรรู้ยิ่ง
ดังนี้
แต่ต่อมาได้ตรัสไว้ในพระวินัยบัญญัติว่า
ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไปแล้ว สงฆ์จำนงถอนขุททานุขุททกสิกขาบท
( สิกขาบทเล็กน้อย ) ก็ถอนเถิด ดังนี้ จึงขอถามว่า
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขุททานุขุททกสิกขาบทนั้น
ทรงบัญญัติไว้ไม่ดีหรือ หรือว่าทรงบัญญติไว้ในเวลายังไม่มีเรื่องเกิดขึ้น
จึงทรงอนุญาตให้ถอนขุททานุขุททกสิกขาบท
ในเมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าพระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง
การโปรดให้ถอนสิกขาบทก็ผิดไป ถ้าการโปรดให้ถอนสิกขาบทเป็นการถูก
การที่ว่าแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่งผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาอันสุขุมละเอียด
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงความกว้างขวางแห่งกำลังญาณ
เหมือนกับมังกรที่อยู่ในท้องสาครฉะนั้นเถิด
พระนาคเสนถวายพระพรว่า
มหาราชะ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
เราแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่งไม่ใช่แสดงธรรมอันไม่ควรรู้ยิ่ง
ดังนี้จริงและตรัสไว้อีกในพระวินัยบัญญัติว่า
เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จำนงจะถอนขุททานุขุททกสิกขาบท
ก็จงถอนเถิด ดังนี้ก็จริง เป็นอันว่าจริงทั้งสองคำ
ขอถวายพระพร เมื่อพระตถาคตเจ้าจะทรงทดลองภิกษุทั้งหลายว่า
สาวกของเราจักเลิกถอนขุททานุขุททกสิกขาบทที่เราอนุญาตไว้หรือจักยึดมั่นไว้
ดังนี้ จึงได้ตรัสไว้อย่างนั้น มหาราชะ
เหมือนอย่างว่า พระเจ้าจักรพรรดิตรัสแก่พระราชโอรสว่า
ลูกเอ๋ย...บ้านเมืองอันกว้างขวางนี้
มีมหาสมุทรเป็นที่สุดในทิศทั้งปวง
เป็นของปกครองยาก เมื่อบิดาล่วงลับไปแล้ว
จงสละปัจจัตประเทศตามความประสงค์เถิด พระราชกุมารเหล่านั้น
จะยอมสละปัจจัตประเทศ ( จังหวัดชายแดน ) อันตกอยู่ในเงื้อนมือของตน
ตามพระดำรัสสั่งของพระราชบิดาหรือไม่
?
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
พระราชกุมารเหล่านั้น มีแต่อยากจะหาเพิ่มขึ้นอีกถึงสองเท่า
ด้วยความโลภ จะสละทิ้งบ้านเมืองที่อยู่ในเงื้อมมือของตนแล้วได้อย่างไร
ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละพระพุทธบุตรทั้งหลาย
ก็มีแต่จะเพิ่มสิกขาบทอื่นเข้าไปอีก
ด้วยความโลภในธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์
อย่าว่าแต่สิกขาบทอื่นที่ทรงบัญญัติไว้แล้วเลย
ข้าแต่พระนาคเสน
ขุททานุขุททกสิกขาบทนั้น ได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร ขุททกสิกขาบท
ได้แก่ ทุกกฎฯ อนุขุททกสิกขาบท ๆได้แก่
ทุพภาษิตฯ ขุททานุขุททกสิกขาบททั้งสองนี้เมื่อก่อนพระอรหันต์ทั้งหลายเกิดความสงสัย
ท่านจึงได้รวมเข้าไว้เป็นอันเดียวกับสิกขาบทอื่น
ๆ ด้วย ธรรมสังคีตปริยาย เพราะเห็นว่าปัญหานั้นสมเด็จพระภควันต์ได้เข้าไปเห็นแล้ว
ข้าแต่พระนาคเสน
ข้อลี้ลับของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เก็บไว้นานแล้ว
ได้เปิดให้ปรากฏขึ้นในโลกวันนี้แล้ว
ฎีกามิลินท์
ท่านอธิบายคำว่า
ได้รวมกันเข้าไว้ด้วยธรรมสังคีติปริยายนั้น
หมายถึงพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นได้รวมปาราชิก
๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์
๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ อธิกรณสมถะ
๗ เข้าไว้เป็นหมวดเป็นหมู่กันแล้วไม่ตัดสินชี้ขาดไว้ว่าขุททานุขุททกสิกขาบท
คือสิกขาบทเล็กน้อยนั้นได้แก่อะไร
อธิบายต่อฎีกา
คำว่า ขุททานุขุททกะ
แยกออกเป็นสองได้แก่ ขุททกะ แปลว่า
เล็ก อนุขุททกะ แปลว่า เล็กตามลำดับ
ขุททกสิกขาบท อันแปลว่า
สิกขาบทเล็กนั้น ได้แก่ ทุกกฏ ( การทำไม่ดี
) ซึ่งเป็นอาบัติเบากว่าอาบัติทั้งปวง
อนุขุททกสิกขาบท อันแปลว่า
สิกขาบทเล็กตามลำดับนั้น ได้แก่ ทุพภาษิต
