ตอนที่
๒๐
ปัญหาที่
๒ ถามเรื่องปัญหาที่แก้ด้วยการพักไว้
พระเจ้ามิลินทร์ตรัสถามว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนอานนท์ อาจริยมุฏฐิ คือกำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย
ไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า แต่ภายหลัง พระมาลุงกยบุตร
ได้ทูลถามก็ไม่ทรงแก้ จึงว่าปัญหานี้
จักเป็นปัญหาที่เด็ดขาดลงไปใน ๒
อย่าง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือไม่ทรงแก้เพราะไม่รู้
หรือเพราะกระทำข้อลี้ลับไว้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
กำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต
ดังนี้เป็นคำจริงแล้ว การที่ไม่ทรงแก้นั้น
ก็ต้องเป็นเพราะไม่ทรงล่วงรู้ถ้าทรงล่วงรู้แต่ไม่แก้
คำว่า กำมือแห่อาจารย์ในธรรมทั้งหลาย
ก็ต้องมีแก่พระตถาคต ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ
ละเอียดลึกซึ่งนัก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายเสียซึ่งข่าย
คือ ทิฏฐิเถิด พระนาคเสนเถระถวายพระพรว่า
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้อย่างนั้นจริง
แต่ที่ไมีทรงแก้นั้น ไม่ใช่เพราะไม่ทรงล่วงรู้
ไม่ใช่เพราะกระทำให้เป็นข้อลี้ลับไว้
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้แสดงแก้ปัญหาไว้เป็น
๔ประการ คือ
๑. เอกังสพยากรณ์ เมื่อมีผู้ถามก็แก้ออกไปทีเดียว
๒. วิภัชชพยากรณ์ แยกแล้วจึงแก้
๓. ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ย้อมถามแล้วจึงแก้
๔. ฐปนียพยากรณ์ แก้ด้วยการงดไว้ยกตัวอย่างการแก้ว่า
สิ่งที่เป็นอนิจจัง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เรียกว่า เอกังสพยากรณ์การแก้ว่า รูป เวทนา สัญญษ
สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยว เรียกว่า วิภัชชพยากรณ์การย้อนถามว่า
บุคคลย่อมรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุหรือ?
ถามดังนี้แล้วจึงแก้เรียกว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์
คำถามอันหาประโยชน์มิได้ ไม่ควรจะกล่าวแก้
เช่นถามว่า โลกยั่งยืน หรือโลกไม่ยั่งยืน โลกมีที่สุดหรือโลกไม่มีที่สุด
โลกมีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี
โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ชีพกับสรีระเป็นเดียวกัน
ชีพกับสรีระเป็นอื่น พระตถาคตเจ้าตายแล้วเกิดก็มี
ไม่เกิดก็มี เกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี
จะว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่
เป็นต้นปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ เรียกว่า ฐปนียปัญหา
เหตุไรปัญหานั้นจึงเป็นฐปนียปัญหาเหตุว่าไม่มีเหตุที่จะให้ทรงแก้ปัญหานั้นเพราะการเปล่งพระวาจาอันไม่มีเหตุ
ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอถวายพระพร สาธุ... พระนาคเสน โยมยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น
ฎีกามิลินท์
คำว่า เอกังสพยากรณ์
ได้แก่มีผู้ถามว่า รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ก็ตอบออกไปทีเดียวว่า ไม่เที่ยว
คำว่า วิภัชชพยากรณ์ ได้แก่แยกตอบเป็นอย่าง
ๆ ไปว่า รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง
เป็นต้น
ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ได้แก่เมื่อมีผู้ถามว่า
บุคคลรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุหรือ
ก็ย้อนถามออกไปว่า หมายถึงจักษุอะไร
เมื่อมีผู้ตอบว่า หมายถึงสมันตจักษุ
( ตาเนื้อ ) จึงแก้ว่า ถูก...บุคคลย่อมรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุ
อธิบายให้ฟังว่า ฐปนียพยากรณ์ อันแปลว่า
แก้ด้วยการพักไว้นั้น คือเมื่อมีผู้ถามก็นิ่งเสียไม่ตอบ
เพราะไม่มีประโยชน์อธิบายฐปนียพยากรณ์ ในฏีกาไม่ได้อธิบายไว้
จึงขออันใดในการตอบอีกอย่างหนึ่ง
ได้เคยตอบหรือเคยอธิบาย หรือเคยแสดงไว้ในที่อื่นมามากแล้ว
เมื่อมีผู้ถามก็งดไม่ตอบ เพราะเห็นว่าได้เคยตอบ
เคยอธิบาย เคยแสดงไว้ในที่อื่นมากแล้วปัญหาว่า
โลกยั่งยืน หรือไม่ยั่งยืน เป็นต้นนั้น พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า
การตอบออกไป ก็ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอีกอย่างหนึ่ง
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้พิสดารใน
พรหมชาลสูตร แล้วด้วยเหตุทั้งสองอย่างนี้
เวลาพระมาลุงกยบุตรทูลถาม จึงไม่ทรงแก้ออกไปตรง
ๆ ว่าเป็นอย่างไร เป็นแต่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้พระมาลุงกยบุตร
เข้าใจในทางธรรมตามเป็นจริงเท่านั้น
ปัญหาที่
๓ ถามเรื่องมรณภัย
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสไว้ว่า บุคคลทั้งปวงกลัวอาชญา
บุคคลทั้งปวงกลัวความตาย ดังนี้ และตรัสไว้อีกว่า
พระอรหันต์ล่วงเสียซึ่งความกลัวทั้งปวงแล้ว
จึงขอถามว่า ความกลัวอาชญา หรือความสะดุ้งมีอยู่แก่พระอรหันต์หรือ...อีกอย่างหนึ่ง
พวกสัตว์นรกที่ถูกไฟไหม้อยู่เป็นนิจนั้น
เมื่อจะพ้นจากนรกใหญ่อันมีเปลวไฟลุกอยู่เป็นนิจนั้นยังจะกลัวความตายหรือ?ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้นถูกแล้ว
คำที่ว่าพระอรหันต์ล่วงความกลัวทั้งปวงแล้วก็ผิดถ้าคำว่า
พระอรหันต์ล่วงความกลัวทั้งปวงแล้วนั้นถูก
คำว่าบุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้นก็ผิดปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ
โปรดแสดงให้สิ้นสงสัยเถิด พระคุณเจ้าข้าฃพระนาคเสนตอบว่า
ขอถวายพระพร คำว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา
กลัวต่อความตายนั้น ไม่ได้หมายถึงพระอรหันต์
เพราะพระอรหันต์ได้ตัดต้นเหตุที่จะให้เกิดความกลัวแล้วบุคคลเหล่าใดยังมีกิเลสอยู่
ยังมีความเห็นเป็นตัวเป็นตนแรงกล้าอยู่
ยังเอนเอียงในสุขทุกข์อยู่ สมเด็จพระบรมครูหมายบุคคลเหล่านั้น
จึงได้ตรัสว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา
กลัวความตายพระอรหันต์ทั้งหลายได้ตัดคติทั้งปวงแล้ว
ตัดเสียซึ่งปฏิสนธิมิได้เกิดในภพทั้งสามหักซึ่งโครงแห่งนายช่าง
คือ