ตอนที่ ๒๐
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องปัญหาที่แก้ด้วยการพักไว้
พระเจ้ามิลินทร์ตรัสถามว่า
“ ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า“ ดูก่อนอานนท์ อาจริยมุฏฐิ คือกำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า ”แต่ภายหลัง พระมาลุงกยบุตร ได้ทูลถามก็ไม่ทรงแก้ จึงว่าปัญหานี้ จักเป็นปัญหาที่เด็ดขาดลงไปใน ๒ อย่าง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือไม่ทรงแก้เพราะไม่รู้ หรือเพราะกระทำข้อลี้ลับไว้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า กำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต ดังนี้เป็นคำจริงแล้ว การที่ไม่ทรงแก้นั้น ก็ต้องเป็นเพราะไม่ทรงล่วงรู้ถ้าทรงล่วงรู้แต่ไม่แก้ คำว่า “ กำมือแห่อาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ก็ต้องมีแก่พระตถาคต ”ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ละเอียดลึกซึ่งนัก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายเสียซึ่งข่าย คือ ทิฏฐิเถิด ”พระนาคเสนเถระถวายพระพรว่า“ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้อย่างนั้นจริง แต่ที่ไมีทรงแก้นั้น ไม่ใช่เพราะไม่ทรงล่วงรู้ ไม่ใช่เพราะกระทำให้เป็นข้อลี้ลับไว้ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้แสดงแก้ปัญหาไว้เป็น ๔ประการ คือ
๑. เอกังสพยากรณ์ เมื่อมีผู้ถามก็แก้ออกไปทีเดียว
๒. วิภัชชพยากรณ์ แยกแล้วจึงแก้
๓. ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ย้อมถามแล้วจึงแก้
๔. ฐปนียพยากรณ์ แก้ด้วยการงดไว้ยกตัวอย่างการแก้ว่า “ สิ่งที่เป็นอนิจจัง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ” เรียกว่า เอกังสพยากรณ์การแก้ว่า “ รูป เวทนา สัญญษ สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยว” เรียกว่า วิภัชชพยากรณ์การย้อนถามว่า “ บุคคลย่อมรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุหรือ? ” ถามดังนี้แล้วจึงแก้เรียกว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์ คำถามอันหาประโยชน์มิได้ ไม่ควรจะกล่าวแก้ เช่นถามว่า โลกยั่งยืน หรือโลกไม่ยั่งยืน โลกมีที่สุดหรือโลกไม่มีที่สุด โลกมีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ชีพกับสรีระเป็นเดียวกัน ชีพกับสรีระเป็นอื่น พระตถาคตเจ้าตายแล้วเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี เกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี จะว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ เป็นต้นปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ เรียกว่า ฐปนียปัญหา เหตุไรปัญหานั้นจึงเป็นฐปนียปัญหาเหตุว่าไม่มีเหตุที่จะให้ทรงแก้ปัญหานั้นเพราะการเปล่งพระวาจาอันไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอถวายพระพร ”“ สาธุ... พระนาคเสน โยมยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น ”ฎีกามิลินท์
