ตอนที่
๓๕
องค์ ๕ แห่งอากาศ
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๕ แห่งอากาศได้แก่สิ่งใด?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา อากาศ ไม่มีใครจับถือเอาได้ฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้กิเลสยึดถือฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งอากาศ
ธรรมดาอากาศ
ย่อมเป็นที่เที่ยวไปแห่ง ฤาษี ดาบส ภูต สัตว์มีปีก
ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้ใจสัญจรไปในสังขารทั้งหลายว่าเป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งอากาศ
ธรรมดาอากาศ
ย่อมเป็นที่เกิดแห่งความสะดุ้งกลัวฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรทำให้ใจสะดุ้งกลัวต่อการเกิดในภพทั้งปวงฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งอากาศ
ธรรมดาอากาศ
ย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีสีลาจาวัตร
ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีปริมาณฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งอากาศ
ธรรมดาอากาศ
ย่อมไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ตั้ง ไม่พัวพันอยู่ในสิ่งใดฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรข้อง ไม่ควรติด
ไม่ควรตั้งอยู่ ไม่ควรผูกพันอยู่ในตระกูล
หมู่คณะ ลาภ อาวาส เครื่องกังวล ปัจจัย และกิเลศทั้งปวงฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งอากาศ
ข้อนี้สมกับที่ทรงสอน
พระราหุล ไว้ว่า
ดูก่อนราหุล
อากาศย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใดได้ฉันใด
เธอจงอบรมจิตใจให้เสมอกับอากาศฉันนั้น
เพราะเมื่อเธออบรมจิตใจให้เสมอกับอากาศได้แล้ว
อารมณ์ที่มากระทบอันเป็นที่พอใจและไม่พอใจ
ย่อมไม่ครอบงำจิตใจได้ ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๕ แห่งดวงจันทร์
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๕ แห่งดวงจันทร์ได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ดวงจันทร์ ย่อมขึ้นในเวลาข้างขึ้น
แล้วเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้เจริญยิ่ง
ๆ ขึ้นในอาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ
อาคม (พระปริยัติธรรม ) อธิคม ( มรรคผล ) ความสงัด ความสำรวมอินทรีย์
ความรู้จักประมาณในโภชนะ ความเพียรฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งพระจันทร์
ธรรมดาพระจันทร์
ย่อมเป็นอธิบดียิ่งอย่างหนึ่งฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีฉันทาธิบดีอันยิ่งฉันนั้นอันนี้จัดเป็นองค์ที่
๒ แห่งพระจันทร์
ธรรมดาพระจันทร์
ย่อมเที่ยวไปในกลางคืนฉันใด พระโยคาวรก็ควรเที่ยวไปด้วยวิเวกฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที ๓ แห่งพระจันทร์
ธรรมดาพระจันทร์
ย่อมมีวิมานเป็นธงชัยฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีศีลเป็นธงชัยฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งพระจันทร์
ธรรมดาพระจันทร์
ย่อมมีผู้อยากให้ตั้งขึ้นมาฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรเข้าไปสู่ตระกูล
ด้วยมีผู้นิมนต์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๕ แห่งพระจันทร์ ข้อนี้สมกับประพันธ์พุทธภาษิตใน
สังยุตตนิกาย ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเข้าไปสู่ตระกูล ด้วยอาการเหมือนดวงจันทร์
อย่าทำกายใจให้คดงอในตระกูล อย่าคะนองกายใจในตระกูล
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๗ แห่งดวงอาทิตย์
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๗ แห่งดวงอาทิตย์ได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ดวงอาทิตย์ ย่อมทำพืชทั้งปวงให้เหี่ยวแห้งฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรทำกิเลศทั้งปวงให้แห้งฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งดวงอาทิตย์
ธรรมดาดวงอาทิตย์
