ตอนที่
๒๗
ปัญหาที่
๓ ถามถึงความเป็นพระอรหันต์แห่งคฤหัสถ์
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
มีคำกล่าวไว้ว่า " คฤหัสถ์ผู้สำเร็จอรหันต์แล้ว
ย่อมมีคติ ๒ ประการ คือบรรพชาในวันนั้น ๑ ปรินิพพานในวันนั้น
๑ ไม่อาจเลยวันนั้นไปได้ " ดังนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าในวันนั้น ไม่ได้อาจารย์ หรืออุปัชฌาย์
หรือบาตร จีวร ผู้สำเร็จอรหันต์แล้วนั้นจะบรรพชาเอง
หรือเลยวันนั้นไป หรือมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์องค์ใดองค์หนึ่งมาให้บรรพชา
จะได้หรือไม่ หรือต้องปรินิพพานไป ? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร พระอรหันต์ทั้งบรรพชาเองไม่ได้
ถ้าบรรพชาเองก็ชื่อว่า " ไถยสังวาส " ( ลักเพศ
คือปลอมบวช ) และเลยวันนั้นไปก็ไม่ได้
จะมีพระอรหันต์องค์อื่นมาหรือไม่มีก็ตาม
ก็ต้องปรินิพพานในวันนั้น"
" ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าอย่างนั้นความเป็นพระอรหันต์ ก็ทำให้สิ้นชีวิตน่ะซิ
"
" ขอถวาายพระพร คฤหัสถ์ถึงสำเร็จอรหันต์แล้วต้องบรรพชา
หรือปรินิพพานในวันนั้น เพราะเพศคฤหัสถ์ไม่มีกำลังพอข้อที่สิ้นชีวิตไปนั้น
ไม่ใช่เป็นเพราะโทษแห่งความเป็นพระอรหันต์
เป็นเพราะโทษแห่งคฤหัสถ์ ไม่มีกำลังพอต่างหาก
ขอถวายพระพร ธรรมดาโภชนาหารย่อมรักษาอายุ
รักษาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายไว้ แต่ว่าโภชนาหารนั้น
ย่อมทำให้สิ้นชีวิตได้ด้วยไฟย่อยอาหารไม่พอ
การสิ้นชีวิตนั้นไม่ใช่เป็นโทษแห่งอาหารนั้น
เป็นโทษแห่งไฟย่อยอาหารไม่พอฉันใด
การที่คฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้วต้องบรรพชาหรือปรินิพพานในวันนั้น
ข้อนั้นไม่ใช่เป็นโทษแห่งความเป็นพระอรหันต์
เป็นโทษแห่งเพศคฤหัสถ์มีกำลังไม่พอฉันนั้น
อีกประการหนึ่ง เหมือนกับบุคคลยกเอาก้อนศิลาหนัก
ๆ วางลงบนฟ่อนหญ้าเล็ก ๆ ฟ่อนหญ้าเล็ก
ๆ นั้น ก็ต้องจมลงไปเพราะกำลังไม่พอฉันใด
ข้อนี้ก็มีอุปมาฉันนั้น
อีกอย่างหนึ่ง เหมือนบุรุษผู้มีบุญน้อยเมื่อได้ราชสมบัติอันใหญ่แล้ว
ก็ไม่อาจรักษาความเป็นอิสระไว้ได้ฉันใด
คฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่อาจรับรองความเป็นอรหันต์ไว้ได้ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น จึงต้องบรรพชาหรือปรินิพพานในวันนั้น
ขอถวายพระพร "
" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๔ ถามเรื่องโลมกัสสปฤาษี
" ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราเป็นมนุษย์อยู่เมื่อก่อน
เราไม่ชอบเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย " ดังนี้
แต่คราวเสวยพระชาติเป็น โลมกัสสปฤาษี ได้เห็นนางจันทวดี
ก็ได้ฆ่าสัตว์หลายร้อยบูชายัญ
ข้าแต้พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าข้อว่า " ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
" เป็นของถูก ข้อว่า " ฆ่าสัตว์บูชายัญด้วยครั้งเป็นโลมกัสสปฤาษี
" ก็ผิดไป
ถ้าข้อว่า " เป็นโลมกัสสปฤาษีได้ฆ่าสัตว์บูชายัญ
" นั้นถูก ข้อว่า " ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์
" นั้นก็ผิด ปัญหาข้อนี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ
แก้ได้ยากโปรดแก้ให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด
"
พระนาคเสนจึงตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสว่า " เมื่อเราเป็นมนุษย์อยู่ชาติก่อน
เราไม่ได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย " นั้นก็ถูก
ข้อว่า " ครั้งเป็นโลมกัสสปฤาษีได้ฆ่าสัตว์หลายร้อยบูชายัญ
" นั้นก็ถูก ก็แต่ว่าข้อนั้น เป็นด้วยอำนาจราคะ
รักใคร่หลงใหลในนางจันทวดี หาได้มีเจนตาแกล้าฆ่าสัตว์ให้ตายไม่
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
บุคคลย่อมฆ่าผู้อื่นด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ
ด้วยอำนาจราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ โลภะ ๑ ชีวิต ๑ ความโง่เขลา
๑ ตามบทบัญญติ ๑ ส่วนโลมกัสสปฤาษีกระทำนั้น
เป็นการกระทำปกติ "
" ขอถวายพระพร ไม่ใช่เป็นการกระทำปกติ
ถ้าโลมกัสสปฤาษีน้อมใจลงไป เพื่อจะบูชายัญใหญ่ตามสภาวะปกติ
ไม่ใช่ด้วยปัญญาก็คงไม่กล่าวไว้ว่า
" บุคคลไม่ควรต้องการแผ่นดิน
อันมีสมุทรเป็นขอบเขต มีสาครเป็นกุณฑล
พร้อมกับการนินทา ดูก่อนเสยหะอำมาตย์ เธอจงรู้อย่างนี้เถิด..."
ดังนี้
ขอถวายพระพร โลมกัสสปฤาษีผู้พูดอย่างนี้
แต่พอได้เห็นพระนางจันทวดีก็เสียสติหลงใหล
ได้ฆ่าสัตว์บูชายัญด้วยความเสียสติ
ขอถวายพระพร ธรรมดาคนเสียสติคือคนบ้า
ย่อมเหยียบไฟก็ได้ กินยาพิษก็ได้
วิ่งเข้าหาช้างตกมันก็ได้ แล่นลงไปสู่ทะเลที่ไม่ใช่ท่าก็ได้
ตกน้ำครำก็ได้ เหยียบหนามเหยียบตอก็ได้
กระโดดลงจากภูเขาก็ได้ กินของน่าเกลียดโสโครกก็ได้
เปลือยกายเดินไปตามถนนก็ได้ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำได้ต่าง
ๆ ฉันใด โลมกัสสปฤาษีก็เสียสติ จึงได้ฆ่าสัตว์บูชายัญในคราวนั้น
บาปที่คนบ้าทำ
ย่อมไม่มีโทษ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
อาตมภาพขอถามว่า ถ้ามีคนบ้าทำผิด
จะทรงลงโทษหรือไม่ ? "
" ไม่ลงโทษ พระผู้เป็นเจ้า
เพียงแต่ให้ไล่ตีให้หนีไปเท่านั้น
"
" ขอถวายพระพร ความผิดย่อมไม่มีแก่คนบ้าฉันใด
โลมกัสสปฤาษีก็ไม่มีความผิดในการฆ่าสัตว์บูชายัญ
เพราะความเป็นบ้าในคราวนั้น พอจิตเป็นปกติขึ้น
ก็ได้สำเร็จอภิญญา ๕ อีก แล้วได้ขึ้นไปเกิดในพรหมโลกขอถวายพระพร
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
ปัญหาข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว
" อธิบาย
เรื่องโลมกัสสปฤาษีนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ได้เสวยพระชาติเป็นฤาษี ได้หลงรักพระราชธิดาของพระเจ้าพาราณสี
จนยอมรับว่าจะไปฆ่าสัตว์บูชายัญ
แต่พอยกพระขรรค์แล้วขึ้นด้วยคิดจะตัดคอช้าง
ช้างก็ได้ร้องขึ้นด้วยความตกใจกลัว
ขณะนั้น ช้าง ม้า โค ลา เป็นต้น ที่เขาผูกไว้เพื่อจะฆ่าบูชายัญ
ก็ได้ร้องขึ้นด้วยเสียวสนั่นหวั่นไหวด้วยความกลัวตาย
โลมกัสสปฤาษีรู้สึกสลดใจ
พอก้มลงเห็นเงาบริขารฤาษีของตน มีชฏาเป็นต้น
ก็ได้สติทันที แล้วกลับได้ฌานเหมือนอย่างเดิมขึ้นไปนั่งอยู่บนอากาศสั่งให้ปล่อยสัตว์ทั้งหลายแล้วก็กลับไปสู่ป่าหิมพานต์ตามเดิม
เป็นอันว่า โลมกัสสปฤาษีไม่ทันได้ฆ่าสัตว์บูชายัญ
แต่ในมิลินทปัญหากล่าวว่า " ฆ่าสัตว์หลายร้อยบูชายัญ
" เรื่องนี้ท่านอาจจะตั้งปัญหาถาม หมายถึงในขณะที่กำลังจะฆ่าก็ได้
จึงได้ใช้คำพูดตายตัวอย่างนั้น
เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นบัณฑิต
มีความชำนาญในพระไตรปิฏก จึงขอฝากให้ท่านผู้อ่านโปรดวินิจฉัยให้รอบคอบด้วย
ปัญหาที่
๕ ถามเรื่องพญาช้างฉัททันต์
" ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคราวเป็นพญาช้างฉัททันต์ได้กล่าวไว้ว่า
" เราได้จับนายพรานไว้ด้วยคิดว่าจะฆ่า
แต่พอได้เห็นผ้ากาสาวะ อันเป็นธงของฤาษีทั้งหลายเราก็นึกขึ้นได้ว่า
ผู้ที่มีธงของพระอรหันต์เป็นผู้ไม่ควรฆ่า
" ดังนี้
และมีกล่าวไว้อีกว่า
" ครั้งพระองค์เป็น โชติปาลมาณพ ได้ด่าว่า
สมเด็จพระพุทธกัสสป ด้วยคำว่า "สมณะศีรษะโล้น..."
ดังนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าพระโพธิสัตว์ถึงเป็นเดรัจฉานก็เคารพผ้ากาสาวะ
ข้อที่ว่า " โชติปาลมาณพด่าว่าสมเด็จพระพุทธเจ้ากัสสปอย่างนั้น
" ก็ผิดไป ถ้าไม่ผิด ข้อว่า " พญาช้างฉัททันต์เคารพผ้ากาสาวะนั้น
" ก็ผิด
เป็นเพราะเหตุใด พระโพธิสัตว์ผู้เป็นมนุษย์
ผู้มีญาณแก่กล้าแล้ว ได้เห็นสมเด็จพระพุทธกัสสป
ผู้ล้ำเลิศในโลก ผู้ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวะจึงไม่เคารพ
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ขอได้โปรดแก้ไขด้วย
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ทั้งสองเรื่องนั้นถูกทั้งนั้น
ก็แต่ว่าเรื่องที่โชติปาลมาณพว่าสมเด็จพระพุทธกัสสปในคราวนั้น
เป็นด้วยอำนาจเขาถือชาติตระกูลของเขาเกินไป
คือ
โชติปาลมาณพเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใส
มารดาบิดา พี่น้องหญิง พี่น้องชาย ทาสีทาสาคนใช้
คนบำเรอ และศิษย์ของมาณพนั้นทั้งสิ้น
ล้วนแต่เคารพพรหม ถือว่าพวกพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐสูงสุด
แล้วติเตียนเกลียดชังบรรพชิตทั้งหลาย
โชติปาลมาณพได้เชื่อถือตามลัทธิของพวกพราหมณ์
ได้ฟังถ้อยคำของพวกพราหมณ์ที่ด่าว่าบรรพชิตอยู่เสมอ
เวลาช่าวปั้นหม้อ ชื่อว่า ฆฏิการะ ชวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
จึงได้ตอบว่า " ต้องการอะไรกับการที่จะพบสมณะศีรษะโล้น...
"
ขอถวายพระพร ยาอมฤตเมื่อผสมกับยาพิษก็กลายเป็นรสขม
ส่วนยาพิษเวลามาผสมกับยาอมฤต ก็กลายเป็นรสหวานฉันใดน้ำเย็นถูกไฟก็ร้อน
คนเลวได้มิตรดีก็เป็นคนดี คนดีได้มิตรเลวก็เป็นคนเลวฉันใด
โชติปาลมาณพเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสก็กลายเป็นอันธพาลไปตามตระกูลฉันนั้น
กองไฟใหญ่ที่ลุกรุ่งโรจน์อยู่
ก็มีแสงสว่างดี เวลาถูกน้ำก็หมดแสง
กลายเป็นสีดำไป เหมือนกับผลไม้ที่หล่นจากขั้ว
แก่งอมแล้วเน่าไปฉะนั้น
ด้วยเหตุนั้นแหละ มหาบพิตร
โชติปาลมาณพผู้มีปัญญา มีแสงสว่าง
ด้วยความไพบูรย์แห่งญาณอย่างนั้นก็จริง
แต่เวลาเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใส
ก็กลายเป็นอันธพาลไปถึงกับได้ด่าว่าพระพุทธเจ้า
เวลาเช้าไปถึงพระพุทธเจ้าแล้วจึงรู้จักคุณของพระองค์
แล้วได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา ทำอภิญญาสมาบัติให้เกิด
แล้วก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก ขอถวายพระพร
"
" สาธุ...พระนาคเสน โยมขอรับว่าถูกต้องดีแล้ว
" อธิบาย
เรื่องที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็น
พญาฉัททันต์ นั้น มีปรากฏอยู่ในชาดกว่า
ยังมีนางภิกษุณีสาวรูปหนึ่ง
ในขณะที่นั้งฟังพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่นั้น
ได้ระลึกชาติหนหลังว่า ตนเองเคยเกิดเป็นนางพญาช้างซึ่งเป็นภรรยาของพญาฉัททันต์
ต่อมาได้ให้นายพรานฆ่าพญาช้างนั้น
ครั้งนึกได้อย่างนี้จึงร้องไห้ขึ้นในท่ามกลางคนทั้งหลาย
พระศาสดาทรงปรารภเหตุนี้แล้ว
จึงทรงตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในอดีตกาลพญาฉัททันต์มีอัครมเหสีอยู่
๒ เชือก ชื่อว่า จูฬสุภัททา และ มหาสุภัททา ได้อาศัยอยู่ในป่าหินพานต์
พร้อมกับบริวารทั้งหลาย และได้กระทำการบูชากราบไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า
๕๐๐ องค์อยู่เป็นนิจ
ต่อมานางจูฬสุภัททาเกิดน้อยใจ
ได้ผูกอาฆาตพยาบาทพญาฉัททันต์ จึงได้นำผลไม้ไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า
ตั้งความปรารถนาว่าขอให้ได้ไปเกิดเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพาราณสี
ครั้งปรารถนาดังนี้ จึงเริ่มอดอาหารจนถึงแก่ความตาย
แล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระมเหสี มีพระนามว่า
สุภัททา สมความปรารถนา
ครั้นพระนางระลึกชาติหนหลังได้จึงให้นายพรานไปดักยิงพญาฉัททันต์
ด้วยลูกศรอาบยาพิษ พญาช้างได้รับความเจ็บปวดมากจึงเอื้อมงวงจับไว้หวังจะฆ่าเสีย
แต่พอได้เห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่นายพรานเอามาคลุมศีรษะไว้อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์
ที่ตนมีความเคารพเลื่อมใสอยู่ จึงยับยั้งใจเอาไว้ได้
เมื่อซักถามจนทราบความแล้วไซร้
จึงก้มศีรษะลงให้นายพรานเลื่อยเอางา
ในขณะที่เลื่อยนั้น พญาช้างได้รับความเจ็บปวดมากมีโลหิตไหลออกมาเต็มปาก
พอนายพรานลับตาไปแล้ว นางพญาช้างมหาสุภัททาพร้อมกับบริวารก็มาถึง
พอดีกับพญาฉัททันต์ได้สิ้นใจตายไปแล้ว
ฝ่ายพระนางสุภัททาได้เห็นงาพญาช้างผู้เคยเป็นสามีที่รักของตน
จึงเกิดความสลดใจจนถึงกับหัวใจแตกลงไปทันที
ครั้งสมเด็จพระชินสีห์ทรงแสดงเรื่องนี้จบแล้ว
จึงทรงประชุมชาดกว่า พระนางสุภัททา ได้มาเกิดเป็นภิกษุณีสาวรูปนี้
พญาฉัททันต์ นั้น คือตัวเราตถาคตในบัดนี้
ปัญหาที่
๖ ถามถึงเรื่องฆฏิการอุบาสก
" ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
" ที่อยู่ของช่างหม้อชื่อว่า ฆฏิการะ
กระทำอากาศให้เป็นหลังคา ฝนตกลงมาไม่รั่วตลอด
๓ เดือนฤดูฝน "
แต่ตรัสไว้อีกว่า
" พระคันธกุฏีของพระพุทธกัสสปฝนรั่ว "
โยมจึงขอถามว่า
เหตุไรพระคันธกุฏีของพระพุทธกัสสป ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระบารมีแล้วฝนจึงรั่ว
ถ้าที่อยู่ของฆฏิการช่างหม้อไม่มีหลังคา
แต่ฝนไม่รั่วตลอด
๓ เดือนเป็นของถูกแล้ว คำที่ว่า " พระคันธกุฏีของพระพุทธกัสสปฝนรั่วนั้น
" ก็ผิด
ถ้าคำว่า " พระคันธกุฏีของพระพุทธกัสสปรั่ว
" นั้นถูก คำที่ว่า " เรือนของฆฏิการช่างหม้อไม่มีหลังคา
แต่ฝนตกลงมาไม่รั่ว ไม่เปียกนั้น
" ก็ผิด ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิโปรดแก้ไขให้สิ้นสงสัยเถิด
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นถูกทั้งนั้นแต่ว่าฆฏิการช่างหม้อ
เป็นคนมีศีล มีธรรมอันดีได้สร้างสมบุญกุศลไว้มากแล้ว
ได้เลี้ยงมารดาบิดาผู้ชราตาบอดอยู่
เวลาที่เขาไม่อยู่ ได้มีคนไปรื้อเอาหญ้าที่มุงหลังคาเรือนของเขา
ไปมุงพระคันธกุฏีของพระพุทธเจ้าเสีย
เวลาเขากลับมารู้เข้า
เขาก็เกิดปีติโสมนัสเต็มที่ว่า เป็นอันว่า
เราได้สละหลังคาถวายแก่พระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐสูงสุดในโลกแล้วเขาจึงได้รับผลเห็นทันตาอย่างนั้น
องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ย่อมไม่ทรงหวั่นไหว
ด้วยอาการแปลกเพียงเท่านั้นเหมือนกับพระยาเขาสิเนรุราช
อันไม่หวั่นไหวด้วยลมใหญ่อันพัดเอาตั้งแสน
ๆ ฉะนั้น
หรือเหมือนกับมหาสมุทรอันไม่รู้จักเต็ม
ไม่รู้จักพร่อง ไม่รู้จักเปลี่ยงแปลง
ด้วยน้ำที่ไหลไปจากคงคาใหญ่ ๆ ตั้งหลายหมื่นหลายแสนสายฉะนั้น
การที่พระคัทธกุฏีรั่วนั้น
ย่อมเป็นด้วยทรงพระมหากรุณาแก่มหาชน
คือสมเด็จพระทศพรเจ้าทั้งหลาย ย่อมเล็งเห็นประโยชน์
๒ ประการ จึงไม่ทรงรับปัจจัยที่ทรงเนรมิตขึ้นเอง
ด้วยทรงเห็นว่า เทพยดามนุษย์ทั้งหลายได้ถวายปัจจัยแก่พระพุทธเจ้าด้วยความเลื่อมใสว่า
เป็นผู้ควรแก่การถวายอย่างเลิศแล้ว
ก็พ้นจากทุคติทั้งปวง
อีกประการหนึ่ง ทรงเห็นว่าอย่าให้คนอื่น
ๆ ติเตียนได้วว่า พระพุทธเจ้าทรงต้องการสิ่งใด
ก็ทรงเนรมิตเอาเอง ดังนี้
ถ้าพระอินทร์หรือพระพรหม
จะทำให้พระคันธกุฏีของพระพุทธเจ้าไม่รั่ว
หรือถ้าหากพระพุทธเจ้าทรงทำเอง ก็จะมีผู้ติเตียนได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงทำสิ่งอันเป็นหน้าที่ของสัตว์โลกทั่วไป
