ตอนที่
๓๓
ปัญหาที่
๙ถามเกี่ยวกับธุดงค์
พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงเห็นพวกภิกษุที่ถือธุดงค์อยู่ในป่ามีอยู่
ทั้งรู้ว่าคฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จอนาคามีผลมีอยู่
จึงทรงสงสัยว่า ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จธรรมได้
ธุดงค์ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เราจักถามถึงพระศาสนาอันละเอียดอันย่ำยีเสียซึ่งถ้อยคำของผู้อื่น
อันเป็นของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงแสดงไว้
เพื่อให้สิ้นสงสัยของเรา
ครั้งทรงดำริดังนี้แล้ว
จึงได้รีบเสด็จไปหาพระนาคเสนด้วยความรีบร้อน
เหมือนกับโคที่กระหายน้ำ และเหมือนกับคนที่หิวข้าวเหมือนกับคนเดินทางไปพบพวกเกียว
หรือเหมือนกับคนเจ็บไข้ต้องการหมอ
เหมือนกับคนไม่มีทรัพย์แสดงหาทรัพย์
เหมือนกับผู้จะข้ามฟากต้องการเรือ
เหมือนกับคนกำลังเกิดความรัก ต้องการความรัก
หรือเหมือนกับคนเป่าปี่ ต้องการให้ปี่มีเสียงไพเราะ
หรือเหมือนกับคนกลัวภัยแสวงหาที่พึ่ง
หรือเหมือนกับพระภิกษุผู้ต้องการความดับกิเลสฉะนั้น
ครั้งเสด็จเข้าไปถึงแล้ว
จึงทรงนึกถึงคุณอันประเสริฐ ๑๐ ประการ ว่าถ้าเราถามแล้ว
ท่านแก้ให้เราฟัง เราก็จักหมดสงสัย
๑ ใจของเราจักบริสุทธิ์ ๑ เราจักไม่มีวิตกที่ชั่ว
๑ จักถึงซึ่งกระแสธรรม ๑
จักได้ปัญญาจักษุ
๑ จะได้ชื่อว่าอาจารย์อนุเคราะห์ ๑ จักเป็นผู้ไม่มีเครื่องกีดขวางกุศลธรรมทั้งปวง
๑ จะได้ประกอบด้วยโลกุตตรธรรม ๑ จักไม่สะดุ้งกลัวต่อภพทั้งปวง
๑ เวลาเข้าสู่ที่ประชุมจะอาจแทงตลอดเหตุผลทั้งปวง
๑
ทรงดำริดังนี้แล้ว
จึงได้ตรัสถามขึ้นว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
คฤหัสถ์ได้สำเร็จนิพพานมีอยู่หรือ?
มีอยู่
มหาบพิตร มีอยู่มากทีเดียว นับเป็นจำนวนร้อยหมื่นแสนล้านโกฏิไม่ได้
ขอพระผู้เป็นเจ้า
จงแสดงให้โยมแจ่มแจ้งด้วยเถิด
ขอถวายพระพร
ถ้าอย่างนั้นอาตมภาพจักแสดงถวาย คือพระธรรมในพระพุทธศาสนาอันประกอบด้วยองค์
๙ ย่อมรวมลงใน ธุดงค์ ทั้งนั้น เหมือนกับน้ำฝนที่ตกลงมาทั้งสิ้น
ย่อมไหลไปรวมมหาสมุทรฉันนั้น อาตมภาพจักจำแนกเนื้อความข้อนี้ให้แจ่มแจ้ง
เหมือนอาจารย์เลขผู้ฉลาดสอนเลขให้แก่ลูกศิษย์ฉะนั้นคฤหัสถ์ผู้ได้มรรคผลในสมัยพุทธกาล
ขอถวายพระพร
ที่กรุงสาวัตถีมีอริยสาวก ๕ โกฏิ มีอุบาสกอุบาสิกาตั้งอยู่ในอนาคามีผลถึง
๓๕๗,๐๐๐คน พวกนั้นล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น
ไม่ใช่เป็นบรรพชิตเลย
ยังมีอีกคือคราวที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
ก็มีพวกคฤหัสถ์บรรลุมรรคผลถึง ๒๐ โกฏิ
คราวทรงแสดงราหุโลวาทสูตร
มหามงคลสูตร สมจิตตปริยายสูตร ปราภวสูตร จูฬสุภัททสูตร
กลหวิวาทสูตร จูฬพยูหสูตร มหาพยูหสูตร ตุวัฏฏกสูตร
สารีปุตตสูตร มีเทวดาบรรลุมรรคผลนับไม่ถ้วน
ในกรุงราชคฤห์มีอริยสาวก
ซึ่งล้วนแต่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ๓๕๐,๐๐๐ คน ยังมีอีกคือในคราวทรงทรมานช้างธนบาล
มีผู้ได้บรรลุมรรคผลอีก ๙๐ โกฏิ คราวทรงแก้ปัญหาแห่งมาณพ
๑๖ คน ( ศิษย์ของพราหมณ์พาวรี) ที่ปาสาณกเจดีย์มีผู้บรรลุมรรคผลอีก
๑๔ โกฏิ
คราวทรงแสดงสักกปัญหาสูตร
ที่ถ้ำอินทสาลคูหา มีเทวดาบรรลุมรรคผลถึง
๘๐ โกฏิ คราวทรงแสดงธัมมจักกัปวัตตนสูตรที่ป่าอิสิปตนมิคทายวันครั้งแรก
มีพรหม ๑๘ โกฏิ กับเทวดาประมาณมิได้บรรลุมรรคผล
ในคราวทรงแสดงพระอภิธรรม
ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในดาวดึงส์สวรรค์ มีเทวดาบรรลุมรรคผล