ย่อมกำจัดมืดฉันใด พระโยคาวจรก็ควรกำจัดความมืดทั้งปวง
คือราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งดวงอาทิตย์
ธรรมดาดวงอาทิตย์
ย่อมเที่ยวไปเนือง ๆ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรกระทำโยนิโสมนสิการเนือง
ๆ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งดวงอาทิตย์
ธรรมดาดวงอาทิตย์
ย่อมมีรัศมีเป็นมาลา ( ระเบียบ ) ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีรัศมีคืออารมณ์เป็นมาลาฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งดวงอาทิตย์
ธรรมดาดวงอาทิตย์
ย่อมทำให้หมู่มหาชนร้อนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้โลกนี้กับทั้งเทวโลกร้อนด้วยอาจารคุณ
ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ ณาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ อินทรีย์
พละ โพชฌงค์ สติปัณฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อันนี้เป็นองค์ที่
๕ แห่งดวงอาทิตย์
ธรรมดาดวงอาทิตย์
ย่อมกลัวภัย คือราหูฉันใด พระโยคาวจรได้เห็นบุคคลทั้งหลายที่รกรุงรังไปด้วยทุจริต
และทุคติ สวมด้วยเครื่องขนานคือทิฏฐิ เดินไปผิดทาง
ก็ควรทำให้ใจสลดด้วยความกลัวสังเวช
อันนี้เป็นองค์ที่ ๖ แห่งดวงอาทิตย์
ธรรมดาดวงอาทิตย์
ย่อมทำให้เห็นของดีของเลวฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรทำตนให้เห็น
โลกิยธรรม โลกุตตรธรรม ด้วยอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สติปัฏฐาน
สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๗ แห่งดวงอาทิตย์
ข้อนี้สมกับคำของ
พระวังคีสเถระ ว่า
เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งขึ้น
ย่อมทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ทั้งสะอาดไม่สะอาด
ดีเลว ฉันใด พระภิกษุผู้ทรงธรรม ก็ทำให้หมู่ชนอันถูกอวิชชาปกปิดไว้
ให้ได้เห็นทางธรรมต่าง ๆ เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ตั้งขึ้นมาฉันนั้น
ดังนี้ขอถวายพระพร
องค์ ๓ แห่งท้าวสักกะ
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๓ แห่งท้าวสักกะได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ท้าวสักกะ ย่อมเพียบพร้อมด้วยสุขอย่างเดียวฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรยินดีในสุข
อันเกิดจากวิเวกอย่างเยี่ยมฝ่ายเดียวกันฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งท้าวสักกะ
ธรรมดาท้าวสักกะ
ผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย ได้เห็นเทพยเจ้าทั้งหลายแล้วก็ทำให้เกิดความร่าเริงฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรทำใจให้เกิดความร่าเริงไม่หดหู่
ไม่เกียจคร้านในกุศลธรรมทั้งหลายฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งท้าวสักกะ
ธรรมดาท้าวสักกะ
ย่อมไม่เกิดความเบื่อหน่าย ไม่เกิดความรำคาญฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้เกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งที่สงัดฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งท้าวสักกะ
ข้อนี้สมกับคำของ
พระสุภูติเถระ ว่า
ข้าแต่มหาวีรเจ้า
นับแต่ข้าพระองค์ได้บรรพชาในศาสนาของพระองค์
ย่อมไม่รู้สึกว่า มีสัญญาสักอย่างเดียว
อันเกี่ยวกับกามารมณ์เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์เลย
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๔ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๔ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา พระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมทรงสงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ
๔ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรสงเคราะห์ ควรประคอง
ควรอนุเคราะห์ ควรทำให้ร่าเริงแก่บริษัท
๔ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