หาสมควรแก่พระองค์ไม่ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย
ย่อมไม่ทรงขอวัตถุสิ่งของใด ๆ ถึงไม่มีก็ไม่ทรงขอ
จึงมีเทพยดามนุษย์สรรเสริญทั่วไป ขอถวายพระพร
"
" สาธุ...พระนาคเสน ข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว
" อธิบาย
ขอนำเนื้อความใน
ฆฏิการสูตร มาให้ทราบโดยย่อว่า สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปรารภนายช่างหม้อ
ชื่อว่า ฆฏิการะ ผู้เป็นอุปัฏฐากที่เลิศของพระพุทธกัสสป
ได้ชวน โชติปาลมาณพ ผู้เป็นสหายรัก ไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสปถึง
๓ ครั้ง
มาณพก็ตอบปฏิเสธว่า
จะมีประโยชน์อะไร ที่จะเห็นสมณะศีรษะโล้นผู้นั้น
ต่อมาฆฏิการช่างหม้อได้ออกอุบายจนสามารถนำเพื่อนไปฟังธรรมได้
ครั้งนั้น สมเด็จพระพุทธกัสสปได้ทรงแสดงธรรมว่า
" ดูก่อนโชติปาล เราได้บำเพ็ญบารมี
๑๐ ประการให้เต็มเปี่ยมแล้ว จึงได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ
แล้วมีภิกษุเป็นบริวาร ๒ หมื่นองค์ฉันใด
เธอได้บำเพ็ญบารมี
๑๐ ประการ ให้เต็ม ก็จักได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ
แล้วจักมีหมู่สมณะเป็นบริวารฉันนั้น
อันผู้เช่นเธอหาสมควรอยู่ด้วยความประมาทไม่
"
โชติปาลมาณะได้ฟังดังนั้น
จึงเกิดความเลื่อมใส และได้ออกบวชในกาลต่อมา
ดังนี้
ปัญหาที่
๗ ถามถึงความเป็นพระราชาของพระพุทธเจ้า
" ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสได้ว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเป็นพราหมณ์
เป็นผู้ควรแก่การขอ " แต่ตรัสไว้อีกว่า
" ดูก่อนเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชา " ดัวนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าคำที่ว่า " เราเป็นพราหมณ์ " นั้นถูก คำที่ว่า
" เราเป็นพระราชา " ก็ผิด ถ้าคำที่ว่า
" เราเป็นพระราชา " ถูก คำที่ว่า " เราเป็นพราหมณ์
" ก็ผิด เพราะเหตุว่าในชาติ ๆ เดียว จะมี ๒
วรรณะ คือเป็นทั้งกษัตริย์ทั้งพราหมณ์ไม่ได้
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขด้วย
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ถูกทั้งสองอย่าง
คือเหตุที่ให้เป็นพราหมณ์ก็มี เหตุที่ให้เป็นพระราชาก็มี
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
เหตุอะไรทำให้เป็นพราหมณ์ เหตุอะไรทำให้เป็นพระราชา
? "
" ขอถวายพระพร เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงละบาปอกุศลทั้งสิ้นนั้นแหละ
ทำให้เป็นพราหมณ์ ธรรมดาผู้ชื่อว่า พราหมณ์
ย่อมล่วงพ้นความสงสัยทั้งสิ้นด้วยตนเอง
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมดาพราหมณ์ย่อมพ้นจาก
ภพ คติ กำเนิด ทั้งสิ้น พ้นจากมลทินทั้งสิ้น ไม่มีใครเสมอเหมือน
เป็นผู้มากไปด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการเรียน การสอน การขวนขวาย
การทรมานตน สำรวมตน มีนิยมเป็นกำหนดการ
เป็นผู้รักษาไว้ซึ่งคำสอนและประเพณีอันดีทั้งปวง
เป็นผู้อยู่ด้วยฌาน เป็นผู้ทรงทราบซึ่งความเป็นไปในภพน้อย
ภพใหญ่ และคติทั้งปวง เป็นผู้ที่ได้พระนามขึ้นเองว่า
เป็น พราหมณ์ พร้อมกับเวลาที่ได้สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ
ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ
ข้อที่ได้พระนามว่าเป็น
พระราชา นั้นเพราะธรรมดาพระราชา ย่อมสั่งสอนนรชนในอาณาเขตของตน
พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนสัตวโลกทั้งสิ้น
ธรรมดาพระราชา ย่อมครอบงำมนุษย์ทั้งหลาย
ทำให้หมู่ญาติรื่นเริง ทำให้หมู่ศัตรูทุกข์โศก
ทรงยกเศวตฉัตรอันขาวสะอาดปราศจากมลทิน
มีซี่ไม่ต่ำกว่าร้อย มีคันไม้แก่นแน่นหนา
นำมาซึ่งพระเกียรติยศและศิริอันใหญ่ฉันใด
พระพุทธเจ้าก็ทรงยกเศวตฉัตรอันบริสุทธิ์คือวิมุตติ
มรรค ผล นิพพาน แล้วทรงทำหมู่เสนามารที่ปฏิบัติผิดให้เศร้าโศก
ทรงทำเทพยดามนุษย์ที่ปฏิบัติถูกให้รื่นเริง
ทรงยกเศรตฉัตรอัมมีซี่ คือพระปรีชาญาณอันประเสริฐมีคันไม้แก่นแน่นหนา
แข็งแรง คือพระขันติอันนำมาซึ่งยศและศิริอันใหญ่
ในหมื่นโลกธาตุฉันนั้น
ธรรมดาพระราชา ย่อมเป็นที่กราบไหว้ของประชาชนผู้พบเห็นฉันใด
พระพุทธเจ้าควรเป็นที่กราบไหว้ของเทพยดามนุษย์ทั้งหลายฉันนั้น
ธรรมดาพระราชา ย่อมทรงโปรดปรานแก่ผู้ทำถูกฉันใด
พระพุทธเจ้าก็ทรงโปรดปรานผู้ปฏิบัติถูกฉันนั้น
ธรรมดาพระราชาย่อมทรงเคารพนับถือโบราณพระราชาประเพณี
ดำรงราชสกุลวงศ์ไว้ให้ยั่งยืนฉันใด
พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพนับถือ ซึ่งพระพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน
ไว้ให้ดีฉันนั้น
ด้วยเหตุนี้แหละ มหาบพิตร
สมเด็จพระธรรมสามิสร์จึงได้พระนามว่าเป็น
พระราชา ด้วยพระคุณธรรมของพระองค์เอง
เหตุที่จะให้พระตถาคตเจ้าได้พระนามว่าเป็น
พราหมณ์ และเป็น พระราชา นั้นมีอยู่มาก ถึงจะพรรณนาไปตลอดกัปก็ไม่รู้จักสิ้นไม่จำเป็นอะไรที่จะพูดให้มากเกินไป
เชิญรับไว้เพียงย่อ ๆ เท่านี้เถิด ขอถวายพระพร
"
" สาธุ...พระนาคเสน ท่านแก้ปัญหาข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว
"
ปัญหาที่
๘ ถามถึงเหตุที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน
๒ พระองค์
" ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกิดพร้อมกันในโลกธาตุอันเดียว
"
ก็พระตถาคตเจ้าทั้งปวง
เมื่อจะทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงโพธิปักขิยธรรม
๓๗ อริยสัจ ๔ เมื่อจะให้ศึกษาก็ให้ศึกษาในไตรสิกขา
( ศีล สมาธิ ปัญญา ) เมื่อจะทรงพร่ำสอนก็ทรงพร่ำสอนในอัปปมาทปฏิบัติ
(การเป็นผู้ไม่ประมาท) เหมือนกันทั้งสิ้น
แต่เหตุไรจึงไม่เกิดพร้อมกัน
๒ องค์โยมเห็นว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันหลายองค์
จะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่โลกมากยิ่งขึ้น
แต่เหตุไรจึงเกิดพร้อมกับ ๒ องค์ไม่ได้
โยมสงสัย ? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร หมื่นโลกธาตุนี้
ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า
คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง
๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้ก็จะทรงอยู่ไม่ไหว
จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งคนเดียวได้
เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ได้หรือไม่
? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
เรือนั้นต้องจม "
" ข้อนี้ก็อุปมาฉันนั้นแหละ
มหาบพิตรอีกประการหนึ่ง บุรุษกินข้าวอิ่มแล้ว
มีผู้ให้กินข้าวอีกเท่านั้นลงไป
บุรุษนั้นจะเป็นสุขหรือไม่ ? "
" ไม่เป็นสุข พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าเขาขืนกินลงไปให้มากอีกเท่านั้น
เขาก็ต้องตาย "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร อีกอย่างหนึ่ง มีเกวียนอยู่ ๒ เล่ม บรรทุกเต็มไปด้วยรัตนะเหมือนกัน
แต่เมื่อมีผู้มาขนเอารัตนะจากเกวียนอีกเล่มหนึ่ง
ขึ้นไปบรรทุกรวมเกวียนเล่มเดียวกัน เกวียนเล่นนั้นจะทรงไหวไหม
? "
" ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า
เกวียนเล่มนั้นดุมต้องแตก กำต้องหัก กงต้องทรุดลง
เพลาต้องหัก เพราะหนักเกินไป "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร แต่ขอให้พระองค์ทรงสดับเหตุอื่นต่อไปอีก