๘๐ โกฏิ ในคราวเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ก็มีผู้บรรลุมรรคผล
๓๐ โกฏิ
ในคราวทรงแสดงพุทธวงศ์ที่นิโครธารามกรุงบิลพัสดุ์
และในคราวทรงแสดงมหาสมัยสูตร ก็มีเทวดาได้บรรลุมรรคผลนับไม่ได้
ในคราวนายสุมนมาลาการบูชาด้วยดอกมะลิ
อันเรียกว่าในสมาคนแห่งสุมนมาลาการ
และในสมาคมคราวทรงแสดงเรื่องอานันทเศรษฐีในสมาคมคราวโปรดชัมพุกาชีวา
ในสมาคมคราวมัณฑุกเทพบุตรลงมาเฝ้า
ในสมาคมคราวมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาเฝ้าคราวสมาคมนางสุรสานครโสเภณี
และนางสิริมานครโสเภณี ธิดาช่างทอผูก
( เปสการี ) นางจูฬสุภัททา สาเกตพราหมณ์ อาฬาหณทัสสนะ
สุนาปรัตปะ สักกปัญหา ติโลกุฑฑสูตร มีผู้บรรลุมรรคผลถึง
๘๔,๐๐๐คน
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในโลก
อันมีใน ๑๖ ชนบทนั้น หรือไม่ว่าประทับอยู่ในที่ใด
ๆ โดยมากมีเทพยดามนุษย์ สำเร็จนิพพานในที่นั้น
ๆ คราวละ ๒ - ๓ ตลอดถึงคราวละแสนเทพยดามนุษย์เหล่านั้น
เป็นพวกคฤหัสถ์ทั้งนั้นขอถวายพระพร
พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จนิพพานได้ ธุดงคคุณ ๑๓ ก็ไม่มีประโยชน์อะร
ถ้าหากว่าความเจ็บไข้หายไปได้ด้วยการร่ายมนต์
ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับยาถ่ายและคนผู้มีความรู้
ถ้าปราบศัตรูได้ด้วยกำปั้น ดาบ หอก แหลน หลาว
เกาทัณฑ์ ธนู หน้าไม้ ค้อนเหล็ก ไม้ค้อน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ถ้าขึ้นต้นไม้ได้ด้วยการผูกไม้หรือกิ่งไม้ที่เป็นข้อเป็นปมคด
ๆ งอ ๆ เป็นโพรงได้ ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการที่แสวงหาบันไดยาว
ๆ ถ้าธาตุจะเสมอดีได้ด้วยการนอนตามพื้นดินก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาที่นอนที่สุขสบายดี
ถ้าสามารถเดินผ่านพ้นทางที่มีอันตรายลำพังผู้เดียวได้
ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาพรรคพวกที่มีศาตราวุธ
ถ้าสามารถข้ามแม่น้ำไปได้ด้วยแขนของตน
ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาสะพานหรือเรือ
ถ้าการกินอยู่ของตนมีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องเที่ยวขอผู้อื่น
ถ้าได้น้ำในที่ไม่มีห้วงน้ำแล้ว
ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะขุดบ่อน้ำ
หนองน้ำ สระน้ำ ข้อความเหล่านี้ฉันใด
ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จนิพพานได้ ก้ไม่จำเป็นอะไรที่ต้องถือธุดงคคุณคุณแห่งธุดงค์
๒๘ ประการ
ขอถวายพระพร
ธุดงค์ประกอบด้วยคุณเหล่าใด ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงต้องการคุณแห่งธุดงค์เหล่านั้น
มีอยู่ ๒๘ ประการคือ
๑. การหาเลี้ยงชีพบริสุทธิ์
๒. มีผลเป็นสุข
๓. เป็นของไม่มีโทษ
๔. บำบัดความทุกข์ของผู้อื่นเสีย
๕. เป็นของไม่มีภัย
๖. เป็นของไม่เบียดเบียน
๗. มีแต่เจริญฝ่ายเดียว
ไม่เป็นเหตุให้เสื่อม
๙. ไม่ขุ่นมัว
๑๐. เป็นเครื่องป้องกัน
๑๑. ให้สำเร็จสิ่งที่ปรารถนา
๑๒. กำจัดเสียซึ่งอาวุธทั้งปวง
๑๓. มีประโยชน์ในทางสำรวม
๑๔. สมควรแก่สมณะ
๑๕. สงบนิ่ง
๑๗. เป็นเหตุให้สิ้นราคะ
๑๙. ทำโมหะให้พินาศ
๒๐. กำจัดเสียซึ่งมานะ
๒๑. เป็นเหตุตัดเสียซึ่งวิตกชั่ว
๒๒. ทำให้ข้ามสงสัยเสียได้
๒๓. กำจัดเสียซึ่งความเกียจคร้าน
๒๔. กำจัดเสียซึ่งความไม่ยินดีในธรรม
๒๕. เป็นเหตุให้อดทน
๒๖. เป็นของชั่งไม่ได้
๒๗. เป็นของหาประมาณมิได้
๒๘. ทำให้สิ้นทุกข์ทั้งปวงองค์
๑๘ ของผู้สมาทานธุดงค์
ขอถวายพระพร
บุคคลเหล่าใดสมาทานถือมั่นธุดงคคุณ