คำว่า เอกังสพยากรณ์ ได้แก่มีผู้ถามว่า “ รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง” ก็ตอบออกไปทีเดียวว่า “ ไม่เที่ยว ”
คำว่า วิภัชชพยากรณ์ ได้แก่แยกตอบเป็นอย่าง ๆ ไปว่า “ รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง ” เป็นต้น
ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ได้แก่เมื่อมีผู้ถามว่า “ บุคคลรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุหรือ” ก็ย้อนถามออกไปว่า “หมายถึงจักษุอะไร” เมื่อมีผู้ตอบว่า “ หมายถึงสมันตจักษุ ( ตาเนื้อ ) จึงแก้ว่า “ ถูก...บุคคลย่อมรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุ ” อธิบายให้ฟังว่า ฐปนียพยากรณ์ อันแปลว่า แก้ด้วยการพักไว้นั้น คือเมื่อมีผู้ถามก็นิ่งเสียไม่ตอบ เพราะไม่มีประโยชน์อธิบายฐปนียพยากรณ์ ในฏีกาไม่ได้อธิบายไว้ จึงขออันใดในการตอบอีกอย่างหนึ่ง ได้เคยตอบหรือเคยอธิบาย หรือเคยแสดงไว้ในที่อื่นมามากแล้ว เมื่อมีผู้ถามก็งดไม่ตอบ เพราะเห็นว่าได้เคยตอบ เคยอธิบาย เคยแสดงไว้ในที่อื่นมากแล้วปัญหาว่า โลกยั่งยืน หรือไม่ยั่งยืน เป็นต้นนั้น พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า การตอบออกไป ก็ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้พิสดารใน พรหมชาลสูตร แล้วด้วยเหตุทั้งสองอย่างนี้ เวลาพระมาลุงกยบุตรทูลถาม จึงไม่ทรงแก้ออกไปตรง ๆ ว่าเป็นอย่างไร เป็นแต่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้พระมาลุงกยบุตร เข้าใจในทางธรรมตามเป็นจริงเท่านั้น ”
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องมรภัย
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
 “ ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสไว้ว่า“ บุคคลทั้งปวงกลัวอาชญา บุคคลทั้งปวงกลัวความตาย ”ดังนี้ และตรัสไว้อีกว่า“ พระอรหันต์ล่วงเสียซึ่งความกลัวทั้งปวงแล้ว ”จึงขอถามว่า ความกลัวอาชญา หรือความสะดุ้งมีอยู่แก่พระอรหันต์หรือ...อีกอย่างหนึ่ง พวกสัตว์นรกที่ถูกไฟไหม้อยู่เป็นนิจนั้น เมื่อจะพ้นจากนรกใหญ่อันมีเปลวไฟลุกอยู่เป็นนิจนั้นยังจะกลัวความตายหรือ?ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้นถูกแล้ว คำที่ว่าพระอรหันต์ล่วงความกลัวทั้งปวงแล้วก็ผิดถ้าคำว่า พระอรหันต์ล่วงความกลัวทั้งปวงแล้วนั้นถูก คำว่าบุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้นก็ผิดปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแสดงให้สิ้นสงสัยเถิด พระคุณเจ้าข้า”ฃพระนาคเสนตอบว่า“ ขอถวายพระพร คำว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้น ไม่ได้หมายถึงพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ได้ตัดต้นเหตุที่จะให้เกิดความกลัวแล้วบุคคลเหล่าใดยังมีกิเลสอยู่ ยังมีความเห็นเป็นตัวเป็นตนแรงกล้าอยู่ ยังเอนเอียงในสุขทุกข์อยู่ สมเด็จพระบรมครูหมายบุคคลเหล่านั้น จึงได้ตรัสว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวความตายพระอรหันต์ทั้งหลายได้ตัดคติทั้งปวงแล้ว ตัดเสียซึ่งปฏิสนธิมิได้เกิดในภพทั้งสามหักซึ่งโครงแห่งนายช่าง คือตัณหาแล้ว ตัดเหตุแห่งภพทั้งปวงแล้ว กำจัดสังขาร กุศล อกุศล เสียสิ้นแล้วกำจัดอวิชชาไม่ให้มีพืชต่อไปแล้ว เผากิเลสทั้งปวงแล้ว ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายแล้ว เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายจึงไม่สะดุ้งต่อภัยทั้งปวงอุปมามหาอำมาตย์ทั้ง ๔ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร เปรียบปานดุจมหาอำมาตย์ทั้ง ๔ ของพระราชาที่ได้รับพระราชทานยศศักดิ์ฐานันดรแล้วมีอยู่ เมื่อมีกรณียกิจเกิดขึ้นพระราชาก็ตรัสสั่งว่า“ คนทั้งปวงในแผ่นดินของเรา จงกระทำพลีแก่เรา มหาอำมาตย์ทั้ง ๔ จงทำให้เรื่องนี้สำเร็จ ”อาตมภาพขอถามว่า ความสะดุ้งต่อภัยคือพลี จะมีแก่มหาอำมาตย์ทั้ง ๔ นั้นหรือไม่ ? ”“ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”“ เพราะเหตุไร มหาบพิตร ? ”“ เพราะเหตุว่ามหาอำมาตย์ทั้ง ๔ นั้น เป็นที่ผู้พระราชาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งสูงแล้วเป็นผู้ล่วงเสียซึ่งพลีแล้วคำที่พระราชาตรัสสั่งว่า บุคคลทั้งปวงจงกระทำพลีนั้น หมายบุคคลเหล่านั้น นอกจากมหาอำมาตย์ทั้ง ๔ นั้น อย่างนี้แหละพระผู้เป็นเจ้า ”“ ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ว่าบุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้น สมเด็จพระภควันต์ก็ไม่ได้ตรัสหมายถึงพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ได้ตัดต้นเหตุที่จะให้สะดุ้งกลัวเสียหมดแล้วหมายเฉพาะผู้ยังมีกิเลสเท่านั้น”ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า “ ทั้งปวงนี้จะว่าเป็นคำมีเศษหามิได้ เป็นคำไม่มีเศษโดยแท้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงชี้แจงเหตุการณ์ในข้อนี้ให้โยมฟัง”อุปมาดั่งนายบ้าน