คือถ้ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน
๒ พระองค์ ความวิวาทของพุทธบริษัทก็จักมีขึ้นคือ
ต่างฝ่ายก็จะยกย่องพระพุทธเจ้าของตน
เปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่
๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น
อนึ่ง ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง
๒ พระองค์ คำว่า อัคโค พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นอัครบุคคลนั้น
คำนี้มิผิดไปหรือ
เชฏโฐ พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นผู้เจริญที่สุดก็จะผิด
วิสิฏโฐ พุทโธ พระพุทธเจ้าประเสริฐกว่าเทพยดามนุษย์นั้นก็ผิด
อุตตโม พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นผู้อุดมก็จะผิดไปสิ้น
ดังนี้ เป็นต้น
อีกประการหนึ่ง ธรรมดามีอยู่ว่า
ในแผ่นดินใหญ่หนึ่ง ๆ ก็มีสาครใหญ่เพียงหนึ่งเขาสิเนรุราชเพียงหนึ่ง
อากาศเพียงหนึ่ง ท้าวสักกะเพียงหนึ่ง มารเพียงหนึ่ง
มหาพรหมเพียงหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุเหล่านี้แหละ
จึงไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันถึง
๒ พระองค์ ขอถวายพระพร "
" ข้าแต่พระนาคเสนปัญหาข้อนี้
พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขดีด้วยเหตุการณ์หลายอย่าง
โยมขอรับว่าถูกต้องดีทั้งนั้น "
ปัญหาที่
๙ ถามเรื่องสัมมาปฏิบัติของคฤหัสถ์และบรรพชิต
" ข้าแต่พระนาคเสน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
" เราสรรเสริญสัมมาปฏิบัติ
ทั้งของคฤหัสถ์และบรรพชิต เพราะถ้าคฤหัสถ์และบรรพชิตปฏิบัติชอบ
ก็ได้สำเร็จเญยยธรรม ( ธรรมที่พึงรู้ ) อันเป็นกุศล
" ดังนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าหากคฤหัสถ์ผู้เกลือกกลั้วด้วยบุตร
ภรรยา ผู้ได้นุ่งห่มดี ผู้ได้ตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้
ของหอมเครื่องย้อมทา ผู้ยินดีในเงินทอง
ผู้ประดับผมด้วยเครื่องประดับมีค่า ได้สำเร็จธรรมที่พึงรู้ได้เหมือนกับบรรพชิต
ผู้นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ
ทำให้บริบูรณ์ในสีลขันธ์ทั้ง ๔ ยึดมั่นในสิกขาบททั้งหลาย
ประพฤติธุดงคคุณ ๑๓ แล้ว
คฤหัสถ์และบรรพชิต ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรกัน
การบรรพชาทนอดอยาก ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อันใด
สู้เป็นคฤหัสถ์ไม่ได้ประโยชน์อะไรที่จะทำตัวให้ลำบาก
เพราะผู้ทำให้ตัวเป็นสุข ก็ได้สุขเหมือนกัน
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
" เราสรรเสริญสัมมาปฏิบัติทั้งของคฤหัสถ์และบรรพชิต
คฤหัสถ์ก็ตามบรรพชิตก็ตาม เมื่อปฏิบัติชอบแล้วก็ได้สำเร็จธรรมที่พึงรู้ทั้งนั้น
"
ข้อนี้ ทรงมุ่งการปฏิบัติชอบเป็นใหญ่เพราะถึงเป็นบรรพชิตถ้าไม่ปฏิบัติชอบ
ก็ห่างไกลจากคุณวิเศษ ไม่ต้องพูดถึงคฤหัสถ์
ถึงจะเป็นจะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม ถ้าปฏิบัติชอบก็สำเร็จธรรมที่พึงรู้ได้เหมือนกับบรรพชิต
ก็แต่ว่าบรรพชิตเป็นใหญ่แห่งสามัญผล
( ผลของความเป็นสมณะ ) เพราะการบรรพชาเป็นของมีคุณมาก
มีคุณเป็นเอนก มีคุณหาประมาณมิได้ไม่อาจประมาณคุณของบรรพชาได้
เหมือนกับแก้วมณีโชติของพระเจ้าจักรพรรดิ
ที่ไม่มีใครอาจตีราคาได้ หรือเหมือนกับลูกคลื่นในมหาสมุทร
ซึ่งไม่มีใครประมาณได้ฉะนั้น
สิ่งที่ควรทำทุกสิ่ง
บรรพชิตเป็นผู้มักน้อย ผู้สันโดษ ผู้เงียบสงัด
ผู้ไม่คลุกคลี ผู้มีความเพียรแรงกล้า
ผู้ไม่มีห่วงใย ผู้มีศีลบริสุทธิ์ผู้มีอาจาระ
( ความประพฤติ ) ขัดเกลาแล้ว ฉลาดในการปฏิบัติธุดงค์
ย่อมสำเร็จคุณวิเศษได้เร็ว เหมือนกับลูกศรที่ไม่มีข้อมีปมที่เหลาเกลี้ยงเกลาดี
ที่ตรงดี เวลายิงไปย่อมไปได้รวดเร็วฉันนั้น
เป็นอันว่า สิ่งที่ควรทำทั้งสิ้น
บรรพชิตทำให้สำเร็จได้เร็วกว่าคฤหัสถ์
ขอถวายพระพร "
" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน
" จบวรรคที่ ๖
วรรคที่
๗
ปัญหาที่
๑ ถามเรื่องพระสึก
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
ศาสนาของพระตถาคตเจ้านี้ เป็นของใหญ่
เป็นแก่น เป็นของที่เลือกแล้ว เป็นของดีที่สุด
เป็นของประเสริฐไม่มีอะไรเปรียบ เป็นของบริสุทธิ์
เป็นของไม่มีมลทิน เป็นของขาว เป็นของไม่มีโทษ
จึงไม่สมควรให้คฤหัสถ์บรรพชา ต่อเมื่อคฤหัสถ์นั้น
ได้สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อาจสึกมาได้
จึงควรให้บรรพชา
ทั้งสี้ เพราะเหตุไร...เพราะเหตุว่า
ปุถุชนบรรพชาในพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์แล้วสึกออกมาก็เป็นเหตุให้มีผู้คิดว่า
ศาสนาของพระสมณโคดม เป็นศาสนาเปล่า
เพราะพวกที่บวชแล้วยังสึกมาได้ โยมเห็นอย่างนี้
โยมจึงว่าไม่สมควรให้คฤหัสถ์ปุถุชนบรรพชา
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร มีสระใหญ่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำเย็นใสสะอาดอยู่สระหนึ่ง
เมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งที่เปื้อนด้วยเหงื่อไคล
ลงไปอาบน้ำในสระนั้นแล้ว ไม่ได้ขัดสีเหงื่อไคล
หรือสิ่งที่เศร้าหมอง ได้ขึ้นมาจากสระ
จะมีคนติเตียนบุรุษนั้น หรือติเตียนสระนั้นอย่างไร
? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
จะมีแต่คนติเตียนบุรุษนั้นว่า ลงไปอาบน้ำในสระแล้วก็กลับขึ้นมาทั้งร่างกายยังสกปรกอยู่
ไม่มีใครจะติเตียนสระนั้นว่า ไม่ทำให้บุรุษนั้นสะอาด
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาราชะ คือพระตถาคตเจ้าได้ทรงสร้างสระอันประเสริฐ
คือพระสัทธรรมเต็มด้วยน้ำใสสะอาด คือวิมุตติอันประเสริฐไว้อีก
พวกที่เศร้าหมองด้วยกิเลสก็คิดว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายลงสรงน้ำในสระคือพระสัทธรรมนี้แล้ว
ก็ล้างกิเลสทั้งปวงได้
แต้ถ้ามีผู้ใดลงอาบน้ำในสระ
คือพระะธรรมอันประเสริฐ แล้วหวนกลับออกไปทั้งกิเลส
ก็จะมีผู้ติเตียนเขาได้ว่า ได้บรรพชาในศาสนาอันประเสริฐแล้ว
ก็ยังทำที่พึ่งให้แก่ตนไม่ได้
ยังต้องสึกไป พระศาสนาอันประเสริฐจะทำผู้ไม่ปฏิบัติตาม
ในบริสุทธิ์เองได้อย่างใดจะโทษพระศาสนาได้อย่างไร
อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่ามีบุรุษคนหนึ่งกำลังป่วยหนัก
ได้เห็นหมอผ่าตัดที่เคยรักษาคนไข้หายมามากแล้ว
เป็นผู้รอบรู้ในเรื่องความเกิดแห่งโรค
แต่ไม่ให้หมอนั้นรักษาได้กลับไปทั้งที่ยังเจ็บไข้อยู่
มหาชนจะติเตียนคนป่วยหรือติเตียนหมอ
? "
" อ๋อ...ต้องติเตียนคนป่วย
ไม่มีใครจะติเตียนหมอเป็นแน่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือพระตถาคตเจ้าได้ทรงจัดยาอมฤต
อันสามารถระงับโรค คือกิเลสทั้งสิ้นไว้ในผอบ
อันได้แก่พระพุทธศาสนาไว้แล้ว พวกที่รู้ตัวว่าถูกโรคภัย
คือกิเลสบีบคั้น ก็ได้ดื่มยาอมฤตของพระพุทธเจ้า
แล้วก็หายโรภ คือกิเลสทั้งสิ้น
ส่วนผู้ที่ไม่ดื่มยาอมฤต
ได้กลับสึกไปทั้งกิเลส ก็จะได้รับคำติเตียนว่า
ได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ทำที่พึ่งให้แก่ตัวไม่ได้ได้หมุนเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลวอีกพระพุทธศาสนาจักทำให้ผู้ไม่ปฏิบัติตาม
ให้บริสุทธิ์เองได้อย่างไร โทษอะไรจะมีแก่พระพุทธศาสนา
อีกประการหนึ่ง บุรุษที่หิวข้าวไปถึงที่เขาเลี้ยงข้าวแล้ว
ไม่กินข้าว ได้กลับไปทั้งความหิว คนจะติเตียนบุรุษที่หิวนั้น
หรือว่าจะติเตียนข้าวล่ะ...มหาบพิตร ?