บุคคลเหล่านั้นย่อมประกอบด้วยองค์ ๑๘ คือ
๑. มีมรรยาทบริสุทธิ์
๒. มีปฏิปทาบริบูรณ์ดี
๓. รักษากาย
วาจา ดี
๔. มีใจบริสุทธิ์ดี
๕. ประคองความเพียรดี
๖. ระงับความกลัว
๗. ปราศจากความยึดถือในตัวตน
๘. ระงับความอาฆาต
๙. มีจิตเมตตา
๑๐. รอบรู้อาหาร
๑๑. เป็นที่เคารพแห่งสัตว์ทั้งปวง
๑๒. เป็นผู้รู้จักพอดีในโภชนะ
๑๓. เป็นผู้ประกอบเนือง
ๆ ซึ่งความเพียร
๑๔. ไม่ห่วงที่อยู่
๑๕. อยู่ที่ไหนสบายก็อยู่ที่นั่น
๑๖. เกลียดชังความชั่ว
๑๗. ยินดีในวิเวก
๑๘. ไม่ประมาทเนือง
ๆผู้ควรแก่ธุดงคคุณ ๑๐
ขอถวายพระพร
บุคคลผู้ที่ควรแก่ธุดงคคุณ มีอยู่ ๑๐
คือ
๑. ผู้มีศรัทธา
๒. ผู้มีหิริ
( ละอายชั่ว )
๓. ผู้มีความอดทน
๔. ผู้ไม่คดโกง
๕. ผู้อยู่ในอำนาจเหตุผล
๖. ผู้ไม่ละโมภ
๗. ผู้ใคร่ต่อการศึกษา
๘. ผู้มีใจมั่นคง
๙. ผู้ไม่ชอบยกโทษผู้อื่น
๑๐. ผู้อยู่ด้วยเมตตา
ขอถวายพระพร
พวกคฤหัสถ์ที่กระทำให้แจ้งนิพพานทั้งสิ้น
ล้วนได้กระทำให้ธุดงคคุณ ๑๓ ไว้ในชาติก่อน
ๆ แล้วทั้งนั้น มาในชาตินี้ได้กระทำความประพฤติ
และการปฏิบัติให้บริสุทธิ์ซึ่งอีก จึงจะสำเร็จนิพพานได้อุปมาธุดงคคุณ
เปรียบเหมือนพวกนายขมังธนูผู้ฉลาดได้ฝึกหัดวิชาธนูไว้ก่อนแล้ว
ครั้งเข้าไปสู่พระราชฐาน ก็ยิงถวายพระมหากษัตริย์ได้แม่นยำ
แล้วได้รับพระราชทานรางวัลเป็นอันมาก
ฉะนั้นผู้ไม่ได้กระทำในธุดงค์ไว้เมื่อชาติก่อน
ย่อมไม่สำเร็จอรหันต์ในชาตินี้ จะสำเร็จก็เพียงโสดาปัตติผลเท่านั้น
อีกประการหนึ่ง
ผู้ได้กระทำธุดงค์ ๑๓ ไว้ในชาติก่อนมาชำนาญแล้ว
มาชาตินี้ได้อบรมความประพฤติและข้อปฏิบัติซ้ำอีก
ก็กระทำให้แจ้งนิพพานได้ เหมือนกับแพทย์ที่เรียนจนชำนิชำนาญในสำนักอาจารย์มาแล้ว
ก็รักษาโรคได้ดีฉะนั้น
การสำเร็จธรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่บริสุทธิ์ในธุดงคคุณ
เหมือนกับการไม่งอกขึ้นแห่งพืชด้วยไม่ถูกรดน้ำฉะนั้น
หรือเหมือนกับการไปสู่สุคติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ได้ทำกุศลไว้ฉะนั้น
ขอถวายพระพร
ธุดงคคุณเปรียบเหมือนปฐพี เพราะเป็นที่ตั้งแห่งผู่มุ่งความบริสุทธิ์และเปรียบเหมือนน้ำ
เพราะเป็นเครื่องชำระกิเลสมลทิน เปรียบเหมือนไฟ
เพราะเป็นเครื่องเผากิเลสทั้งปวง เปรียบเหมือนลม
เพราะเป็นเครื่องพัดเอามลทินคือกิเลสไป
เปรียบเหมือนยาแก้พิษงู เพราะเป็นเครื่องแก้ความเจ็บไข้คือกิเลส
เปรียบเหมือนดังน้ำอมฤต
เพราะทำลายกิเลสทั้งปวง เปรียบเหมือนนา เพราะเป็นที่งอกขึ้นแห่งคุณของสมณะทั้งปวง
เปรียบเหมือนแก้วมโนหรจินดา เพราะให้สำเร็จสมบัติตามความปรารถนา
เปรียบเหมือนเรือ เพราะให้ข้ามฟากคือสงสารได้
เปรียบเหมือนเครื่องป้องกันภัย เพราะทำให้เกิดความเบาใจแก่ผู้กลัวชรามรณะ
เปรียบเหมือนมารดา
เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์ ซึ่งผู้กำจัดกิเลสแห่งทุกข์
เปรียบเหมือนบิดา เพราะทำให้เกิดผลแห่งความเป็นสมณะ
เปรียบเหมือนมิตร เพราะไม่ทำให้ผิดพลาด
จากการแสวงหาคุณธรรม เปรียบเหมือนดอกปทุม
เพราะไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลสเปรียบเหมือนของหอม
๔ อย่าง เพราะกำจัดกลิ่นเหม็นคือกิเลส
เปรียบเหมือนพระยาเขาสิเนรุราช
เพราะไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ๘ เปรียบเหมือนอากาศ
เพราะปราศจากการยึดถือในสิ่งทั้งปวงเปรียบเหมือนแม่น้ำ
เพราะเป็นที่ล้างเครื่องเศร้าหมองคือกิเลส
เปรียบเหมือนผู้นำทางเพราะช่วยให้ข้ามพ้นหนทางที่กันดาร
คือหลงผิดไปกับการเกิด เปรียบเหมือนหมู่เกวียนเพราะส่งให้ถึงพระนครคือนิพพาน