 “ มหาราชะ เปรียบประดุจดังนายบ้านสั่งให้บอกลูกบ้านว่า “ พวกที่อยู่ในบ้านของเราทั้งสิ้น จงมาประชุมกันในสำนักของเรา”ผู้รับสั่งก็ไปยืนประกาศในท่านกลามบ้านขึ้นด้วยเสียงอันดังถึง ๓ ครั้งว่า“ ชาวบ้านทั้งสิ้น จงรีบไปประชุมในสำนักเจ้าของบ้าน”ลำดับนั้น ชาวบ้านก็รีบไปประชุมกันผู้รับคำสั่งนั้นก็บอกเจ้าของบ้านว่า “ ชาวบ้านทั้งปวงมาประชุมกันแล้ว สิ่งใดที่ควรกระทำขอจงกระทำเถิด”เป็นอันว่า เมื่อนายบ้านผู้นั้นจะให้ลูกบ้านเท่าที่เห็นปรากฏมาประชุม ก็สั่งลูกบ้านทั้งหมด ลูกบ้านที่รับคำสั่งแล้ว ก็ไม่ได้มาประชุมหมด แต่นายบ้านก็รับว่า ลูกบ้านของเราประชุมหมดแล้วความจริงที่ไม่ได้มาประชุมก็มีอยู่อีกเป็นอันมาก คือ สตรี บุรุษ ทาสี ทาส ลูกจ้าง คนตาบอด หญิงมีครรภ์ แพะ แกะ ช้าง สุนัข โค แม่โคนม แต่พวกนั้นก็ไม่ได้นับเข้าในพวกที่ไม่ได้มาประชุมฉันใดบุคคลเหล่าใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ทรงหมายบุคคลเหล่านั้น จึงตรัสว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่อาชญาฉันนั้นขอถวายพระพร ถ้อยคำมีเศษก็มีความหมายมีเศษก็มีฯ ถ้อยคำมีเศษ ส่วนความหมายไม่มีเศษฯ ถ้อยคำไม่มีเศษความหมายมีเศษก็มีฯ ถ้อยคำไม่มีเศษความหมายไม่มีเศษก็มีฯเพราะฉะนั้น จึงควรพิจารณาความหมาย ควรรับทราบความหมายอนุโลมตามกัน ๑ มีความหมายยิ่งไปกว่าเหตุ ๑ มีความหมายเกี่ยวกับจะต้องถามอาจารย์ ๑ มีความหมายที่จะต้องอธิบายออกไป ๑เมื่อเข้าใจความหมายอย่างนี้ จึงจะเป็นอันวินิจฉัยตัดสินปัญหานั้นได้ดี ขอถวายพระพร ”สัตว์นรกยังกลัวตายหรือ“ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้จงยกไว้ โยมรับละ คือจงยกพระอรหันต์ทั้งหลายเสียให้สะดุ้งแต่สัตว์นอกนั้น โยมจะขอถามว่าพวกสัตว์นรกที่ได้รับทุกขเวทนาเผ็ดร้อนกล้าแข็ง มีร่างกายทั้งสิ้นถูกไฟเผา เร่าร้อนหวั่นไหวอยู่ด้วยไฟมีหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาที่ร้องไห้รำพันคร่ำครวญ ถูกทุกข์เผ็ดร้อนกล้าแข็งครอบงำอย่างเหลือเกิน ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีเวลาสร่างทุกข์โศก มีแต่จะได้รับทุกขเวทนาไปท่าเดียว มีแต่จะได้รับทุกข์โศกไปอย่างเดียวถูกไฟเผาลนอย่างร้ายกาจ มีเสียงร้องน่าสะพรึงกลัว มีเปลวไฟ ๖ อย่างห้อมล้อมอยู่ ไม่ว่างจากเปลวไฟอันแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์ เมื่อจะตายไปจากนรกใหญ่อันเผ็ดร้อนอย่างนั้น ยังจะกลัวตายอยู่หรือพระผู้เป็นเจ้า ? ”พระนาคเสนชี้แจงว่า“ ขอถวายพระพร ยังกลัวตายอยู่ ”“ ข้าแต่พระนาคเสน นรกมีแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวไม่ใช่หรือ เหตุไรพวกสัตว์นรกที่ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างเดียว เมื่อจะตายจึงยังกลัวตายอยู่ สัตว์นรกเหล่านั้น ยังยินดีอยู่ในนรกหรือ ? ”“ ขอถวายพระพร สัตว์นรก เหล่านั้นได้ยินดีอยู่ในนรกเลย มีแต่อยากพ้นไปจากนรก แต่ที่กลัวตายนั้น เป็นเพราะอานุภาพแห่งความตาย”“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คำที่ว่าสัตว์นรกอยากพ้นจากนรก แต่ยังกลัวตายนั้น โยมไม่เชื่อ เพราะผู้ที่อยากพ้นจากทุกข์ จะกลัวอย่างไร