"
" ต้องติเตียนบุรุษนั้นซิ
ผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้น
มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าได้ทรงจัดข้าว
อันได้แก่กายคตาสติ อันมีรสอร่อยยิ่ง
อันเป็นของเยี่ยม เป็นของประเสริฐเป็นของสงบ
เป็นของเยือกเย็น เป็นของประณีต เป็นของอันไม่รู้จักตายไว้ในผอบ
คือพระพุทธศาสนาแล้ว
พวกใดมีความหิว
คือมีกิเลสครอบงำมีใจเร่าร้อนด้วยตัณหา
บริโภคข้าวอันนี้แล้วก็กำจัดตัณหาทั้งปวง
ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ เสียได้ ส่วนผู้ที่ไม่กินข้าวนี้
กลับไปทั้งความหิวด้วยตัณหา ก็จะมีแต่ผู้ติเตียนเขาไม่มีผู้ติเตียนพระพุทธศาสนา
ขอถวายพระพร ถ้าพระพุทธเจ้าให้คฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จ
อย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อนแล้ว จึงโปรดให้บรรพชา
การบรรพชานี้จะชื่อว่าเป็นไปเพื่อละกิเลส
เพื่ออบรมความบริสุทธิ์ได้อย่างไร สิ่งที่ควรทำในบรรพชาก็ไม่มี
สมมุติว่า มีบุรุษคนหนึ่งได้ลงทุนให้คนขุดสระไว้
แล้วประกาศว่า พวกที่มีร่างกายเศร้าหมอง
อย่ามาลงอาบน้ำที่สระนี้เป็นอันขาดให้ลงอาบได้แต่ผู้มีกายไม่เศร้าหมองเท่านั้นอย่างนี้จะสมควรหรือไม่
? "
" ไม่สมควร พระผู้เป็นเจ้า
เพราะเขาได้ สร้างสระน้ำไว้ก็เพื่อต้องการให้คนที่มีร่างกายเศร้าหมองได้อาบ
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ถ้าพระพุทธเจ้าจะโปรดให้บรรพชาเฉพาะคฤหัสถ์
ผู้ได้สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วสิ่งที่เขาควรทำในการบรรพชา
เขาก็ได้ทำแล้วเขาจะต้องการอะไรกับบรรพชา
ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง
สมมุติว่ามีหมอวิเศษคนหนึ่ง ทำยาไว้แล้วเขาควรประกาศว่า
ผู้ที่เจ็บไข้อย่ามาหาข้าพเจ้า ให้มาแต่ผู้ที่เจ็บไข้เท่านั้น
อย่างนี้หรือจึงจะสมควร ? "
" ไม่ใช่อย่างนั้น
พระผู้เป็นเจ้า เพราะยาของเขาเป็นของสำหรับรักษาโรค
คนไม่มีโรคก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องรักษา
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือถ้าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า
ให้บรรพชาเฉพาะคฤหัสถ์ที่ได้มรรคผลแล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องบรรพชา เพราะสิ่งที่ควรทำให้บรรพชาก็ได้ทำแล้ว
ขอถวายพระพร อีกประการหนึ่ง
เหมือนกับบุรุษคนใดคนหนึ่ง จัดอาหารไว้หลายร้อยถาด
แล้วเขาประกาศว่า พวกที่หิวอย่าเข้ามา
จงให้เข้ามาแต่พวกที่อิ่มแล้ว เขาประกาศอย่างนี้จะสมควรหรือไม่
? "
" ไม่สมควร พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร " คุณอันชั่งไม่ได้ ๕ ประการ
" อนึ่ง พวกที่สึกไปย่อมแสดงให้คนอื่นเห็น
ซึ่งคุณอันชั่วไม่ได้ ๕ ประการ ของพระพุทธศาสนา
คุณอันชั่งไม่ได้ ๕ ประการนั้นคืออะไรบ้าง...คือ
ความเป็นภูมิใหญ่ ๑ ความเป็นของบริสุทธิ์ ๑
ความไม่อยู่ร่วมกับผู้ลามก ๑ ความรู้แจ้งแทงตลอดได้ยาก
๑ ความมีการสำรวมมาก ๑
ข้อที่ว่าแสดงความเป็นภูมิใหญ่นั้น
คืออย่างไร...สมมุติว่ามีบุรุษคนหนึ่ง
เป็นคนมีนิสัยต่ำช้า ไม่มีคุณวิเศษอันใด
ไม่มีความรู้อันใด เมื่อได้ราชสมบัติอันใหญ่หลวง
ไม่ช้าก็จะถึงความวิบัติ ไม่อาจรักษาความเป็นใหญ่ไว้ได้เพราะความเป็นใหญ่นั้น
เป็นของใหญ่ฉันใด
พวกที่ไม่มีคุณวิเศษ
ไม่ได้กระทำบุญไว้ ไม่มีความรู้อันใด
เวลาได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ไม่อาจดำรงเพศบรรพชิตไว้ได้
ได้ตกออกไปจากพระพุทธศาสนาในไม่ช้า
เพราะภูมิในพระพุทธศาสนาเป็นของใหญ่ฉันนั้น
ข้อว่า แสดงให้เห็นความบริสุทธิ์อย่างเยี่ยมนั้น
คืออย่างไร...คือน้ำที่ตกลงบนในบัวย่อมกลิ้งไหลลงไปจากใบบัว
ไม่ติดอยู่ในใบบัวได้ เพราะใบบัวเป็นของบริสุทธิ์ฉันใด
พวกที่มีนิสัยโอ้อวดคดโกง มีความเห็นไม่ดีได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว
ไม่ช้าก็ตกออกไปจากพระพุทธศาสนา
เพราะพระพุทธศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ฉันนั้น
ข้อว่า แสดงให้เห็นความไม่อยู่ร่วมกันกับผู้ลามกนั้น
คืออย่างไร...คือธรรมดามหาสมุทร ย่อมไม่อยู่ร่วมกับซากศพ
ย่อมพัดซากศพขึ้นไปบนบกโดยเร็วพลัน
เพราะมหาสมุทรเป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่สัตว์ใหญ่
ๆ ฉันใด พวกที่ลามกได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว
ไม่ช้าก็ตกออกไปจากพระพุทธศาสนา
เพราะพุทธศาสนาเป็นที่อยู่ของผู้มีคุณธรรมใหญ่
คือพระอริยเจ้าทั้งหลายฉันนั้น
ข้อว่า แสดงซึ่งความเป็นของรู้แจ้งได้ยากนั้น
คืออย่างไร...คือพวกที่ไม่เก่งในวิชาธนูย่อมไม่อาจยิงให้ถูกปลายขนทรายได้ฉันใด
พวกที่ไม่มีปัญญา บ้าเซ่อ ลุ่มหลง ก็ไม่อาจแทงตลอดซึ่งอริยสัจ
๔ อันเป็นของละเอียดยิ่งได้ฉันนั้น เขาจึงได้ตกออกไปจากพระพุทธศาสนาโดยเร็วพลัน
ข้อว่า แลดงให้เห็นซึ่งความเป็นของมีการสำรวมมากนั้น
คืออย่างไร...คือ บุรุษที่เข้าสู่ยุทธภูมิใหญ่
ได้เห็นข้าศึกล้อมรอบก็กลัวแล้ววิ่งหนี
เพราะกลัวการระวังรักษา ซึ่งศาตราวุธมีอยู่มากฉันใด
พวกที่มีนิสัยลามก
ไม่ชอบสำรวม ไม่มีความละอายบาป ไม่มีความอดทน
ก็ไม่อาจรักษาสิกขาบทเป็นอันมากไว้ได้
ต้องตกออกไปจากพระพุทธศาสนาในไม่ช้าฉันนั้น
ขอถวายพระพร ดอกไม้ที่มีหนอนเจ้าย่อมมีในกอดอกมะลิ
อันนับว่าสูงสุดกว่าดอกไม้ที่เกิดอยู่บนบกทั้งสิ้น
ดอกที่หนอนเจาะก็ตกร่วงลงไป ส่วนดอกที่ยังอยู่ก็ส่งกลิ่นหอมฉันใด
พวกที่พวชในพระพุทธศาสนาแล้วสึกไปก็เปรียบเหมือนดอกมะลิที่หนอนเจ้า
แล้วตกร่วงไปฉันนั้น ส่วนพวกที่ยังอยู่ก็ทำให้มนุษย์โลก
เทวโลก ได้รับกลิ่นหอม คือกลิ่นศีลอันประเสริฐฉันนั้น
ข้าวสาลีอันชื่อว่า
" กุรุมพกะ " อันมีในจำพวกข้าวสาลีแดงที่ไม่มีอันตราย
แต่พอเกิดขึ้นแล้วก็เสียไปในระหว่าง
ส่วนข้าวสาลีที่ยังอยู่ ก็สมควรเป็นเครื่องเสวยสำหรับพระราชาฉันใด
พวกที่บรรพชาแล้วสึกไป
ก็เหมือนกับข้าวสาลีที่เสียไปในระหว่าฉันนั้น
ส่วนพวกที่ยังอยู่ก็สมควรแก่ความเป็นพระอรหันต์ฉันนั้น
อีกประการหนึ่ง แก้วมณีอันให้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง
ถึงบางแห่งจะมีตำหนิก็ไม่มีผู้ติ
ส่วนที่บริสุทธิ์ก็เป็นที่ชื่นชมยินดีของมหาชนทั้งปวงฉันใด
พวกที่บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้วสึกไป
เท่ากับเป็นตำหนิหรือเป็นสะเก็ด ส่วนพวกที่ยังอยู่ย่อมทำให้เกิดความร่าเริงยินดีแก่เทพยดามนุษย์ทั้งหลายฉันนั้น
อีกอย่างหนึ่ง แก่นจันทน์ถึงจะเน่าเป็นบางแห่ง
ก็ไม่มีผู้ติ เพราะที่ไม่เน่าไม่เสียย่อมมีกลิ่นหอมฉันใด
พวกที่สึกไปก็เหมือนแก่นจันทร์แดงที่เน่าที่เสีย
ส่วนพวกที่
ยังอยู่ก็ส่งกลิ่นหอมอันประเสริฐคือศีล
ให้หอมทั่วเทวโลกมนุษย์โลกฉันนั้น ขอถวายพระพร
"
" สาธุ...พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แสดงความเป็นของประเสริฐสุด
แห่งพระพุทธศาสนาไว้ถูกต้องดีแล้วทุกประการ
"
ตอนที่
๒๘
ปัญหาที่
๒ ถามเรื่องเวทนาทางกายทางใจของพระอรหันต์
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
มีคำกล่าวว่า พระอรหันต์ได้เสวยแต่เวทนาทางกายอย่างเดียวไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ
ดังนี้
โยมขอถามว่า พระอรหันต์มีจิตไหมสิ่งใดเป็นไปเพราะอาศัยกาย
พระอรหันต์ไม่ได้เป็นใหญ่ในสิ่งนั้นอย่างนั้นหรือ
? "
พระนาคเสนตอบว่า
" อย่างนั้น มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระนาคเสน
ข้อที่ว่า พระอรหันต์ไม่ได้เป็นใหญ่ในกาย
อันเป็นไปของผู้มีจิตวิญญาณอยู่นั้น
ย่อมไม่สมควร เพราะถึงนกก็ย่อมเป็นใหญ่ในรังของตน
"
" ขอถวายพระพร สิ่งที่มีอยู่ในกาย
วิ่งไปตามกาย หมุนไปตามกายทุกภพมีอยู่
๑๐ อย่างคือความเย็น ๑ ความร้อน ๑ ความหิว ๑ ความกระหาย
๑ อุจจาระ ๑ ปัสสาวะ ๑ ความง่วง ๑ ความแก่ ๑ ความเจ็บ ๑ ความตาย