ธรรมดาในแว่นแคว้นพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่มีโจรผู้ร้ายฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้มีโจรผู้ร้าย
คือกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ฉันนั้น ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
ผู้ใดยินดีในการระงับวิตก
อบรมอสุภะ มีสติทุกเมื่อ ผู้นั้นจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้จะตัดเครื่องผูกแห่งมารได้
ดังนี้
ธรรมดาพระเจ้าจักรพรรดิ
ย่อมเสด็จเสียบโลก เพื่อทรงพิจารณาดูคนดีคนเลวทุกวันฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรพิจารณา กายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม ทุกวันแล้วทำให้บริสุทธิ์ ด้วยคิดว่า
วันคืนของเราผู้ไม่ข้องอยู่ด้วยฐานะทั้ง
๓ นี้ ได้ล่วงเลยไปแล้วอย่างไร อันนี้เป็นองค์ที่
๓ ของพระเจ้าจักรพรรดิ
ข้อนี้
สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์ อังคุตตรนิกาย
ว่า
บรรพชิตควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่าวันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
ดังนี้
ธรรมดาพระเจ้าจักรพรรดิ
ย่อมทรงจัดการรักษาให้ดี ทั้งภายในภายนอกฉันใดพระโยคาวจรก็ควรตั้งนายประตู
คือสติให้รักษากิเลสทั้งภายในภายนอกฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้มีนายประตู คือสติ ย่อมละอกุศล
อบรมกุศลละสิ่งที่มีโทษ อบรมสิ่งที่ไม่มีโทษ
รักษาตนให้บริสุทธิ์ ดังนี้ ขอถวายพระพร
จบจักกวัตติวรรคที่
๓
กุญชรวรรคที่
๔
องค์ ๑ แห่งปลวก
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๑ แห่งปลวกได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ปลวก ย่อมทำหลังคาปิดตัวเองแล้วอาศัยอยู่ฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรทำหลังคา คือศีลสังวรปิดใจของตนอยู่ฉันนั้น
เพราะเมื่อปิดใจของตนด้วยศีลสังวรแล้ว
ย่อมล่วงพ้นภัยทั้งปวงได้ อันนี้เป็นองค์
๑ แห่งปลวก
ข้อนี้สมกับคำของ
พระอุปเสนเถระ ว่า
พระโยคีกระทำเครื่องมุงใจ
คือศีลสังวรแล้ว ไม่ติดอยู่ในอะไร ย่อมพ้นจาภัยได้
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๒ แห่งแมว
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๒ แห่งแมวได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา แมว เวลาไปที่ถ่ำหรือที่ซอก ที่รู
ที่โพรง ที่ระหว่างถ้ำก็ดีก็แสวงหาแต่หนูฉันใด
พระโยคาวจรผู้ไปอยู่ที่บ้าน
ที่ป่า หรือที่โค่นต้นไม้ ที่แจ้ง ที่ว่างบ้านเรือน
ก็ไม่ควรประมาท ควรแสวงหาโภชนะ คือกายคตาสติ
ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งแมว
ธรรมดาแมว
ย่อมแสวงหาอาหารในที่ใกล้ ๆ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรพิจารณาขันธ์
๕ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีความตั้งขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
ไม่ต้องกล่าวไปให้ไกลแต่นี้นัก
ภวัคคพรหม ( พรหมชั้นสูงสุด) จักทำอะไรได้ควรเบื่อหน่ายเฉพาะในกายของตน
อันมีอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๑ แห่งหนู
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๑ แห่งหนูได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา หนู ย่อมเที่ยวหาอาหารข้างโน้นข้างนี้ฉันใด
พระโยคาวจรเมื่อเที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้
ก็ควรแสวงหาโยนิโสมนสิการฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งหนู
ข้อนี้สมกับคำของ
พระอุปเสนเถระ ว่า
ผู้แสวงหาธรรม
ผู้เห็นธรรมต่าง ๆ ผู้ไม่ย่อท้อ ผู้สงบ
ย่อมมีสติอยู่อยู่ทุกเมื่อ ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๑ แห่งแมงป่อง
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๑ แห่งแมงป่อง ได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา แมงป่อง ย่อมมีหางเป็นอาวุธ ย่อมชูหางของตนเที่ยวไปฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรมีญาณเป็นอาวุธ
ควรชูญาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งแมงป่อง
ข้อนี้สมกับคำของ
พระอุปเสนเถระ ว่า
ภิกษุผู้ถือเอาพระขรรค์
คือญาณ ผู้เห็นธรรมด้วยอาการต่าง ๆ ย่อมพ้นจากภัยทั้งปวง
ภิกษุนั้นย่อมอดทนสิ่งที่ทนได้ยากในโลก
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๑ แห่งพังพอน
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๑ แห่งพังพอนี้ได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา พังพอน เมื่อจะไปสู้กับงู ย่อมมอมตัวด้วยยาเสียก่อนจึงเข้าไปใกล้งู
เพื่อจะสู้กับงูฉันใด พระโยคาวจรเมื่อจะเข้าไปใกล็โลก
อันมากไปด้วยความบาดหมาง ความทะเลาวิวาท
ก็ทาอวัยวะด้วยยา คือ เมตตาเสียก่อน จึงจะให้โลกทั้งปวงดับความเร่าร้อนได้ฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งพังพอน
ข้อนี้สมกับคำของ
พระสารีบุตรเถระ ว่า
พระภิกษุควรมีเมตตาแก่ตนและผู้อื่นควรแผ่จิตเมตตาไป
อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอก
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอกได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา สุนัขจิ้งจอก ได้โภชนะแล้วย่อมไม่เกลียดชัง
ย่อมกินพอความประสงค์ฉันใด พระโยคาจรได้โภชนะแล้ว
ก็ไม่ควรเกลียดชัง ไม่ว่าชนิดไหนควรฉันพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งสุนัขจิ้งจอก
ข้อนี้สมกับคำของ
พระมหากัสสปเถระ ว่า
เวลาเราออกจากเสนาสนะเข้าไปบิณฑบาตถึงบุรุษโรคเรื้อนที่กำลังกินข้าวอยู่
กำเอาคำข้าวด้วยมือเป็นโรคเรื้อนมาใส่บาตรให้เรา
เราก็นำไปฉัน ไม่เกลียดชังอย่างไร
ดังนี้
ธรรมดาสุนัขจิ้งจอกได้โภชนะแล้ว
ย่อมไม่เลือกว่าเลวดีอย่างไรฉันใด
พระโยคาวจรได้โภชนะแล้ว ก็ไม่เลือกว่าเลวดี
ยินดีตามที่ได้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งสุนัขจิ้งจอก
ข้อนี้สมกับคำของ
พระอุปเสนเถระ ว่า
บุคคลควรยินดีแม้ด้วยของเลว
ไม่ควรปรารถนาอย่างอื่น ใจของผู้ข้องอยู่ในรสทั้งหลาย
ย่อมไม่ยินดีในฌาน ความสันโดษตามมีตามได้
ย่อมทำให้เป็นสมณะบริบูรณ์ ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๓ แห่งเนื้อในป่า
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ที่ ๓ แห่งเนื้อในป่าได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา เนื้อในป่า ย่อมเที่ยวไปในป่า
ในเวลากลางคืน ในที่แจ้งฉันใด พระโยคาวจรก็ควรอยู่ในป่าในเวลากลางวัน
ส่วนในเวลากลางคืนควรอยู่ในที่แจ้งอันนี้เป็นองค์ที่
๑ แห่งเนื้อในป่า
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
ดูก่อนสารีบุตร
เราย่อมอยู่ในที่แจ้งเวลากลางคืนหน้าหนาว
ส่วนกลางวันอยู่ในป่า สำหรับเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน
เวลากลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง เวลากลางคืนเราอยู่ในป่า
ธรรมดาเนื้อในป่า
ย่อมรู้จักหลบหลีกลูกศรฉันใด พระโยคาวจรก็ควรรู้จักหลบหลีกกิเลสฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเนื้อในป่า
ธรรมดาเนื้อในป่า
ได้เห็นมนุษย์แล้วย่อมวิ่งหนี ด้วยคิดว่าอย่าให้มนุษย์ได้เห็นเราฉันใด
พระโยคาวจรได้เห็นพวกทุศีล พวกเกียจคร้าน
พวกยินดีในหมู่คณะ ก็ควรหนีไปด้วยคิดว่า
อย่าให้พวกนี้ได้เห็นเรา อย่าให้เราได้เห็นพวกนี้
อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งเนื้อในป่า
ข้อนี้สมกับคำอัน
พระสารีบุตรเถระ กล่าวไว้ว่า
เรานึกว่าคนมีความต้องการในทางลามก
คนเกียจคร้าน คนท้อถอย คนสดับน้อย คนประพฤติไม่ดี
คนไม่สงบ อย่าได้พบเห็นเราเลย ดังนี้
ขอถวายพระพร
องค์ ๔ แห่งโค
ข้อแต่พระนาคเสน
องค์ ๔ แห่งโคได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา โค ย่อมไม่ทิ้งคอกของตนฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรทิ้งโอกาสของตนฉันนั้น
คือไม่ควรทิ้งซึ่งการนึกว่า กายนี้มีการขัดสีอบรมอยู่เป็นนิจมีการแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งโค