สัตว์ทั้งหลายได้สิ่งใดสมความปรารถนาก็ร่าเริงดีใจ เพราะฉะนั้น ขอจงให้โยมเข้าใจความข้อนี้ด้วยเถิด ”“ ขอถวายพระพร อันความตายย่อมเป็นเหตุให้เกิดความสะดุ้งแก่สัตวทั้งหลายที่ยังไม่เห็นสัจจะ พวกที่ยังไม่เห็นสัจจะ คือความจริง ย่อมสะดุ้ง ย่อมพรั่นพรึง ผู้ใดกลัวงูเห่าดำ ผู้นั้นก็กลัวตาย ผู้ใดกลัวตาย ผู้นั้นก็กลัวงูเห่าดำผู้ใดกลัวช้าง สิงห์ เสือโคร่ง เสือ เหลือง หมี หมาไน กระบือป่า กระบือบ้าน โจร ไฟ น้ำ ตอหนาม ยักษ์ ผีเสื้อน้ำ ผู้นั้นก็กลัวความตาย ความตายมีเดชแรงกล้าอย่างนี้ พวกที่มีกิเลสจึงกลัวตาย พวกสัตว์นรกอยากพ้นจากนรกก็จริงแต่ก็ยังกลัวตาย”อุปมาบุรุษผู้เป็นฝี
 “ ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า บุรุษคนหนึ่งเป็นฝีทนทุกขเวทนา อยากจะหมดทุกข์จึงให้หาหมอผ่าตัด เมื่อหมอผ่าตัดมาถึง ก็วางเครื่องมือไว้แล้วลับมีดให้คม เผาซี่เหล็กให้แดง บดยากัดไว้ เวลาหมดทำอย่างนั้นอยู่ คนที่เป็นฝีนั้น จะสะดุ้งกลัวต่อการกระทำของหมอนั้นหรือไม่ ? ”
“ สะดุ้งกลัว พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร ผู้อยากจะหายโรคยังสะดุ้งกลัวต่อวิธีการรักษาอยู่ฉันใด พวกสัตว์นรกก็ยังสะดุ้งกลัวต่อความตายฉันนั้น ”อุปมาบุรุษผู้มีความผิด
“ อีกอย่างหนึ่ง บุรุษที่มีความผิดต่อเจ้านาย ถูกใส่โซ่ตรวนขัวไว้ในที่คุมขัง ได้รับทุกข์ลำบาก อยากจะพ้นจากความลำบากนั้นไป เจ้านายจึงให้เรียกเข้ามาเพื่อจะปล่อยเขาไป บุรุษผู้มีความผิดนั้นไม่รู้ความประสงค์ของเจ้านาย เมื่อไปถึงเจ้านาย เขาจะสะดุ้งกลัวไหม ? ”
 “ สะดุ้งกลัว พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร ความกลัวนายย่อมมีแก่บุรุษผู้มีความผิดฉันใด พวกสัตว์นรกก็กลัวความตายฉันนั้น ”
 “ ข้าแต่ดพระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงเหตุที่ จะทำให้โยมเข้าใจยิ่งไปกว่านี้อีก ”อุปมาบุรุษผู้ถูกงูพิษกัด
 “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษถูกงูพิษกัดล้มกลิ้งอยู่ มีบุรุษอีกคนหนึ่ง เรียกงูพิษนั้นกลับมาด้วยอำนาจมนต์ ให้มาดูดเอาพิษไป บุรุษผู้ถูกงูกัดนั้นจักกลัวหรือไม่? ”
“ กลัว พระผู้เป็นเจ้า ”
 “ ความกลัวย่อมมีแก่บุรุษผู้ถูกงูกัด ผู้กำลังจะหายจากงูพิษฉันใด ถึงพวกสัตว์นรกอยากจะพ้นนรกก็ยังกลังความตายอยู่ฉันนั้นความตายเป็นของที่ไม่ต้องการ ไม่รักใคร่พอใจขอสัตว์ทั้งปวง เพราะฉะนั้น พวกสัตว์นรกจึงกลัวตาย ขอถวายพระพร ”“ ถูกแล้วพระนาคเสน โยมยินดีรับว่าถูกต้อง ”พระเจ้ากุสราช ( ตอนที่ ๒ )พระราชาทรงปลอมพระองค์
 นับแต่นั้นมาพระเจ้ากุสราชกับพระอัครมเหสี ได้ทรงพบกันแต่ในเวลาราตรีเท่านั้นพระรัศมีของพระนาง ไม่อาจส่องให้เห็นพระพักตร์ของพระราชสวามีได้ถนัด ด้วยอำนาจบุญญาภินิหารของพระโพธิสัตว์แรงกล้า