๑ พระอรหันต์ไมได้เป็นใหญ่ในสิ่งทั้ง
๑๐ นั้น "
" ข้าแต่พระนาคเสน
เหตุใดพระอรหันต์จึงไม่มีอำนาจในกาย
ไม่เป็นใหญ่ในกาย ? "
" ขอถวายพระพร พวกสัตว์ที่อาศัยแผ่นดินทั้งสิ้น
มีอำนาจในแผ่นดินหรือไม่ ? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
ถึงจิตของพระอรหันต์อาศัยกาย พระอรหันต์ก็ไม่มีอำนาจทางกายฉันนั้น
ขอถวายพระพร "
" ข้าแต่พระนาคเสน
เพราะเหตุใด ปุถุชนจึงได้เสวยเวทนาทางกายบ้าง
ทางใจบ้าง ? "
" ขอถวายพระพร เพราะปุถุชนไม่ได้อบรมจิตใจ
จึงได้เสวยเวทนาทางกายบ้าง ทางใจบ้าง
ข้อนี้เปรียบเหมือนโคที่กำลังหิว เขาผูกไว้ที่กอหญ้า
หรือที่เครือไม้ เมื่อหิวจัดเข้าก็กระโดดหนีไป
ทำให้เครื่องผูกนั้นขาดไปได้ฉันใด
เวทนาเกิดแก่ผู้ไม่ได้อบรมจิตใจแล้วก็ทำจิตใจให้กำเริบ
จิตกำเริบแล้วก็เกี่ยวเนื่องไปถึงกาย
แล้วเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญ อันนี้แหละเป็นเหตุให้ปุถุชน
ได้เสวยเวทนาทางกายบ้าง ทางใจบ้าง "
" ข้าแต่พระผู้เป็น
ก็เหตุอันใดเล่า ที่ทำให้พระอรหันต์
ได้เสวยแต่เวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ
? "
" ขอถวายพระพร เพราะพระอรหันต์ได้อบรมจิตใจไว้ดีแล้ว
เวลาได้รับทุกขเวทนา ก็ยึดมั่นว่าเป็นอนิจจัง
ผูกจิตไว้ในเสาคือสมาธิแล้วจิตก็ไม่ดิ้นรนหวั่นไหว
มีแต่กายเท่านั้นที่เป็นไปตามอำนาจเวทนา
เหตุอันี้แหละทำให้พระอรหันต์ได้เสวยแต่เวทนาทางกายอย่างเดียว
" ข้าแต่พระนาคเสน
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงเหตุ ในการที่จิตไม่หวั่นไหวไปตามกายให้โยมฟัง
""
" ขอถวายพระพร ต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์ด้วยลำต้น
กิ่ง ก้าน และใบ เมื่อกิ่งไหวเวลาถูกลมพัด
ลำต้นจะไหวด้วยไหม ? "
" ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร เพราะจิตของพระอรหันต์มั่นอยู่ในอนินจัง
ไม่รู้จักหวั่นไหว เปรียบเหมือนลำต้นแห่งต้นไม้ใหญ่ฉะนั้น
"
" น่าอัศจรรย์ ! พระผู้เป็นเจ้า
ธรรมประทีปอันมีประจำอยู่ทุกเมื่ออย่างนี้
โยมไม่เคยได้เห็นเลย "
ปัญหาที่
๓ ถามเรื่องอันตรายแห่งการสำเร็จธรรมของคฤหัสถ์ผู้ปาราชิก
" ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้ามีคนคฤหัสถ์ผู้ใดผู้หนึ่งต้องปาราชิกแล้ว
ต่อมาภายหลังได้บรรพชาเขาเองก็ไม่รู้ว่า
เราเป็นคฤหัสถ์ต้องปาราชิกแล้วผู้อื่นก็ไม่รู้
ธรรมาภิสมัยจะมีแก่เขาหรือไม่ ? "
" ไม่มี มหาบพิตร "
" เพราะเหตุไร พระผู้เป็นเจ้า
? "
" ขอถวายพระพร เพราะเหตุว่า
เหตุอันใดที่จะทำให้ได้ธรรมาภิสมัย
เหตุอันนั้นเขาได้ตัดขาดแล้ว เพราะฉะนั้น
ธรรมาภิสมัยจึงไม่มีแก่เขา "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
มีคำกล่าวว่า ความรำราญใจย่อมมีแก่ผู้รู้
เมื่อมีครามรำคราญใจก็มีเครื่องกั้น
เมื่อมีเครื่องกั้นแล้วแล้ว ธรรมาภิสมัจก็ไม่มี
ก็ผู้ไม่รู้ไม่มีความรำคาญมีจิตสงบอยู่
เหตุไรจึงไม่มีธรรมาภิสมัยแก้ไขยาก
โปรดแก้ไขด้วย ? "
" ขอถวายพระพร พืชที่หว่านลงในที่ดินอันดี
จะงอกขึ้นได้หรือไม่ ? "
" งอกได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร ถ้าพืชนั้นเขาหว่านลงบนศิลาแลง
จะงอกขึ้นได้หรือไม่ ? "
" งอกไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร เพราะเหตุไร
พืชจึงงอกขึ้นในดินที่ดี เพราะเหตุไร
จึงไม่งอกขึ้นที่ศิลาแลง ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
เพราะศิลาแลง ไม่เป็นเหตุให้พืชงอกขึ้นได้
พืชจึงไม่งอกขึ้น "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร เพราะเหตุที่เขาตัดสิ่งจะให้เกิดธรรมาภิสมัยเสียแล้ว
ธรรมาภิสมัยจึงไม่มี อีกอย่างหนึ่ง ไม้ค้อนก้อนดินที่บุคคลโยนขึ้นไปในอากาศ
? "
" ไม่ค้าง พระผู้เป็นเจ้า
"
" เพราะเหตุไร มหาบพิตร
? "
" เพราะเหตุว่า อากาศไม่เป็นที่ตั้งอยู่แห่งไม้ค้อนก้อนดิน
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร เพราะเมื่อเขาตัดเหตุที่จะให้ได้อภิสมัยแล้ว
อภิสมัยก็ไม่มี อีกประการหนึ่ง ธรรมดาไฟย่อมลุกโพลงอยู่บนบก
จึงขอถามว่า ไฟนั้นจะลุกโพลงอยู่บนน้ำได้หรือ
? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" เพราะเหตุไร มหาบพิตร
? "
" เพราะเหตุว่า น้ำไม่เป็นที่ให้ไฟลุก
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร เมื่อเขาตัดเหตุที่จะให้ได้ธรรมาภิสมัย
ธรรมาภิสมัยก็ไม่มี "
" ข้าแต่พระนาคเสน
ขอท่านจงคิดเนื้อความข้อนี้อีก คือสมมุติว่าโยมไม่รู้เลยว่าโยมเป็นปาราชิก
เมื่อไม่รู้ก็ไม่เกิดความรำคาญใจจะมีเครื่องกั้นกางได้อย่างไร
?"
" ขอถวายพระพร ผู้ที่ไม่รู้ยาพิษอันแรงกล้า
แต่ได้กินยาพิษนั้นเข้า เขาจะตายไหม
? "
" ตาย พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร บาปที่ผู้ไม่รู้กระทำ ก็กระทำอันตรายแก่อภิสมัยได้อีกอย่างหนึ่ง
ผู้ที่เหยียบไฟด้วยไม่รู้ ไฟจะไหม้ไหม
? "
" ไหม้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร บาปที่กระทำลงไปแล้ว ถึงไม่รู้ก็จะกระทำอันตรายแก่อภิสมัยได้
อีกประการหนึ่ง อสรพิษกัดผู้ที่ไม่รู้ตายไหม
? "
" ตาย พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ถึงบาปผู้ไม่รู้กระทำ ก็กระทำอันตรายแกอภิสมัยได้
ขอถวายพระพร พระราชากาลิงคราชผู้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ได้ทรงช้างแก้วไปทางอากาศ ถึงไม่ทราบว่า
เป็นต้นไม้ศรีมหาโพธิเก่าอยู่ที่ตรงนั้น
แต่ก็ไม่อาจเหาะข้ามไปบนต้นไม้ศรีมหาโพธินั้นไม่ใช่หรือ...อันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า
ถึงบาปที่ผู้ไม่รู้กระทำก็กระทำอันตรายแก่ธรรมาภิสมัยได้
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
คำแก้ไขของพระผู้เป็นเจ้านี้ ไม่อาจมีใครคัดค้านได้
"
ปัญหาที่
๔ ถามเรื่องสมณะทุศีลคฤหัสถ์ทุศีล
" ข้าแต่พระนาคเสน
คฤหัสถ์ทุศีล กับสมณะทุศีล ต่างกันอย่างไร
คนทั้งสองนี้มีคติเสมอกัน มีวิบากเสมอกันหรืออย่างไร
? "
" ขอถวายพระพร คุณธรรม
๑๐ ประการของ สมณะทุศีล ทำให้ดียิ่งกว่า คฤหัสถ์ทุศีล
และทำให้การถวายทานของชาวบ้าน มีผลมากได้ด้วยเหตุ
๑๐ ประการอีก
คุณธรรม ๑๐ ประการ
๑. ความเคารพในพระพุทธเจ้า
๒. ความเคารพในพระธรรม
๓. ความเคารพในพระสงฆ์
๔. ความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์
๕. ความพยายามเล่าเรียน
๖. ความมากไปด้วยการฟัง
๗. ความเคารพต่อที่ประชุม
๘. ความเป็นผู้มุ่งต่อความเพียร
๙. ยังรักษาไว้ซึ่งเพศภิกษุ
๑๐. ยังรู้จักปกปิดความชั่วของตัวไปด้วยความละอาย
เหมือนกับหญิงที่มีสามี ลักลอบทำความชั่ว
ด้วยกลัวผู้อื่นจะรู้เห็นฉะนั้น เหตุ
๑๐ ประการ
เหตุ ๑๐ ประการ ที่ทำให้การถวายทานของชาวบ้านมีผลมากนั้น
คืออะไรบ้าง คือ
๑. ความทรงไว้ซึ่งเกราะ
คือกาสาวพัสตร์อันบุคคลไม่ควรฆ่า
๒. ความทรงไว้ซึ่งเพศภิกษุ
๓. ความเข้าถึงซึ่งการกระทำกิจวัตรของสงฆ์
๔. ความนับถือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
๕. ความอบรมนิสัย ในทางความเพียร
๖. ความแสวงหาซึ่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระชินวร
๗. การแสดงซึ่งธรรมอันประเสริฐ
๘. การถือพระธรรมเป็นเกราะ
เป็นคติ เป็นที่พึ่งในเบื้องหน้า
๙. มีความเห็นตรงแน่วแน่ว่า
พระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศ
๑๐. การถือมั่นซึ่งอุโบสถ
ขอถวายพระพร สมณะทุศีล
ถึงมีศีลวิบัติแล้ว ก็ยังทำทานของทายกผู้ถวายให้บริสุทธิ์ได้
เปรียบเหมือนน้ำอันชำระล้างซึ่งโคลน เลน
ฝุ่นละออง เหงื่อไคลให้หายไปได้ หรือเปรียบเหมือนน้ำร้อน
ถึงจะร้อน ก็ยังดับไฟกองใหญ่ได้หรือเปรียบเหมือนโภชนะ
อันกำจัดความหิวได้ฉะนั้น
ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ได้ตรัสไว้ใน
ทักขิณาวิภงคสูตร ว่า
" ผู้มีศีลมีจิตเลื่อมใสดี