ธรรมดาโคย่อมถือเอาแอก
ย่อมนำแอกไปด้วยความสุขและความทุกข์ฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต
ด้วยการสู้สุขสู้ทุกข์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งโค
ธรรมดาโคย่อมเต็มใจดื่มน้ำฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรเต็มใจฟังคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งโค
ธรรมดาโคเมื่อเจ้าของฝึกหัดให้ทำอย่างไรย่อมทำตามทุกอย่างฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรยินดีรับคำสอนของภิกษุด้วยกัน
หรือของอุบาสกชาวบ้านฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๔ แห่งโค
ข้อนี้สมกับคำของ
พระสารีบุตรเถระ ว่า
ถึงผู้บวชในวันนั้นมีอายุเพียง
๗ ขวบสอนเราก็ตาม เราก็ยินดีรับคำสอน
เราได้เห็นผู้นั้น ก็ปลูกความพอใจ
ความรักอย่างแรงกล้า ยินดีนอบน้อมว่าเป็นอาจารย์แล้วแสดงความเคารพเนือง
ๆ ดังนี้
องค์ ๒ แห่งสุกร
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๒ แห่งสุกรได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา สุกร ย่อมชอบนอนแช่น้ำในฤดูร้อนฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรอบรมเมตตาภาวนาอันเย็นดี
ในเวลาจิตเร่าร้อนตื่นเต้นฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งสุกร
ธรรมดาสุกรย่อมขุดดินด้วยจมูกของตน
ทำให้เป็นรางน้ำในที่มีน้ำ แล้วนอนแช่อยู่ในรางฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรพิจารณากายไว้แล้วฝังอารมณ์ให้นอนอยู่ภายในใจฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งสุกร ข้อนี้สมกับคำของ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ
ว่า
ภิกษุผู้เล็งเห็นสภาพแห่งกายแล้ว
ควรหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว
แล้วนอนอยู่ในภายในอารมณ์ ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๕ แห่งช้าง
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๕ แห่งช้างได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ช้าง เมื่อเที่ยวไป ย่อมเอาเท้ากระชุ่นดินฉันใด
พระโยคาวจรผู้พิจารณากาย ก็ควรทำลายกิเลสทั้งปวงฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งช้าง
ธรรมดาช้าง
ย่อมแลไปตรง ๆ ไม่แลดูทิศโน้นทิศนี้ฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรเหลียวดูทิศโน้นทิศนี้
ไม่ควรแหวนดูก้มดูควรดูเพียงชั่วระยะแอกฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งช้าง
ธรรมดาช้าง
ย่อมไม่นอนประจำอยู่ในที่แห่งเดียว
เที่ยวหากินในที่ใด ไม่พักนอนในที่นั้นฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรนอนประจำคือไม่ควรห่วงใยในที่เที่ยวบิณฑบาติ
ถ้าได้เห็นที่ชอบใจ คือปะรำ หรือโคนต้นไม้
หรือถ้ำ หรือเงื้อมเขา ก็ควรเข้าพักอยู่ในที่นั้น
แล้วไม่ควรห่วงใยในที่นั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๓ แห่งช้าง
ธรรมดาช้าง
เวลาลงน้ำย่อมเล่นน้ำตามสบายฉันใด
พระโยคาวจรเวลาลงสู่สระดบกขรณี คือมหาสติปัฏฐาน
อันเต็มเปี่ยมด้วยน้ำอันประเสริฐ คือพระธรรมอันเย็นใสอันดาษไปด้วยดอกไม้
คือวิมุตติ ก็ควรเล่นอยู่ด้วยการพิจารณาสังขาร
อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งช้าง
ธรรมดาช้าง
ย่อมมีสติทุกเวลายกเท้าขึ้นวางเท้าลงฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรมีสติสัมปชัญญะทุกเวลายกเท้าขึ้นวางเท้าลงทุกเวลาเดินไปมา
คู้เหยียด แลเหลียว ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่
๕ แห่งช้าง
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์
สังยุตตนิกาย ว่า
การสำรวมกาย
วาจา ใจ เป็นของดี การระวังในสิ่งทั้งปวงเป็นของดี
ผู้ระวังในสิ่งทั้งปวง ผู้มีความละอาย
เรียกว่า ผู้รักษากาย วาจา ใจ ดีแล้ว ดังนี้ ขอถวายพระพร
จบกุญชรวรรคที่ ๔
สีหวรรคที่
๕
องค์ ๗ แห่งราชสีห์