อันประเสริฐอันไม่มีภัย ไม่มีกิเลสและกองทุกข์เปรียบเหมือนกระจกที่บริสุทธิ์สะอาดเพราะทำให้เห็นความจริงแห่งสังขารทั้งหลายเปรียบเหมือนโล่ห์
เพราะเป็นเครื่องกั้งซึ่งไม้ค้อน ลูกศร
อาวุธ คือกิเลศ เปรียบเหมือนดวงจันทร์เพราะทำให้เกิดความเย็นใจ
เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ เพราะกำจัดความมืดทั้งปวง
ขอถวายพระพร
ธุดงคคุณย่อมมีคุณมากเป็นของทำความเกื้อกูล
ทำความสบาย ทำความรัก ทำความไม่มีโทษ
ทำให้ไปจากบาป เป็นที่ตั้งนำมาซึ่งยศ
นำมาซึ่งสุข มีสุขเป็นผล มีคุณมากมายก่ายกอง
มีพระคุณหาประมาณมิได้เป็นของประเสริฐในที่ทั้งปวง
เป็นเครื่องกำจัดภัย
กำจัดโศก กำจัดทุกข์ กำจัดความกระวนกระวาย
กำจัดความเร่าร้อน กำจัดความไม่ยินดีทางธรรม
กำจัดภพ กำจัดตะปู กำจัดราคะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ กำจัดอกุศลทั้งปวง
ขอถวายพระพร
มนุษย์ทั้งหลายย่อมบริโภคอาหาร เพราะเป็นเครื่องค้ำชูชีวิตย่อมบริโภคยาใช้ยา
เพราะเป็นของเกื้อกูลย่อมคบมิตร เพราะเห็นแก่อุปการคุณ
ย่อมหารือ เพราะมุ่งจะข้าฟาก ย่อมหาดอกไม้ของหอบด้วยต้องการกลิ่นหอม
ย่อมหาเครื่องป้องกันภัยด้วยไม่อยากมีภัย
ย่อมหาแผ่นดินด้วยเห็นว่าเป็นที่อาศัย
ย่อมหาอาจารย์เพราะอยากได้ความรู้
ย่อมหาพระราชาเพราะอยางได้ยศ ย่อมหาแก้วมณี
เพราะอยากได้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวงฉันใด
พระอริยะทั้งหลายก็เป็นประพฤติธุดงคคุณ
ด้วยเห็นว่าเป็นเครื่องให้สำเร็จคุณแห่งสมณะทั้งปวงฉันนั้น
ขอถวายพระพร
อีกอย่างหนึ่ง น้ำเป็นของทำให้พืชงอกงาม
ไฟเป็นของเผา อาหารเป็นของทำให้เกิดกำลัง
เครื่องไม้สำหรับผูกมัดอาวุธสำหรับผ่าตัด
น้ำดื่มสำหรับกำจัดความกระหายน้ำ ขุมทรัพย์ทำให้เกิดความยินดี
เรือสำหรับข้ามฟาก ยาสำหรับแก้โรค
ยานพาหนะสำหรับไปมาให้สบาย
เครื่องป้องกันสำหรับกำจัดภัย พระราชาสำหรับปกครอง
โล่ห์สำหรับป้องกันไม้ค้อน ก้อนดิน ก้อนเหล็ก
ลูกศร อาวุธ อาจารย์สำหรับสั่งสอน มารดาสำหรับเลี้ยง
กระจกสำหรับส่องเครื่องแต่งกายให้สวยงาม
ผ้าสำหรับปกปิด
บันไดสำหรับให้ขึ้นลง
คันชั่งสำรหับชั่งมนต์สำหรับร่าย อาวุธสำหรับป้องกันตัว
ประทีปสำหรับกำจัดความมืด ลมสำหรับดับความร้อน
ศิลปะสำหรับเลี้ยงชีวิต ยาแก้พิษสำหรับประดับ
บ่อสำหรับทำให้เกิดแก้ว แก้วสำหรับประดับ
อาญาสำหรับไม่ให้ล่วงละเมิด ความเป็นใหญ่สำหรับให้มีอำนาจฉันใด
ธุดงคคุณก็ฉันนั้น
คือธุดงคคุณสำหรับเป็นที่งอกแห่งพืชคือคุณแห่งความเป็นสมณะ
สำหรับเผามลทินคือกิเลส ทำให้เกิดกำลังฤทธิ์เป็นเครื่องผูกสติไว้
เป็นเครื่องกำจัดลูกศรคือความสงสัย เป็นเครื่องกำจัดความหิวกระหายคือตัณหา
เป็นเครื่องทำให้เบาใจในการสำเร็จธรรม
เป็นเครื่องข้ามห้วงกิเลสทั้ง ๔
เป็นเครื่องดับโรคคือกิเลส
เป็นเครื่องทำให้ไปสู่ที่มีความสุขคือนิพพาน
เป็นเครื่องดับทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องรักษาสมณคุณ
เป็นเครื่องกำจัดวิตกชั่วร้าย เป็นเครื่องสอนให้ได้สมณคุณ
เป็นเครื่องเลี้ยงสมณคุณ เป็นเครื่องทำให้เป็นสมถะวิปัสสนา
มรรค ผล นิพพาน เป็นที่สรรเสริญแห่งโลกทั้งสิ้น
เป็นเครื่องทำให้เกิดคุณอันใหญ่อันงาม
เป็นเครื่องเปิดเผยอุบายทั้งปวง เป็นที่ขึ้นไปสู่ยอดเขาคือสมณคุณ
เป็นเครื่องชั่งซึ่งความเป็นไปแห่งจิตไม่ให้คดโกง
เป็นเครื่องสาธยายธรรมที่ควรเกี่ยวข้องและไม่ควรเกี่ยวข้อง
เป็นเครื่องปราบศัตรูคือกิเลส เป็นเครื่องกำจัดความมืดคืออวิชชา
เป็นเครื่องดับความเร่าร้อนคือไฟ