เชื่อกรรมและผลแล้ว ให้ทานของที่ได้มาโดยชอบแก่ผู้ทุศีล
การถวายทานของเขานั้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก
" ดังนี้ ขอถวายพระพร "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสสรรเสริญว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำปัญหาที่โยมถาม
ให้มีรสไม่รู้จักตายให้เป็นของควรฟัง
ด้วยอุปมาเหตุการณ์หลายอย่าง เหมือนพ่อครัว
หรือลูกมือของพ่อครัวผู้ฉลาด ได้เนื้อมาเพียงก้อนเดียว
ก็ตกแต่งอาหารได้หลายอย่าง เพื่อถวายแก่พระราชาฉันนั้น
"
ปัญหาที่
๕ ถามความมีชีวิตแห่งน้ำ
" ข้าแต่พระนาคเสน
เวลาน้ำถูกความร้อนย่อมมีเสียงร้องต่าง
ๆ น้ำมีชีวิตหรืออย่างไร ? "
" น้ำไม่มีชีวิต ขอถวายพระพร
ก็แต่ว่าเวลาน้ำถูกความร้อนด้วยไฟ
ก็ย่อมมีเสียง "
" ข้าแต่พระนาคเสน
พวกเดียรถีย์บางพวกถือว่าน้ำมีชีวิต
เขาจึงไม่ใช้น้ำเย็น ใช้แต่น้ำที่ต้มแล้วเท่านั้น
ทั้งเขาติเตียนชาวพุทธว่าพวกสมณศากยบุตรเบียดเบียนของที่มีชีวิตอินทรีย์อันเดียว
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงปลดเปลื้องข้อครหานั้นเสียเถิด
พระคุณเจ้าข้า "
" ขอถวายพระพร น้ำไม่มีชีวิตเลย
ชีพหรือสัตว์ไม่มีอยู่ในน้ำ ก็แต่ว่าน้ำมีเสียงดังได้ด้วยกำลังความร้อนแห่งไฟ
เปรียบเหมือนน้ำอันตกลงในบึง ในสระ
ในหนอง ในซอกเขา ในบ่อน้ำ ในที่ลุ่ม ในสระโบกขรณี
ก็มีเสียงดังฉะนั้น
อีกประการหนึ่ง ขอมหาบพิตรได้ทรงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้
คือน้ำอันบุคคลใส่ลงไปในข้าวสาร
แล้วยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ น้ำจะมีเสียงดังไหม
? "
" ไม่มีเสียวดัง พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร เวลาภาชนะน้ำนั้น
ถูกยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ น้ำจะนิ่งสงบอยู่ไหม
? "
" ไม่นิ่งสงบ พระผู้เป็นเจ้า
น้ำนั้นจะต้องเดือดมีฟองข้าวล้นออกไป
"
" เพราะเหตุไร น้ำปกติจึงนิ่งสงบ
ส่วนน้ำที่ร้อนด้วยไฟจึงเดือดพล่าน
? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
น้ำปกตินิ่งอยู่ ส่วนที่ร้อนด้วยไฟย่อมมีเสียงดัง
เพราะกำลังความร้อนแห่งไฟ "
" ขอถวายพระพร ถึงเหตุอันนี้ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า
น้ำไม่มีชีวิต ขอพระองค์จงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก
คือน้ำที่อยู่ในภาชนะน้ำในบ้าน เขาปิดไว้ไม่ใช่หรือ
? "
" ใช่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ก็น้ำนั้นเดือดพล่านหรือไม่
? "
" ไม่เดือด พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า
น้ำในมหาสมุทรงเป็นลูกคลื่นมีเสียงดังลั่นอยู่เสมอ
? "
" เคยสดับ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร เหตุไรน้ำในขันที่เขาปิดไว้
จึงไม่เป็นลูกคลื่น ไม่มีเสียงดัง ส่วนน้ำในมหาสมุทรมีลูกคลื่น
มีเสียงดัง ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
การที่น้ำในมหาสมุทรเป็นลูกคลื่น มีเสียงดังนั้น
เพราะกำลังของลมพัดส่วนน้ำในขันน้ำที่เขาปิดไว้นั้น
ไม่ถูกลมพัด "
" ขอถวายพระพร น้ำในมหาสมุทรเป็นลูกคลื่นมีเสียงดัง
เพราะกำลังลมฉันใด น้ำที่ต้มบนเตาไฟก็มีเสียงดัง
เพราะกำลังความร้อนฉันนั้น ขอถวายพระพร
ธรรมดาหน้ากลองเขาย่อมหุ้มด้วยหนังแห้งไม่ใช่หรือ
? "
" ใช่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร กลองเป็นของมีชีวิตจิตใจหรือไม่
? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร กลองไม่มีชีวิตจิตใจแต่เหตุไรจึงมีเสียงดัง
? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
กลองมีเสียงดังด้วยความพยายาม อันเกิดจากสตรีหรือบุรุษ
"
" ขอถวายพระพร กลองมีเสียงดังได้ด้วยความพยามยามของสตรีหรือบุรุษฉันใด
น้ำก็มีเสียงดังได้ด้วยความร้อนฉันนั้น
เหตุอันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า น้ำไม่มีชีวิตจิตใจ
แต่มีเสียงดังได้เพราะความร้อนแห่งไฟ
ขอถวายพระพร ปัญหาที่มหาบพิตรได้ตรัสถามมาแล้ว
ก็ได้แก้ถวายดีแล้วทั้งนั้น จึงขอถามมหาบพิตรว่า
น้ำในภาชนะทั้งปวงเมื่อถูกร้อนก็ดังเหมือนกันทั้งนั้น
หรือดังเป็นบางภาชนะ ? "
" ไม่ดังเหมือนกันหมด
ดังเป็นบางภาชนะ พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น
ก็เป็นอันว่ามหาบพิตรได้ทิ้งความเห็นของพระองค์
กลับเข้าหาความเห็นของอาตมาภาพแล้วว่า
น้ำที่ไม่มีชีวิตจิตใจ
ขอถวายพระพร ถ้าน้ำในภาชนะทั้งปวงเมื่อถูกร้อนก็ดังเหมือนกันหมด
คำกล่าวว่า น้ำมีชีวิตก็สมควร เพราะน้ำไม่ได้แยกออกไปเป็นสอง
คือ มีชีวิตก็มี ไม่มีชีวิตก็มี
ขอถวายพระพร ถ้าน้ำมีชีวิต
เวลาฝูงช้างลงเล่นน้ำ ดูดน้ำเข้าไปทางงวง
แล้วใส่เข้าไปในปากไหลเข้าไปในท้อง
น้ำก็ต้องมีเสียงร้อง หรือเวลาสำเภาใหญ่
ๆ บรรทุกเต็มไปด้วยสินค้าแล่นไปในมหาสมุทร
น้ำที่ถูกสำเภาเบียบเสียด ก็ต้องมีเสียงร้อง
หรือเวลาปลาใหญ่ ๆ
ตัวยาวตั้งหลายร้อยโยชน์ คือ ปลาติมิติมิงคละ
ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำมหาสมุทร ถ้าน้ำมีชีวิตก็ต้องร้องเพราะเหตุน้ำไม่มีชีวิตจึงไม่ร้อง
"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสยกย่องว่า
" สาธุ...พระนาคเสน ปัญหาอันถึงซึ่งการแสดง
พระผู้เป็นเจ้าได้แจงออกไว้ ด้วยการแจงสมควรแล้วทั้งนั้น
เปรียบเหมือนแก้วมณีที่มีค่ามาก เมื่อส่งไปถึงนายช่างผู้ฉลาด
เขาก็ทำให้ดียิ่งขึ้น หรือแก้วมุกดา
แก่นจันทน์แดงอันน่าสรรเสริญฉะนั้น "
ปัญหาที่
๖ ถามถึงสิ่งที่ไม่มีในโลก
" ข้าแต่พระนาคเสน
ในโลกนี้ย่อมปรากฏมีพระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ
พระเจ้าประเทศราช เทวดา มนุษย์ ผู้มีทรัพย์ ผู้ไม่มีทรัพย์
ผู้ไปดี ผู้ไปไม่ดี เพศหญิง เพศชาย กรรมดีกรรมชั่ว
ผลของกรรมดีกรรมชั่ว สัตว์ที่เกิดในฟองไข่
เกิดในท้องแม่ เกิดในเหงื่อไคล เกิดขึ้นเอง
ไม่มีเท้าก็มี มีเพียง ๒ เท้า ๔ เท้า หลายเท้าก็มี
มีทั้งยักษ์ รากษส กุมภัณฑ์
อสูร ทานพ คนธรรพ์ เปรต ปีศาจ กินนร นาค ครุฑ ฤาษี วิชาธร ช้าง
ม้า โค กระบือ อูฐ ลา แพะ แกะ เนื้อ สุกร สิงห์ พยัคฆ์ เสือเหลือง หมี
เสือดาว หมาไน สุนัขบ้าน สนัขป่า นกต่าง ๆ ทอง เงิน มุกดา
มณี สังข์ ศิลา ประพาฬ แก้วแดง แก้วลาย แก้วไพฑูรย์ เพชร แก้วผลึก
เหล็ก ทองแดง แร่เงิน แร่สัมฤทธิ์
ผ้าป่าน ผ้าไหม ผ้าด้าย
ป่าน ปอ ขนสัตว์ ข้าวไม่มีเปลือก ข้าวมีเปลือก
ข้าวละมาน หญ้ากันแก้ ลูกเดือย หญ้าละมาน
ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งาน ถั่วพลู ต้นไม้ที่มีรากหอม
มีแก่นหอม มีกระพี้หอม มีเปลือกหอม มีใบหอม
มีดอกหอม มีผลหอม มีข้อหอม หญ้า เครือไม้
กอไม้ ต้นไม้ ดวงดาว ต้นไม้ใหญ่ แม่น้ำ ภูเขา
ทะเล ปลา เต่า เป็นอันมาก
สิ่งเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในโลกทั้งนั้น
สิ่งที่ไม่มีในโลก ถ้ามีอยู่ขอจงบอกให้แก่โยมด้วย
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สิ่งที่ไม่มีในโลกมีอยู่
๓ ประการ คือ
๑. สิ่งที่มีเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม
จะไม่แก่ไม่ตาย ไม่มีในโลก
๒. ความเที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายไม่มี
๓. เมื่อว่าตามปรมัตถ์แล้ว
คำว่าสัตว์บุคคลไม่มี รวมเป็นของไม่มีอยู่ในโลก
๓ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร "
" สาธุ...พระนาคเสน ปัญหาข้อนี้พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว
"
ปัญหาที่
๗ ถามถึงความเผลอสติของพระอรหันต์
" ข้าแต่พระนาคเสน
ความเผลอสติของพระอรหันต์มีอยู่หรือ
? "
" ขอถวายพระพร ไม่มี
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
พระอรหันต์ต้องอาบัติบ้างหรือไม่ ? "
" ขอถวายพระพร ต้อง
"
" ต้องเพราะวัตถุอะไร?