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๗ แห่งราชสีห์ได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ราชสีห์ ย่อมมีกายขาวบริสุทธิ์ฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรให้มีจิตขาวบริสุทธิ์
ปราศจากความรำคาญฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๑ แห่งราชสีห์
ธรรมดาราชสีห์
ย่อมเที่ยวไปด้วยเท้าทั้ง ๔ มีการเที่ยวไปงดงามฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรเที่ยวไปด้วยอิทธิบาท
๔ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งราชสีห์
ธรรมดาราชสีห์
ย่อมมีไกรสรคือสร้อยคอสีสวยงามยิ่งฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรมีไกรสรคือศีลอันสวยงามยิ่งฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งราชสีห์
ธรรมดาราชสีห์ถึงจะตาย
ก็ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อใครฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรอ่อนน้อมต่อใคร
เพราะเห็นแก่ปัจจัย ๔ ถึงจะสิ้นชีวิตก็ช่าง
อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งราชสีห์
ธรรมดาราชสีห์
ย่อมเที่ยวหาอาหารไปตามลำดับ ได้อาหารในที่ใดก็กินให้อิ่มในที่นั้นไม่เลือกกินเฉพาะเนื้อที่ดี
ๆ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตระกูล
ไม่ควรเลือกตระกูลและอาหารฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๕ แห่งราชสีห์
ธรรมดาราชสีห์
ย่อมไม่สะสมอาหารกินคราวหนึ่งแล้วไม่เก็บไว้กินอีกฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรสะสมอาหารฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๖ แห่งราชสีห์
ธรรมดาราชสีห์เวลาหาอาหารไม่ได้
ก็ไม่ทุกข์ร้อน ได้แล้วก็ไม่ติดฉันใด
พระโยคาวจรเวลาหาอาหารไม่ได้ ก็ไม่ควรทุกข์ร้อน
เวลาได้ก้ไม่ควรติดใจรสอาหาร ควรฉันด้วยการพิจารณา
เพื่อจะออกจากโลก อันนี้เป็นองค์ที่
๗ แห่งราชสีห์ ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์
สังยุตตนิกาย ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระกัสสปนี้ย่อมยินดีด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้สรรเสริญความยินดีในบิณฑบาตตามมีตามได้
ไม่แสวงหาบิณฑบาตในทางไม่ชอบ เมื่อไม่ได้ก็ไม่ควรทุกข์ร้อน
เวลาได้ก็ไม่ติดในรสอาหาร รู้จักพิจารณาโทษแห่งอาหาร
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ที่
๓ แห่งนกจากพราก
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๓ แห่งนกจากพรากได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา นกจากพราก ย่อมไม่ทิ้งเมียจนตลอดชีวิตฉันใด
พระโยคาวจรก็ไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการจนตลอดชีวิตฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนกจากพราก
ธรรมดานกจากพราก
ย่อมกินหอย สาหร่าย จอกแหน เป็นอาหารด้วยความยินดี
จึงไม่เสื่อมจากกำลังและสีกาย ด้วยความยินดีนั้นฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรยินดีตามมีตามได้ฉันนั้น
เพราะผู้ยินดีตามมีตามได้ย่อมไม่เสื่อมจากศีล
สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ และกุศลธรรมทั้งปวง
อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนกจากพราก
ธรรมดานกจากพราก
ย่อมไม่เบียดเบียนสัตว์ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทิ้งท่อนไม้และอาวุธ
ควรมีความละลาย มีใจอ่อน นึกสงเคราะห์สัตว์ทั้งหลายด้วยเมตตาฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งนกจากพราก ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน
จักกวากชาดก ว่า
ผู้ใดไม่ฆ่าเอง
ไม่ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ชนะเอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ
ผู้นั้นชื่อว่ามีเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย
เวรย่อมไม่มีแก่ผู้นั้นด้วยเหตุใดๆ
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๒ แห่งนางนกเงือก