๓ กอง เป็นเครื่องให้สำเร็จสมบัติอันสงบละเอียด
เป็นเครื่องให้เกิดการตรัสรู้อริยสัจ
๔ เป็นเครื่องรักษาไว้ซึ่งคุณธรรมทั้งปวง
เป็นที่เกิดแห่งแก้วอันประเสริฐคืออภิญญา
๖ เป็นเครื่องประกอบทำให้เกิดสันติสุขอย่างยิ่ง
ทำให้ไม่ล่วงอริยธรรมไปได้
เป็นอันว่า
ธุดงคคุณอย่างหนึ่ง ๆ ย่อมทำให้ได้คุณเหล่านี้
ธุดงคคุณเป็นของมีคุณชั่งไม่ได้
ประมาณไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนเป็นของประเสริฐสุด
ขอถวายพระพร
บุคคลผู้มักมาก ผู้ลวงโลก ผู้ละโมภ ผู้เห็นแก่ท้อง
ผู้มุ่งลาภยศสรรเสริญ ผู้ไม่ประกอบในทางธรรม
ย่อมไม่สมควรสมาทานธุดงค์ เพราะจะทำให้ได้รับโทษทวีคูณ
ทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป
คือในชาตินี้ก็จะได้รับแต่ความติเตียน
ส่วนในชาติหน้าก็จักไปจมอยู่ในอเวจีนรก
พ้นจากอเวจีนรกมาแล้ว จะมาเกิดเป็นเปรตอีกเหมือนกับผู้ทำผิดต่อพระราชา
ย่อมได้รับพระราชอาชญา มีตัดมือตัดเท้าเป็นต้นฉะนั้น
ส่วนผู้ที่มักน้อยสันโดษ
ชอบสงัดมีความเพียรแรงกล้า ไม่มีความโอ้อวดมารยา
ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่มุ่งลาภยศ
สรรเสริญ เป็นผู้บวชด้วยศรัทธา ปรารถนาจะพ้นจากชรามรณะ
จึงควรสมาทานธุดงค์
เมื่อสมาทานธุดงค์แล้ว
ย่อมได้รับผลทวีคูณ ย่อมเป็นที่รักใคร่พอใจของเทพยดา
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อมั่นอยู่ในธุดงค์แล้วคุณธรรมทั้งหลายก็เจริญขึ้น
แล้วก็ได้สำเร็จโลกุตตรผลนานาประการ เหมือนกับผู้เป็นข้าเฝ้าของพระมหากษัตริย์
ทำให้เป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์แล้ว
ย่อมได้รับพระราชทานสิ่งของต่าง
ๆ ฉะนั้น
ขอถวายพระพร
ผู้ที่กระทำให้บริสุทธิ์ในธุดงคคุณ
๑๓ แล้ว ย่อมได้สำเร็จคุณวิเศษต่าง ๆ เป็นต้นว่า
รูปสมาบัติ ๔ อรูปสมาบัติ ๔ และอภิญญา ๖ อันว่าธุดงคคุณ
๑๓ นั้นได้แก่อะไร...ธุดงค์ ๑๓ ข้อ
๑. ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
๒. ถือทรงเพียรไตรจีวรเป็นวัตร
๓. ถือเที่ยวบิณฑาตเป็นวัตร
๔. ถือเที่ยวบิณฑาตไปตามแถวเป็นวัตร
๕. ถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร
๖. ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร
๗. ถือห้ามภัตอันนำมาถวาย
เมื่อภายหลังเป็นวัตร
๘. ถืออยู่ป่าเป็นวัตร
๙. ถืออยู่โครไม้เป็นวัตร
๑๐. ถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร
๑๑. ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร
๑๒. ถืออยู่ในเสนาสนะอันท่านจัดให้อย่างไรเป็นวัตร
๑๓. ถือการนั่งเป็นวัตร
ผู้ที่ทำให้บริบูรณ์ในธุดงคคุณ
๑๓ นั้นแล้ว ย่อมได้สามัญคุณทั้งปวง เปรียบเหมือนพ่อค้าเรือผู้มีทรัพย์
ไปค้าขายได้กำไรงามฉะนั้นหรือเปรียบเหมือนชาวนาทำนาได้ข้าวมากเปรียบเหมือนกษัตริย์
ได้เป็นใหญ่ในปฐพีฉะนั้น
ขอถวายพระพร
พระอุปเสนเถระ ผู้เป็นบุตรแห่งวังคันตพราหมณ์
ได้ทำให้บริบูรณ์ในธุดงคคุณ ได้รับสรรเสริญจากพระพุทธองค์ในที่ประชุมชน
ขอถวายพระพร
ดอกปทุมอันเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย
ย่อมประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ คือเป็นของอ่อนนุ่ม
๑ สวยงาม ๑ มีกลิ่นหอม ๑ น่ารัก ๑ น่าต้องการ
๑ น่าสรรเสริญ ๑ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำและตม
๑ ประดับไปด้วยใบอ่อนเกษรและกลีบ ๑ เป็นที่ประชุมแห่งแมลงผึ้งแมลงภู่
๑ เจริญอยู่ในน้ำอันเย็น๑
ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