"
" ขอถวายพระพร ต้องด้วยสำคัญผิดคือเวลาวิกาล
เข้าใจว่าเป็นกาลก็มี ห้ามการรับประเคนแล้ว
เข้าใจว่าไม่ได้ห้ามก็มี อาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้
เข้าใจว่าเป็นเดนภิกษุไข้ก็มี "
" ข้าแต่พระนาคเสน
ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ
๑ ด้วยความไม่รู้ ๑ พระอรหันต์ต้องอาบัติด้วยความไม่เอื้อเฟื้อมีอยู่หรือ
? "
" ไม่มีเลย มหาบพิตร
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าพระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่ แต่ความไม่เอื้อเฟื้อย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์
ถ้าอย่างนั้นความเผลอสติ ก็มีแก่พระอรหันต์น่ะซิ
"
" ไม่มี มหาบพิตร เป็นแต่พระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่
"
" ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้โยมเข้าใจในข้อนี้ว่า
เป็นเพราะอะไร ? "
" ขอถวายพระพร ลักษณะแห่งโทษมีอยู่
๒ ประการ คือ เป็นโลกวัชชะ ๑ เป็นปัณณัตติวัชชะ
๑
ที่เป็นโลกวัชชะ
( เป็นโทษทางโลก ) นั้นได้แก่ อกุศลกรรมบถ
๑๐
ที่เป็นปัณณัตติวัชชะ
( เป็นโทษทางพระวินัย ) นั้น ได้แก่ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติ
ไว้สำหรับพระภิกษุสาวกทั้งหลาย
อย่าง วิกาลโภชนสิกขาบท
คือการฉันอาหารในเวลาวิกาล เป็นโทษในทางพระวินัยแต่ไม่เป็นโทษทางโลก
หรือ การทำให้ภูตคามเคลื่อนที่ คือการตัดต้นไม้ใบหญ้า
เป็นต้น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
การว่ายน้ำเล่น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
สิ่งที่เป็นโทษทางพระวินัยนี้แหละ
เรียกว่า " ปัณณัตติวัชชะ " ส่วนที่เป็นโทษทางโลกนั้นพระอรหันต์ไม่ทำอย่างเด็ดขาด
สิ่งที่เป็นโทษทางวินัย เมื่อยังไม่รู้ก็ทำ
เพราะว่าการรู้สิ่งทั้งปวงไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ทั่วไป
สิ่งที่พระอรหันต์ไม่รู้ก็มี เช่น นามและโคตรแห่งสตรีบุรุษ
พระอรหันต์รู้ได้เฉพาะวิมุตติ
คือการหลุดพ้นก็มี พระอรหันต์ขั้นอภิญญา
๖ ก็รู้เฉพาะในวิสัยแห่งตน สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเท่านั้น
จึงจะรู้หมด ขอถวายพระพร "
" ถูกต้อง พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๘ ถามถึงความมีอยู่แห่งนิพพาน
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
สิ่งที่เกิ ดขึ้นด้วยกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเหตุ
สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยฤดู มีปรากฏอยู่ในโลกแล้ว
สิ่งใดที่ไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ
ไม่เกิดด้วยฤดู ขอพระผู้เป็นเจ้าจงบอกสิ่งนั้นแก่โยม
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สิ่งที่ไม่เกิดด้วยกรรม
ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดูนั้น มีอยู่
๒ คือ อากาศ ๑ นิพพาน ๑ "
" ข้าแต่พระนาคเสน
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอย่าลบล้างคำของพระพุทธเจ้า
ไม่รู้ก็อย่าแก้ปัญหานี้ "
" ขอถวายพระพร เหตุใดอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้
และเหตุใดมหาบพิตรจึงห้ามอาตมภาพอย่างนี้
? "
พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
เพราะไม่ควรกล่าวว่าอากาศไม่เกิดด้วยกรรม
ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู สมเด็จพระบรมครูได้ทรงบอกทางสำเร็จนิพพานให้แก่พระสาวก
ด้วยเหตุหลายร้อยอย่าง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
นิพพานไม่เกิดด้วยเหตุ "
พระนาคเสนเฉลยว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้ทรงบอกทางสำเร็จนิพพานแก่พวกสาวกด้วยเหตุหลายร้อยอย่างจริง
แต่ไม่ใช่ทรงบอกเหตุให้เกิดนิพพาน
"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
ในข้อนี้เท่ากับโยมออกจากที่มืดเข้าไปสู่ที่มืด
ออกจากป่าเข้าสู่ป่าอีก ออกจากที่รกเข้าสู่ที่รกอีก
เพราะเหตุให้สำเร็จพระนิพพานมีอยู่ แต่เหตุให้เกิดนิพพานไม่มี
ถ้าเหตุให้สำเร็จนิพพานมีอยู่
เหตุให้เกิดนิพพานก็ต้องมี เหมือนบิดามีอยู่
เหตุที่ให้เกิดบิดาก็ต้องมีอยู่
อาจารย์มีอยู่ เหตุที่ให้เกิดอาจารย์นั้นก็ต้องมีอยู่
พืชมีอยู่ เหตุให้เกิดพืชนั้นก็ต้องมีอยู่
หรือเมื่อยอดแห่งต้นไม้มีอยู่ ตอนกลางและรากก็ต้องมี
"
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร มหาราชะ
นิพพานเป็น อนุปาทานียะ คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานเพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุ
"
" ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงให้โยมเข้าใจว่า
เหตุให้สำเร็จนิพพานมีอยู่ แต่เหตุให้เกิดนิพพานไม่มี
"
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น
ขอมหาบพิตรตั้งพระโสตลงสดับ อาตมภาพจักแสดงถวาย
คือบุรุษอาจจากที่นี้ไปถึงเขาหิมพาต์ได้ตามกำลังปกติหริอ
? "
" ได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร บุรุษนั้นอาจนำภูเขาหิมพานต์
มาไว้ในที่นี้ได้กำลังตามปกติหรือ
? "
" ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละคือบุคคลอาจบอกทางสำเร็จนิพพานได้
แต่ไม่อาจบอกเตุให้เกิดนิพพานได้
ขอถวายพระพรบุรุษอาจข้ามมหาสมุทรไปได้
ด้วยเรือตามกำลังปนกติไหม ? "
" อาจได้ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ก็บุรุษนั้นอาจนำเอาฝั่งมหาสมุทรข้างโน้นมาตั้งไว้ข้างนี้
ด้วยกำลังตามปกติไหม ? "
" ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร คือทางสำเร็จนิพพานนั้นอาจบอกได้
แต่ไม่อาจบอกเหตุให้เกิดนิพพานได้
เพราะนิพพานเป็น อสังขตธรรม " ( ธรรมที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
)
" ข้าแต่พระนาคเสน
นิพพานเป็นอสังขตธรรม ไม่มีใครอาจบอกได้อย่างนั้นหรือ
? "
" อย่างนั้นมหาบพิตร
นิพพานเป็นอสังขตธรรม ไม่มีอะไรตกแต่งได้
ไม่มีอะไรกระทำได้นิพพานเป็นขอไม่ควรกล่าวว่า
เกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิด หรือจักต้องเกิด
ไม่ควรกล่าวว่า เป็นอดีต หรืออนาคต หรือปัจจุบัน
ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องเห็นด้วยตา
เป็นของต้องได้ยินด้วยหู รู้ด้วยจมูก
ลิ้น กาย อย่างใดเลย "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าเป็นอย่างนั้นนิพพานก็เป็นความไม่มีเป็นธรรมดา
เราพูดได้ว่านิพพานไม่มีอย่างนั้นซิ
"
" ขอถวายพระพร นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ
พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้เห็นนิพพาาน
ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบอันประณีต อันเที่ยงตรง
อันไม่มีเครื่องกั้นกางอันไม่มีอามิส
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
นิพพานนั้นเป็นเช่นไร ขอจงให้โยมเข้าใจด้วยคำอุปมา
คือด้วยการเปรียบกับสิ่งที่มีอยู่
รู้อยู่ตามธรรมดา "
" ขอถวายพระพร ลมมีอยู่หรือ
? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงแสดงลมให้อาตมภาพเป็นด้วยสี
สัณฐาน น้อย ใหญ่ ยาว สั้น "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
เพราะไม่ใครอาจจับต้องลมได้ แต่ว่าลมนั้นมีอยู่
"
" ขอถวายพระพร ถ้าไม่อาจชี้ลมได้ดว่าลมมีสี
สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไรลมก็ไม่มีน่ะซิ
? "
" มี พระผู้เป็นเจ้า
โยมรู้อยู่เต็มใจว่าลมมี แต่ไม่อาจแสดงลมให้เห็นได้
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร นิพพานมีอยู่จริง แต่ว่าไม่มีใครอาจแสดงให้เห็นได้ว่า
นิพพานมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร "
" ข้าแต่พระนาคเสน
โยมเข้าใจได้ดีตามข้ออุปมาแล้ว โยมยอมรับว่านิพพานมีจริง
" ปัญหาที่ ๙ ถามถึงสิ่งที่เกิดจากกรรมและไม่เกิดจากกรรม
" ข้าแต่พระนาคเสน
อะไรเกิดด้วยกรรมเกิดด้วยเหตุ เกิดด้วยฤดู
และอะไรไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ
ไม่เกิดด้วยฤดู ? "
" ขอถวายพระพร พวกสัตว์ที่มีจิตใจทั้งสิ้นเกิดด้วยกรรม
ไฟกับพืชทั้งสิ้นเกิดด้วยเหตุ แผ่นดิน
ภูเขา น้ำ ลม ทั้งสิ้นเกิดด้วยฤดู อากาศกับนิพพานไม่เกิดด้วยกรรม
ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู
นิพพาน ใคร ๆ ไม่ควรกล่าวว่า
เกิดด้วยกรรม หรือเกิดด้วยเหตุ เกิดด้วยฤดู
และไม่ควรกล่าวว่า เป็นของเกิดอยู่แล้ว
หรือยังไม่เกิดหรือจักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่า
เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องรู้แจ้งด้วยตา
หู จมูก ลิ้น กาย นอกจากเป็นของที่รู้ดวยใจเท่านั้น
แต่พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้ว
ย่อมเห็นนิพพานด้วยญาณอันบริสุทธิ์ "
" ข้าแต่พระนาคเสน
ปัญหาอันน่ายินดีพระผู้เป็นเจ้าได้แก้ไขดีแล้ว
ทำให้โยมสิ้นสงสัยแล้ว พระผู้เป็นเจ้าได้ชื่อว่า
มาถึงความเป็นผู้เยี่ยมในคณะสงฆ์อันประเสริฐแล้ว
" จบวรรคที่ ๗