( การพูดไม่ดี ) ที่จัดว่าเล็กตามลำดับ
( ขอพักเรื่องปัญหาไว้ก่อนเพื่อผ่อนคลายในเรื่องพระสูตรกันบ้าง
เป็นอันว่าเรื่องเทพบุตรที่ต้องลงมาเกิดเพราะพระอินทร์ทรงอ้อนวอน
๔ ท่านนั้น ได้เสนอกันมาถึงเรื่องสุดท้ายแล้วแต่เรื่องนี้มีความยาวมาก
จะเสนอท่านผู้อ่านเป็นลำดับไป )
พระเจ้ากุสราชบรมโพธิสัตว์
กุสราชชาดกนี้มีใจความว่า
เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
พระเจ้ากุสราช พระองค์เป็นผู้ฉลาดรู้จบศิลปศาสตร์ทั้งปวง
แต่มีพระรูปขี้เหร่ จนพระอัครมมเหสีต้องเสด็จหนีไม่อภิรมย์ด้วย
พระองค์ได้เสด็จตามและได้ทรงพยายามด้วยประการต่าง
ๆ ที่จะได้พระมเหสีกลับคืนมา ภายหลังก็ได้รับความอนุเคราะห์ของท้าวสักกะ
จึงได้ปรองดองกัน ต่อไปนี้เป็นเนื้อความพิสดารใน
พระสุตตันปิฏกขุททกนิกาย สัตตกนิบาต เริ่มต้นว่า
เมื่อครั้งสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้มีความกระสันอยากจะสึกรูปหนึ่งให้เป็นเหตุจึงตรัสเทศนาชาดกนี้
ให้เป็นผลแก่ประชุมชนทั้ง มีเนื้อเรื่องเบื้องต้นว่า
ยังมีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่งได้
ถวายชีวิตออกบวชในพระพุทธศาสนา วันหนึ่งเธอเที่ยวไปบิณฑาตในกรุงสาวัตถี
เห็นสตรีนางหนึ่งซึ่งแต่งกายงดงาม
เกิดความรักใตร่พอใจ จนถึงกับเบื่อหน่ายในพระธรรมวินัยทั้งกิจวัตรต่าง
ๆ เสีย
โดยที่สุดแม้แต่ผมก็ไม่โกน
เล็บก็ไม่ตัด มีจีวรเศร้าหมอง ทั้งข้าวปลาอาหารก็กินไม่ได้จึงมีร่างกายซูบผอมลงทุกวัน
มีเส้นเอ็นขึ้นสะพรั่งไปทั้งตัว
มีอุปมาเหมือนกับเทพบุตรทั้งหลายผู้ที่จะจุติจากเทวโลก
ย่อมมีบุพนิมิต ๕ ประการเกิดขึ้นคือ
พวกดอกไม้ทิพย์เหี่ยวแห้ง
๑ ผ้าทิพย์เศร้าหมอง ๑ ผิวพรรณไม่ผ่องใส
๑ มีเหงื่อออกตามรักแร้ ๑ ไม่รู้สึกยินดีในทิพยอาสน์
๑
ส่วนภิกษุผู้จะสึกจากพระพุทธศาสนาก็มีบุพนิมิต
๕ ประการเกิดขึ้นก่อนเหมือนกันได้แก่
ดอกไม้คือศรัทธา ย่อมเหี่ยวแห้งไป ๑ ผ้าคือศีลย่อมเศร้าหมอง
๑ ผิวพรรณไม่ผ่องใส ๑ มีเหงื่อคือกิเลสเกิดขึ้นครอบงำ
๑ ไม่ยินดีที่จะอยู่ในป่า หรือโคนต้นไม้
หรือเรือนว่าง ๑ ดังนี้ บุพนิมิตทั้งหลายปรากฏแล้วแก่ภิกษุนั้น
ลำดับนั้นภิกษุทั้งหลาย
จึงได้นำเธอเข้าไปในสำนักของพระศาสดา
แล้วกราบทูลเล่าเรื่องถวายให้ทรงทราบ
สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงทรงซักถามเมื่อภิกษุนั้นรับตามความเป็นจริงแล้ว
จึงทรงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เธออย่าตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลสเลย
ธรรมดาว่ามาตุคามนี้เป็นข้าศึก ( ต่อการประพฤติพรหมจรรย์
) เธอจงหักห้ามจิตใจจากมาตุคามนั้นเสีย
แล้วยินดีในศาสนาของเราเถิด บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน
ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจวาสนายังเสื่อมเสียจาอำนาจ
ตกทุกข์ได้ยากเพราะรักใคร่ในมาตุคามเลย
ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่
ได้รับการอาราธนาจากภิกษุเหล่านั้น จึงทรงยกชาดกนี้แสดงต่อไปว่า
กุสาวดีราชธานี ในอดีตกาล พระเจ้าโอกกากราช
ครองราชสมบัติโดยธรรม ในกุสาวดีราชธานีแว่นแคว้นมัลละ
พระบาทท้าวเธอมีพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่า
สีลวดี แต่ทว่าพระนางหามีพระโอรสและพระธิดาไม่
ต่อมาชาวเมื่องไม่พอใจต่างพากันกราบทูลให้พระราชาปล่อยนางนักสนมออกไป
แต่ก็ไม่มีผู้ใดจะได้บุตรกลับมา
จึงให้พระอัครมเหสีไปเป็นนางบำเรอของบุรุษทั้งหลายบ้าง
ครั้งนั้น ด้วยอำนาจศีลของพระนางจึงทำให้ทิพย์อาสน์ของสมเด็จอมรินทราธิราชเร่าร้อนผิดสังเกต
เมื่อทรงทราบเหตุดังนั้นแล้ว จึงเสด็จไปอ้อนวอนพระโพธิสัตว์
และเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ให้ลงมาถือกำเนิดในพระครรภ์ของพระนางสีลวดี
ครั้งแล้วสมเด็จอมรินทราธิราชได้ทรงจำแลงเพศเป็นพราหมณ์ชราพาพระนางสีลวดีออกไปเนรมิตเรือนแก้วขึ้นที่ข้างประตูพระนคร
เมื่อพระนางเอน