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๒ แห่งนางนกเงือกได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา นางนกเงือก ย่อมให้ผัวอยู่เลี้ยงลูกในโพรงด้วยความหึงฉันใด
พระโยคาวจรเมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจของตนก็ควรเอาใจของตนใส่ลงในโพรง
คือการสำรวมโดยชอบ เพื่อความกั้นกางกิเลส
แล้วอบรมกายคตาสติไว้ด้วยมโนทวาร
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนางนกเงือก
ธรรมดานางนกเงือก
เวลากลางวันไปเที่ยวหากินในป่า พอถึงเวลาเย็นก็บินไปหาเพื่อนฝูง
เพื่อรักษาตัวฉันใด พระโยคาวจรก็ควรหาที่สงัดโดยลำพังผู้เดียว
เพื่อให้หลุดพ้นจากสังโยชน์ เมื่อได้ความยินดีในความสงัดนั้น
ก็ควรไปอยู่กับหมู่สงฆ์ เพื่อป้องกันภัย
คือการว่ากล่าวติเตียนฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งนางนกเงือก
ข้อนี้สมกับคำที่
ท้าวสหัมบดีพรหม ได้กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่า
พระภิกษุควรอยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด
เพื่อปลดเปลื้องจากสังโยชน์ ถ้าไม่ได้ความยินดีในที่สงัดนั้น
ก็ควรไปอยู่ในหมู่สงฆ์ ควรมีสติรักษาตนให้ดี
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๑ แห่งนกกระจอก
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๑ แห่งนกกระจอกได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา นกกระจอก ย่อมอาศัยอยู่ในเรือนคน
แต่ไม่เพ่งอยากได้ขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งของคน
มีใจเป็นกลางเฉยอยู่มากไปด้วยความจำฉันใด
พระโยคาวจรเข้าไปถึงตระกูลอื่นแล้ว
ก็ไม่ควรถือเอานิมิตในเตียง ตั่ง ที่นั่ง
ที่นอน เครื่องประดับประดา เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้
เครื่องกิน ภาชนะใช้สอยต่าง ๆ ของสตรีหรือบุรุษในตระกลูนั้น
ควรมีใจเป็นกลาง ควรใส่ใจไว้แต่ในสมณสัญญาฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งนกกระจอก ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน
จูฬนารทชาดก ว่า
ภิกษุเข้าไปสู่ตระกูลอื่นแล้ว
ควรขบฉันข้าวน้ำตามที่เขาน้อมถวาย
แต่ไม่ควรหลงไหลไปในรูปต่างๆ ดังนี้
ขอถวายพระพร
องค์ ๒ แห่งนกเค้า
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๒ แห่งนกเค้าได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา นกเค้า ย่อมเป็นศัตรูกันกับกา
พอถึงเวลากลางคืนก็ไปตีฝูงกา
ฆ่าตายเป็นอันมากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นข้าศึกกับอวิชชา
ควรนั่งอยู่ในที่สงัดแต่ผู้เดียว
ควรตัดอวิชชาทิ้งเสียพร้อมทั้งรากฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนกเค้า
ธรรมดานกเค้าย่อมซ่อนตัวอยู่ดีฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรซ่อนตัวไว้ดี
ด้วยการยินดีในที่สงัดฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๒ แห่งนกเค้า
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์
สังยุตตนิกาย ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอควรอยู่ในที่สงัด เพราะผู้อยู่ในที่สงัด
ผู้ยินดีในที่สงัดย่อมพิจารณาเห็นทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๑ แห่งตระขาบ
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๑ แห่งตะขาบได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ตะขาบ ย่อมร้องบอกความปลอดภัย และความมีภัยแก่ผู้อื่นฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรแสดงธรรมบอกนรก
สวรรค์ นิพพาน แก่ผู้อื่นฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่
๑ แห่งตะขาบ
ข้อนี้สมกับคำที่
พระปิณโฑลภารทวาชเถระ กล่าวไว้ว่า
พระโยคาวจรควรแสดงสิ่งที่น่าสะดุ้งกลัวในนรก
และความสุขอันไพบูลย์ในนิพพานให้ผู้อื่นฟัง
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ที่
๒ แห่งค้างคาว
ข้าแต่ถพระนาคเสน