 แต่พอ ๒ - ๓ วันผ่านพ้นไปพระราชามีความปรารถนาจะได้เห็นพระอัครมเหสีในเวลากลางวัน จึงทูลถามพระราชมารดาให้ทรงทราบ พระราชมารดาก็ทรงห้ามว่ารอให้ได้พระโอรสองค์หนึ่งก่อนเถิด
เมื่อพระราชาอ้อนวอนบ่อย ๆ เข้า พระมารดาไม่อาจขัดขืนได้จึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงปลอมเป็นคนเลี้ยงช้างไปอยู่ในโรงช้างเถิด แม่จะพานางไปในที่ตรงนั้น แต่ระวังอย่าให้นางเกิดสงสัยได้ พระราชาก็ได้กระทำตามนั้น
 ลำดับนั้น พระมารดาจึงรับสั่งให้คนตกแต่งโรงช้าง แล้วตรัสชักชวนพระนางประภาวดีให้เข้าไปชมช้างต้นของพระราชาภายในโรงช้าง
พระราชาทรงปลอมพระองค์เป็นคนเลี้ยงช้าง ทอดพระเนตรเห็นพระมเหสีเสด็จตามหลังพระราชมารดา จึงทรงหยิบเอาขี้ช้างก้อนหนึ่งขว้างไปที่หลังของพระนางประภาวดีพระนางทรงกริ้งกราดตวาดออกไปว่า
 “ เจ้าบังอาจมาก เราจักให้พระราชาทรงตัดมือของเจ้าเสีย”
ฝ่ายพระราชมารดาจึงได้ทรงปลอบประโลมเอาพระทัยว่า อย่าถือสากับคนเลี้ยงช้างเลย แล้วทรงช่วยปัดข้างหลังให้ ต่างพากันเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
 ต่อมาพระราชมใคร่จะได้เห็นนางอีกจึงใช้วิธิปลอมพระองค์เป็นคนเลี้ยงม้า แล้วทรงเอาก้อนขี้ม้านั้น ขว้างไปเหมือนเดิมอีกพระนางก็ทรงกริ้งใหญ่ พระสัสสุ( แม่ผัว ) ก็ได้ทรงปลอบเหมือนคราวที่แล้วอีกเช่นกันพระมเหสีใคร่จะได้เห็นพระราชาบ้าง
 ในเวลาต่อมา พระนางประภาวดีทรงใคร่จะได้เห็นพระราชสวามี จึงทูลแก่พระสัสสุเป็นหลายครั้ง พระสัสสุจึงรับสั่งว่า
“ ถ้าอย่างนั้น ในวันพรุ่งนี้พระราชสวามีของเจ้าจะเสด็จเลียบพระนคร เจ้าจงคอยดูที่ช่องพระแกลเถิด”
 ครั้งตรัสสั่งดังนี้แล้วจึงโปรดให้ตกแต่งพระนครในวันรุ่งขึ้น แต่ให้ พระชยัมบดี ผู้เป็นพระเจ้าน้องของพระโพธิสัตว์เจ้า ทรงเครื่องกษัตริย์ ประทับนั่งบนหลังช้างพระที่นั่งแทน ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้า แต่งองค์เป็นควาญช้างประทับนั่งบนอาสนะข้างหลัง แล้วให้เสด็จเลียบพระนคร
 เวลานั้น พระราชมารดาทรงพาพระนางประภาวดีไปประทับยืนที่สีหบัญชรแล้วตรัสว่า
“ เจ้าจงดูเถิด พระราชสวามีของเจ้าจะมีรูปทรงสวยสง่างามสักเพียงไร”
 ฝ่ายพระนางประภาวดีทรงเจ้าพระทัยว่า เราได้พระสวามีที่มีความเหมาะสมกันดังนี้แล้ว ทรงปลาบปลื้มดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายพระราชาได้ทอดพระเนตรพระนางประภาวดีเหมือนกัน ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอันมาก จึงได้แสดงอาการยั่วเย้าด้วยการยกพระหัตถ์ เมื่อช้างพระที่นั่งคล้อยหลังไปแล้ว พระสัสสุจึงตรัสถามว่า
“ เจ้าเห็นพระภัสดาของเจ้าแล้วหรือ ? ”
 พระนางกราลทูลว่า
 “ เห็นแล้วเพคะ แต่นายควาญช้างคนนั้น ช่างไม่รู้จักขนบธรรมเนียมเสียบ้างเลยมันทำกิริยาเคาะแคะหม่อมฉัน ทั้งท่าทางก็ดูไม่มีผู้ดีเลย เหตุไรจึงให้เป็นคราญช้างพระที่นั่งเล่าเพคะ”