ธุดงคคุณก็ประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการฉันนั้น
คือ อ่อนสนิท ๑ สวยงาม ๑ มีกลิ่นหอม ๑ น่ารัก ๑
น่าต้องการ ๑ น่าสรรเสริญ ๑ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำและโคลนเลน
๑ ประดับด้วยใบเกษรและก้าน ๑ เป็นที่เกาะเกี่ยวแห่งหมู่แมลงผึ้ง
๑ เกิดขึ้นในน้ำอันเย็น ๑คุณอันประเสริฐ
๓๐ ของผู้บำเพ็ญธุดงค์
ขอถวายพระพร
อริยสาวกย่อมประกอบด้วยคุณอันประเสริฐ
๓๐ ด้วยธุดงค์ ๑๓ อันตนได้บำเพ็ญแล้วในชาติก่อน
คุณอันประเสริฐ ๓๐ นั้น ได้แก่อะไร...ได้แก่
๑. มีจิตเมตตา
อ่อนโยน เยือกเย็น
๒. ฆ่ากิเลส
กำจัดกเลส
๓. ฆ่ามานะทิฏฐิ
กำจัดมานะทิฏฐิ
๔. มีศรัทธาตั้งมั่น
๕. ได้ความร่าเริงดีใจง่าย
๖. ได้สมาบัติอันเป็นสุขอย่างสงบแน่นอน
๗. อบรมด้วยกลิ่นหอมคือศีล
๘. เป็นที่รักของเทวดามนุษย์ทั้งหลาย
๙. ได้กำลังแห่งพระขีณาสพ
๑๐. เป็นที่ปรารถนาของพระอริยบุคคล
๑๑. เป็นที่สรรเสริญและเป็นที่เชยชม
แห่งเทวดามนุษย์ทั้งหลาย
๑๒. เป็นที่กราบไหว้บูชาของพวกอสูร
๑๓. เป็นที่สรรเสริญของมารทั้งหลาย
๑๔. เป็นผู้ไม่ติดอยู่ในโลก
๑๕. เป็นผู้เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย
๑๖. เป็นผู้สำเร็จประโยชน์อันประเสริฐ
คือมรรคผล
๑๗. เป็นผู้มีส่วนแห่งปัจจัยอันไพบูลย์ประณีต
๑๘. เป็นผู้ไม่ห่วงใยในที่อยู่ที่นอน
๑๙. เป็นผู้อยู่ด้วยฌานอันประเสริฐ
๒๐. เป็นผู้ตัดวัตถุแห่งกิเลสให้ขาดสูญ
๒๑. มั่นอยู่ในธรรมอันไม่รู้จักกำเริบ
๒๒. มีการบริโภคสิ่งไม่มีโทษ
๒๓. เป็นผู้หลุดพ้นจากคติ
คือภพที่จะถือกำเนิดอีก
๒๔. เป็นผู้ข้ามความสงสัยทั้งปวงได้
๒๕. เป็นผู้เพ่งต่อวิมุตติ
คือความหลุดพ้น
๒๖. เป็นผู้เข้าถึงซึ่งเครื่องป้องกันภัย
อันไม่หวั่นไหว
๒๗. เป็นผู้ตัดอนุสัย
คือกิเลสละเอียดเสียได้
๒๘. เป็นผู้ถึงความสิ้นอาสวะทั้งปวง
๒๙. เป็นผู้ได้ซึ่งสุขสมาบัติอันสงบ
๓๐. เป็นผู้ประกอบด้วยสมณคุณ
คือคุณแห่งสมณะขอถวายพระพร พระสารีบุตรเถระ
ผู้ลำเลิศในหมื่นโลกธาตุ ยกองค์สมเด็จพระบรมโบกนาถเสียแล้ว
ไม่มีใครเสมอเหมือนก็เพราะได้อบรมในธุดงคคุณ
๑๓ มาตลอดอสงไขย หาประมาณมิได้ ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า
เป็นผู้ใช้พระธรรมจักรอันเยี่ยม
ตามเยี่ยงอย่างพระพุทธองค์ได้
จึงเป็นอันว่า
ธุดงคคุณ ให้ซึ่งคุณหาที่สุดมิได้อย่างนี้แล
ขอถวายพระพร
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า
ข้าแต่พระนาคเสน
เป็นอันว่า พระพุทธวจนะทั้งสิ้น ที่ได้สำเร็จคุณวิเศษทั้งหลายย่อมรวมลงใน
ธุดงคคุณ ๑๓ ทั้งนั้น ข้อนี้เป็นอันโยมเข้าใจดีแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าอธิบาย
พระอุปเสนเถระ
ท่านเป็นผู้ปฏิบัติขัดเกลาด้วยธุดงคคุณ
ท่านได้เดินทางไปกรุงสาวัตถี มิได้เอื้อเฟื้ออาลัยในข้อกติกา
ของพระสงฆ์ทั้งหลาย พาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของตนเข้าไปสู่สำนักของพระผู้มีพระภาค
ในเวลาเสด็จเข้าที่เร้นอันสงัด ถวายนมัสการโดยเคารพแล้ว
ก็นั่งอยู่ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ส่วนว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาทอดพระเนตรดูผู้เป็นศิษย์ของพระอุปเสนนั้นมีกิริยาพาทีเป็นแบบเดียวพิมพ์เดียวกัน
ก็มีพระหฤทัยหรรษา จึงตรัสสนทนาปราศรัยด้วยกับศิษย์ของพระอุปเสนนั้น
แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
ดูก่อนอุปเสนะ
ศิษย์ของเธอเหล่านี้ดูจริยามารยาทเป็นพิมพ์เดียวกัน
ศิษย์ของเธอนั้น สั่งสอนกันด้วยอุบายประการใด
?
พระอุปเสนจึงทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเข้ามาสู่สำนักของข้าพระองค์แล้ว
ขอบรรพชาก็ดี ขอนิสสัยก็ดี ข้าพระองค์จึงว่ารูปนี้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร
ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
ถ้าแม้ท่านถือได้อย่างนี้
จึงจะบวชให้และจะให้นิสสัย ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่บวชให้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์ของข้าพระองค์
จึงพร้อมกันปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกัน
พระพุทธเจ้าข้า ดังน ี้จบวรรคที่ ๙จบ
เมณฑกปัญหา***อุปมาปัญหาว่าด้วยอุปมาต่าง
ๆ
ข้าแต่พระนาคเสน
ภิกษุประกอบด้วยองค์เท่าไร จึงสำเร็จพระอรหันต์ได้?
ขอถวายพระพร
ภิกษุผู้มุ่งจะสำเร็จพระอรหันต์ ควรถือเอาองค์
๑ แห่งลา องค์ ๕ แห่งไก่ องค์ ๑๐ แห่งกระแต องค์ ๑ แห่งแม่เสือเหลือง
องค์ ๒ แห่งพ่อเสือเหลือง องค์ ๕ แห่งเต่า องค์ ๑ แห่งไม่ไผ่
องค์ ๒ แห่งกา องค์ ๒ แห่งวานร ( นี้เป็น วรรคที่ ๑ )
( วรรคที่
๒ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งเครือน้ำเต้า องค์
๓ แห่งดอกปทุม องค์ ๒ แห่งพัด องค์ ๑ แห่งไม้ขานาง
องค์ ๓ แห่งเรือ องค์ ๒ แห่งเครื่องขัดข้องเรือ
องค์ ๑ แห่งเสากระโดง องค์ ๓ แห่งนายท้ายเรือ องค์
๑ แห่งกรรมกร องค์ ๕ แห่งทะเล
( วรรคที่
๓ ) ควรถือเอาองค์ ๕ แห่งปฐพี องค์ ๕ แห่งแม่น้ำ
องค์ ๕ แห่งไฟ องค์ ๕ แห่งพายุ องค์ ๕ แห่งบรรพต องค์ ๕ แห่งอากาศ
องค์ ๕ แห่งพระจันทร์ องค์ ๕ แห่งพระอาทิตย์ องค์ ๓ แห่งท้าวสักกะ
องค์ ๕ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
( วรรคที่
๔ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งปลวก องค์ ๒ แห่งแมว องค์
๑ แห่งหนู องค์ ๑ แห่งแมงป่อง องค์ ๑ แห่งพังพอน องค์
๒ แห่งสุนัขจิ้งจอก องค์ ๓ แห่งเนื้อในป่า องค์
๔ แห่งโค องค์ ๒ แห่งหมู องค์ ๕ แห่งช้าง
( วรรคที่
๕ ) ควรถือเอาองค์ ๗ แห่งราชสีห์ องค์ ๓ แห่งนกจากพราก
องค์ ๒ แห่งนกเงือก องค์ ๑ แห่งนกกระจอก องค์ ๒ แห่งนกเค้า
องค์ ๒ แห่งตะขาบ องค์ ๒ แห่งค้างคาว องค์ ๑ แห่งปลิง องค์
๓ แห่งงู องค์ ๑ แห่งงูเหลือม
( วรรคที่
๖ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งแมงมุม องค์ ๑ แห่งเด็กออ่น
องค์ ๑ แห่งเต่าเหลือง องค์ ๕ แห่งป่า องค์ ๓ แห่งต้นไม้
องค์ ๕ แห่งเมฆ องค์ ๓ แห่งแก้วมณี องค์ ๔ แห่งนายพราน
องค์ ๒ แห่งพรานเบ็ด องค์ ๒ แห่งช่างไม้
( วรรคที่
๗ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งช่างหม้อ องค์ ๒ แห่งกาลักน้ำ
องค์ ๓ แห่งฉัตร องค์ ๓ แห่งนา องค์ ๒ แห่งยาดับพิษงู
องค์ ๓ แห่งโภชนะ องค์ ๔ แห่งนายขมังธนู องค์ ๔ แห่งพระราชา
องค์ ๒ แห่งนายประตู องค์ ๑ แห่งหินบด
( วรรคที่
๘ ) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งประทีป องค์ ๒ แห่งนกยูง
องค์ ๒ แห่งโคอุสุภราช องค์ ๒ แห่งม้า องค์ ๒ แห่งบ่อน้ำ
องค์ ๒ แห่งเขื่อน องค์ ๒ แห่งคันชั่ง องค์ ๒ แห่งพระขรรค์
องค์ ๒ แห่งชาวประมง องค์ ๑ แห่งกู้หนี้
( วรรคที่
๙ ) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งคนเจ็บป่วย องค์ ๒
แห่งหนทาง องค์ ๒ แห่งแม่น้ำ องค์ ๑ แห่งมหรสพ องค์
๓ แห่งบาตร องค์ ๑ แห่งของเสวย องค์ ๓ แห่งโจร องค์ ๑
แห่งเหยี่ยวนกเขา องค์ ๑ แห่งสุนัข องค์ ๓ แห่งคนรักษาโรค
องค์ ๒ แห่งหญิงมีครรภ์
( วรรคที่
๑๐ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งนกจามรี องค์ ๒ แห่งนกกระต้อยตีวิด
องค์ ๒ แห่งนกพิราบ องค์ ๒ แหงนกตาข้างเดียว
องค์ ๓ แห่งคนไถนา องค์ ๑ แห่งสุนัขจิ้งจอกชัมพุกะ
องค์ ๒ แห่งผ้ากรองด่าง องค์ ๑ แห่งทัพพี องค์ ๓ แห่งคนใช้หนี้แล้ว
องค์ ๑ แห่งอวิจีนิกะ
( วรรคที่
๑๑ ) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งนายสารถี องค์ ๑ แห่งช่างหูก
องค์ ๑ แห่งมัตถยิกะ องค์ ๒ แห่งโภชนกะ องค์ ๑ แห่งช่างชุน
องค์ ๑ แห่งนายเรือ องค์ ๒ แห่งแมลงภู่
โฆรสวรรคที่
๑อุปมาองค์ ๑ แห่งลา
ข้าแต่พระนาคเสน
ที่ว่าควรถือองค์ ๑ แห่งลานั้น หมายความว่า
องค์หนึ่งแห่งลานั้นได้แก่อะไร ?