องค์ ๒ แห่งค้างคาวได้แก่อะไร?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ค้างคาว บินเข้าไปในเรือนแล้ว บินวนไปวนมาแล้วก็บินออกไป
ไม่กังวลอยู่ในเรือนฉันใด พระโยคาวจรเข้าไปบิณฑาตในบ้าน
เที่ยวไปตามลำดับแล้วได้หรือไม่ได้ก็ตาม
ก็ควรกลับออกไปโดยเร็วพลันฉันนั้น
ไม่ควรกังวลอยู่ในบ้าน อันนี้เป็นองค์ที่
๑ แห่งค้างค้าว
ธรรมดาค้างคาว
เมื่ออาศัยอยู่ในเรือนคนก็ไม่ทำความเสียหายให้แก่คนฉันใด
พระโยคาวจรเข้าไปถึงตระกูลแล้ว ก็ไม่ควรทำความเดือดร้อนเสียใจให้คนทั้งหลาย
ด้วยการขอสิ่งนั้นสิ่งนี้
หรือด้วยการทำไม่ดีทางกาย หรือด้วยการพูดมากเกินไป
หรือด้วยการทำตนให้เป็นผู้มีสุขทุกข์เท่ากับคนในตระกูลนั้น
ไม่ควรทำให้เสียบุญกุศลของเขา ควรทำแต่ความเจริญให้เขาฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งค้างคาว
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน
ลักขณสังยุต ในคัมภีร์ทีฆนิกายว่า
ภิกษุไม่ควรทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธา
ศีล สุตะ พุทธิ จาคะ ธรรมะ ทรัพย์สมบัติ ไร่นา เรือกสวน
บุตร ภรรยา สัตว์ ๔ เท้า ญาติมิตร พวกพ้อง กำลัง ผิวพรรณ ความสุขสบายแต่อย่างใด
พระโยคาวจรย่อมมุ่งแต่ความมั่นคั่งให้แก่ชาวบ้าน
ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ ๑ แห่งปลิง
ข้าแต่พระนาคเสน
องค์ ๑ แห่งปลิง ได้แกิ่ส่งใด ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา ปลิง เกาะในที่ใดก็ตาม ต้องเกาะให้แน่นในที่นั้นแล้วจึงดูดกินเลือดฉันใด
พระโยคาวจรมีจิตเกาะในอารมณ์ใด
ควรเกาะอารมณ์นั้นให้แน่น ด้วยสี สัณฐาน ทิศ
โอกาส กำหนด เพศ นิมิต แล้วดื่มวิมุตติรสอันบริสุทธิ์ด้วยอารมณ์นั้น
อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งปลิง
ข้อนี้สมกับคำของ
พระอนุรุทธเถระ ว่า
พระภิกษุควรมีจิตบริสุทธิ์
ตั้งอยู่ในอารมณ์แล้ว ควรดื่มวิมุตติรสอันบริสุทธิ์ด้วยจิตนั้น
ดังนี้ขอถวายพระพร
องค์ ๓ แห่งงู
ข้าแต่พระนาคสเน
องค์ ๓ แห่งงูได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา งู ย่อมไปด้วยอกฉันใด พระโยคาวจรก็ควรไปด้วยปัญญาฉันนั้น
เพราะจิตของพระโยคาวจรผู้ไปด้วยปัญญา
ย่อมเที่ยวไปในธรรมที่ควรรู้ ย่อมละเว้นสิ่งที่ไม่ควรกำหนดจดจำ
อบรมไว้แต่สิ่งที่ควรกำหนดจดจำฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งงู
ธรรมดางูเมื่อเที่ยวไป
ย่อมหลีกเว้นยาแก้พิษของตนฉันใด
พระโยคาวจรก็ควรหลีกเว้นทุจริตฉันนั้น
อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งงู
ธรรมดางูเห็นมนุษย์แล้ว
ย่อมทุกข์โศกฉันใด พระโยคาวจรเมื่อนึกถึงวิตกที่ไม่ดีแล้วก็ควรทุกข์โศกเสียใจว่า
วันของเราได้ล่วงไปด้วยความประมาทเสียแล้ว
วันที่ล่วงไปแล้วนั้นเราไม่อาจได้คืนมาอีก
อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งงู
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน
กินนรชาดก ว่า
ดูก่อนนายพราน
เราพลัดกันเพียงคืนเดียว ก็นึกเสียใจไม่รู้จักหาย
นึกเสียใจว่าคืนที่เราพลัดกันนั้น
เราไม่ได้คืนมาอีก ดังนี้ ขอถวายพระพร
องค์ที่
๑ แห่งงูเหลือม
ขอถวายพระพร
องค์ ๑ แห่งงูเหลือมได้แก่อะไร ?
ขอถวายพระพร
ธรรมดา งูเหลือม ย่อมมีร่างกายใหญ่ มีท้องพร่องอยู่หลายวัน
ไม่ได้อาหารพอเต็มท้อง ได้พอยังร่างกายให้เป็นไปได้เท่านั้นฉันใด
พระโยคาวจรผู้เที่ยวไปบิณฑบาต ก็มุ่งอาหารที่ผู้อื่นให้
งดเว้นจากการถือเอาด้วยตนเอง ได้อาหารพอเต็มท้องได้ยาก
แต่ผู้อยู่ในอำนาจเหตุผล
ถึงได้ฉันอาหารยังไม่อิ่ม ต้องมีอีก
๔ หรือ ๕ คำจึงจักอิ่มก็ควรเติมน้ำลงไปให้เต็ม
อันนี้เป็นองค์ ๑
ข้อนี้สมกับคำของ
พระสารีบุตรเถระ ว่า
ภิกษุผู้ฉันอาหาร
ทั้งสดและแห้ง ก็ไม่ควรฉันให้อิ่มนัก
ควรให้มีท้องพร่อง รู้จักประมาณในอาหาร
ควรมีสติละเว้น ไม่ควรฉันอาหารให้อิ่มเกินไป
เมื่อรู้ว่ายังอีก
๔ - ๕ คำก็จักอิ่ม ก็ควรหยุดดื่มน้ำเสีย
เพราะเท่านี้ก็พออยู่สบาย สำหรับภิกษุผู้กระทำความเพียร
ดังนี้ ขอถวายพระพร
จบสีหวรรคที่
๕