 พระสัสสุจึงตรัสตอบว่า
“ เขาต้องการเพียงแค่การระมัดระวังช้างพระที่นั่งเท่านั้น เขาหาได้ต้องการขนบธรรมเนียมแต่ประการใดไม่ ”
 พระนางประภาวดีได้ทรงดำริว่า ควาญช้างคนนี้ได้รับอภัยเสียเหลือเกิน หรือควาญช้างคนนี้เป็นพระเจ้ากุสราช พระองค์คงจะมีรูปร่างน่าเกลียด พระราชมารดาจึงทรงหาอุบายไม่ให้เราได้พบเห็นกัน
พระนางประภาวดีจึงทรงกระซิบนางขุชชา ผู้เป็นที่เลี้ยงว่า
 “ พี่จงตามไปดูทีหรือว่า พระเจ้ากุสราชประทับช้างข้างหน้าพระที่นั่งหรือข้างหลัง แล้วจงมาบอกแก่เรา”
นางขุชชาผู้เป็นหญิงค่อมกราบทูลว่า
“ หม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไร ว่าคนไหนเป็นพระเจ้ากุสราช? ”
พระนางตรัสตอบว่า
 “ ถ้าคนไหนลงก่อน ก็คนนั้นแหละ คือพระเจ้ากุสราช ”
นางขุชชาจึงสะกดรอยไปดู ก็เห็นพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จลงจากช้างพระที่นั่งก่อนพอพระโพธิสัตว์เจ้าทอดพระเนตรเห็นนางขุชชาก็ทรงแน่พระทัยว่า นางมาพิสูจน์พระองค์จึงตรัสเรียกมากำชับว่า เจ้าอย่าไปบอกพระนางประภาวดีเป็นอันขาด
 นางค่อมนั้นจึงกลับไปทูลพระนางว่า พระเจ้ากุสราชผู้เสด็จประทับอยู่ข้างหน้าช้างพระที่นั่งเสด็จลงก่อน พระนางประภาวดีก็ทรงเชื่อถ้อยคำของนางค่อมนั้นพระมเหสีเสด็จหนีกลับพระนคร
ครั้งต่อมาพระราชาทรงใคร่จะเห็นพระนางอีก จึงทูลอ้อนวอนพระราชมารดาแล้วพระราชามารดาไม่อาจจะทรงห้ามได้ จึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงปลอมตัวไปแอบอยู่ที่ประตูพระราชอุทยานอย่างให้ผู้ใดผู้หนึ่งรู้เห็น
 ฝ่ายพระราชาเสด็จไปยังอุทยานแล้วทรงยืนแช่น้ำอยู่ในสระโบกขรณีประมาณแค่คอ ปกพระเศียรด้วยใบบัว บังพระพักตร์ด้วยดอกบัวบาน แม้พระราชามารดาก็ทรงพาพระนางประภาวดีไปยังพระราชอุทยาน แล้วทรงพานักสนมกำนัลในลงเล่นน้ำในสระโบกขรณี
 ส่วนพระนางประภาวดีได้ทอดพระเนตรเห็นดอกบัวที่พระโพธิสัตว์เจ้าซ่อนอยู่นั้น จึงเสด็จว่ายน้ำเข้าไปเก็บ พระบรมโพธิสัตว์จึงทรงเปิดใบบัวออกเสีย แล้วคว้าข้อพระหัตถ์ของพระนางไว้ รับสั่งขึ้นดัง ๆ ว่า
 “ ตัวเรานี้แหละ คือพระเจ้ากุสราช...! ”
 พระนางพอได้ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงร้องขึ้นด้วยสำคัญว่ายักษ์จับเรา แล้วสิ้นพระสติสมฤดีอยู่ที่ตรงนั้นเอง พระราชาจึงทรงปล่อยพระหัตถ์ละจากพระนาง
ครั้งพระนางรู้สึกพระองค์ได้แล้วทรงดำริว่า พระเจ้ากุสราชนี้เองได้ปลอมเป็นคนเลี้ยงข้าและเป็นคนเลี้ยงม้า เรานี้ได้ผัวมีหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ เราจำเป็นต้องทิ้งกลับไปหาผัวใหม่ให้จงได้