ขอถวาบพระพร
ธรรมดาว่า ลา นั้น ไม่เลือกที่นอน นอนบนกองหยากเยื่อก็มี
ที่ทาง ๔ แพร่งก็มี ๓ แพร่งก็มี ที่ประตูบ้านก็มี
ที่กองแกลบก็มีฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่เลือกที่นอนฉันนั้น
ปูแผ่นหนังลงไป ในที่ปูด้วยหญ้าหรือใบไม้
หรือเตียงไม้ หรือแผ่นดินแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วก็นอนฉันนั้น
ข้อนี้สมกับที่มีพระพุทธดำรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลายในบัดนี้
ทำกายเหมือนท่อนไม้ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร
ส่วน พระสารีบุตรเถระ
ได้กล่าวไว้ว่า
การนั่งคู้บัลลังก์
คือนั่งขัดสมาธิก็พออยู่สบาย สำหรับภิกษุผู้มุ่งต่อพระนิพพาน
ดังนี้ขอถวายพระพรอุปมาองค์ ๕ แห่งไก่
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๕ แห่งไก่นั้นได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ไก่ ย่อมอยู่ในที่สงัดแต่ในเวลายังวันฉันใด
พระโยคาวจรก็กวาดลานพระเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้
อาบน้ำชำระกาย ไหว้พระเจดีย์แต่ในเวลายังวัน
แล้วไปหาอยู่ในที่สงัดแต่ในเวลายังวันฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์แรกแห่งไก่
ธรรมดาไก่ย่อมตื่นแต่เช้าฉันใด
พระโยคาวจรก็ตื่นแต่เช้าฉันนั้น
แล้วลงไปปัดกวาดลานพระเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้
ชำระร่างกายดีแล้ว ก็กราบไหว้พระเจดีย์แล้ว
จึงเข้าไปสู่ที่สงัดอีก อันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งไก่
ธรรมดาไก่ย่อมคุ้ยเขี่ยพื้นดินหากินอาหารฉันใด
พระโยคาวจรก็พิจารณาแล้วจึงฉันอาหารไม่ฉันเพื่อให้เกิดความคะนอง
ความมัวเมาความสวยงามแห่งร่างกาย
ฉันเพียงให้กายนี้อยู่ได้ เพื่อจะได้ประพฤติพรหมจรรย์ต่อไปและเพื่อบรรเทาเวทนาเก่า
กำจัดเวทนาใหม่เท่านั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๓ แห่งไก่
ข้อนี้สมกับสมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ว่า
บุคคลกินเนื้อแห่งบุตรในทางกันดารได้ด้วยความลำบากใจ
กินพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันใด
หรือบุคคลเติมน้ำมันหยอดเพลาพอให้รถแล่นไปได้ฉันใด
พระโยคาวจรก็ฉันอาหารพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันนั้น
ธรรมดาไก่ถึงมีตา
ก็เหมือนตาบอดในเวลากลางคืนฉันใด
พระโยคาวจรถึงตาไม่บอดก็ควรเป็นเหมือนตาบอดฉันนั้น
ทั้งในเวลาอยู่ในป่าหรือเที่ยวบิณฑบาตในบ้าน
พระโยคาวจรควรเป็นเหมือนคนตาบอด
คนหูหนวก คนใบ้ ต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ อันน่ายินดี อันนี้เป็นองค์ที่
๔ แห่งไก่
ข้อนี้สมกับถ้อยคำของ
พระมหากัจจายนเถระ กล่าวไว้ว่า
พระโยคาวจรควรเป็นเหมือนคนตาบอด
คนหูนวก คนใบ้ คนไม่มีกำลัง เมื่อเกิดเรื่องขึ้น
ควรนอนเหมือนคนตาย ดังนี้
ธรรมดาไก่ถึงถูกไล่ตีด้วยก้อนดิน
ไม้ค้อนหรือถูกตีด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม
ก็ไม่ทิ้งที่อยู่ของตนฉันใด พระโยคาวจรถึงจะทำจีวรกรรมคือการทำจีวร
หรือนวกรรม คือการก่อสร้าง การเรียน การถาม
ก็ไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการคือตั้งใจไว้ด้วยอุบายอันชอบฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ ๕ แห่งไก่
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
อะไรเป็นโคจรของภิกษุ
เป็นวิสัยบิดาของตน อันนี้คือสติปัฏฐาน
๔ ดังนี้
ถึง พระสารีบุตรเถระ
ก็ได้กล่าวไว้ว่า
ไก่ย่อมไม่ทิ้งเล้าไก่ของตน
ย่อมรู้จักสิ่งที่ควรกินไม่ควรกิน
พอใช้ชีวิตเป็นไปได้ฉันใด พระพุทธบุตรก็ไม่ควรประมาทไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการอันประเสริฐฉันนั้น
ดังนี้
ขอถวายพระพร