ครั้งทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงให้พวกอำมาตย์ทั้งหลาย นำความไปกราลทูลพระเจ้าโอกการาช พระองค์จึงทรงดำริว่า ถ้าไม่ให้นางไปนางก็คงจักตรอมใจตาย เราควรจักอนุญาตให้ไปเสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดผันผ่อนนำมาต่อภายหลัง พอทรงดำริดังนี้แล้วจึงทรงอนุญาตให้พระนางเสด็จกลับไปได้
 ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ก็เสด็จกลับเข้าสู่พระนคร กำลังทรงสะท้อนถอนพระทัยด้วยทรงอาลัยในพระนางเจ้าเป็นหนักหนา
 ต่อนี้ไปจะกลับกล่าวถึงเหตุแห่งบุคคลทั้งสองไว้ดังนี้บุพพกรรม
 ในอดีตกาล มีหมู่บ้านอันตั้งอยู่ใกล้ประตูเมืองพาราสี มีตระกูล ๒ ตระกูลที่ถนนหมู่บ้านนั้น ตระกูลหนึ่งมีลูกชายอยู่ ๒ คน อีกตระกูลหนึ่งมีลูกหญิง ๑ คน อยู่มาตระกูลที่มีลูกชาย ๒ คนนั้นเติบโตมารดาจึงไปขอภรรยาให้แก่ลูกชายคนใหญ่
อยู่มาวันหนึ่งน้องชายได้ไปป่าเสีย ส่วนพี่สะใภ้อยู่ทางบ้านจึงทำขนมเบื้อง โดยแบ่งไว้ให้น้องของสามีส่วนหนึ่ง ที่เหลือนั้นแจกแบ่งกันบริโภคจนหมด
 พอกินขนมหมดแล้วก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเสด็จไปบิณฑบาต พี่สะใภ้จึงคิดว่า เราจะทำขนมไว้ให้น้องผัวของเราใหม่ ส่วนนี้จะเอาใส่บาตรเสีย
 ครั้งคิดแล้ว จึงเอาขนมส่วนนั้นไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พอน้องผัวกลับมาถึงก็เล่าเรื่องให้ฟัง น้องผัวก็โกรธว่า ส่วนของพี่ ๆ ได้กินเสียหมด ยกเอาส่วนของเราไปทำบุญเสียแล้วเราจะกินอะไร ว่าแล้วก็ตามไปแย่งเอาขนมมาจากบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
 ฝ่ายพี่สะใภ้จึงไปหาเนยใสใหม่ ซึ่งมีสีเหมือนดอกจำปามาทอดขนมถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าอีกจนเต็มบาตร ขนมนั้นมีสีเหลืองปรากฏขึ้นในบาตร
 นางนั้นจึงตั้งความปรารถนาว่า
 “ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเกิดในภพใด ๆ ขอให้ร่างกายของดิฉัน จงเกิดมีรัศมีเปล่งปลั่ง และมีรูปร่างสดสวยงดงามเป็นอย่างยิ่งและขออย่าให้ได้พบคนเลวเหมือนกับน้องผัวของดิฉันคนนี้เลย”
พอน้องผัวได้ฟังดังนั้น จึงเอาขนมของตนนั้น กลับไปใส่บาตรพระปัจเจพุทธเจ้าอีกวางขนมของตนทับของพี่สะใภ้ลงไปแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า
 “ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าจะไปเกิดในชาติใดภพใดก็ตาม ขอให้พบกับพี่สะใภ้คนนี้อีก ถึงจะอยู่ใกลกันตั้งร้อยโยชน์ก็ตามขอให้ข้าพเจ้านำมาเป็นภรรยาให้จงได้”
เมื่อคนทั้งสองตายแล้ว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ ส่วนพี่สะใภ้จุติจากสวรรค์แล้ว ลงมาเกิดเป็น พระนางประภาวดี ส่วนน้องผัวลงมาเป็น พระเจ้ากุสราช คือพระโพธิสัตว์เจ้านี้เอง
 แต่ด้วยอำนาจแห่งบุพพกรรม ที่โกรธแล้วเอาขนมกลับคืนมานั้น พระโพธิสัตว์เจ้าจึงได้เป็นผู้มีรูปร่างไม่งดงามน่าเกลียด ดังนี้