คอลัมน์ นักร้องคนโปรด : โดย แสนคมสมคิด
นางนาก Fever
“ไม่! ไม่! อย่าทำอะไรข้าเลย ข้ากลัว เอาของเอ็งคืนไป ข้าไม่เอาแล้ว” เสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งในคืนที่ฟ้าฝนกระหน่ำอย่างหนัก เหตุการณ์แบบนี้เดาได้เลยว่า ยายแก่คนนี้คงไม่รอดคืนนี้แน่
อ้อ! ยายแก่คนนี้แกชื่อ เอิบ นะครับ เป็นหมอตำแย ก็หมอตำแยที่ทำคลอดในสมัยโบราณน่ะครับ
พวกคุณคงจะงงนิดหน่อย ถ้ายังไม่ได้ไปดูหนังเรื่อง “นางนาก” คงจะงงว่า ยายเอิบ เป็นใคร แล้วเกี่ยวอะไรกับนางนาก ก็ยายเอิบนี่แหละครับเป็นคนทำคลอดให้นางนากจนต้องตายทั้งกลม จริงๆ ความผิดคงไม่ใช่อยู่ที่ยายเอิบหรอกครับที่ทำให้นางนากต้องตาย มันคงเป็นบุญที่นางนากสร้างไว้น้อยในชาติปางก่อน ชาตินี้เลยต้องรับกรรม (ชาตินี้ของผมหมายถึงเวลาในหนังน่ะครับ) จริงๆ แล้วตามความคิดของผมถ้ายายเอิบไม่ใช่คนชอบแฮ็บ (แฮ็บ คือขโมยน่ะครับ) ยายเอิบคงจะสบายกว่าใครๆ เพื่อนเพราะอย่างน้อยยายเอิบก็ได้มีส่วนช่วยนางนากอย่างเต็มที่ในการคลอด ซึ่งนางนากคงจะเห็นความดี ไม่ตามหลอกหลอนกันให้กลัวทั้งบางอย่างในหนังหรอกครับ แต่ที่ยายเอิบต้องตายนี่คงจะเป็นเพราะว่ายายเอิบแกแฮ็บแหวนของนางนากไป ผลกรรมของการอยากได้ของคนอื่นเลยถูกสนองซะจนแกต้องตาย

ฉากนี้ทำให้ผมหวิวๆ ได้พอสมควร ถึงขนาดที่ว่า เกือบทุกวันนี้ผมได้เจอะหน้าน้องทราย (หรือนางนากในหนัง) ผมยังไม่กล้าขโมยขนมที่เธอซื้อมาเลยครับ บอกจริงๆ ผมกลัว
ที่ผมยกฉากนี้ขึ้นมาเขียน ก็คงจะเป็นเพราะว่า เดือนนี้เป็นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นวันของแม่ด้วย มันทำให้ผมนึกถึงแม่ตัวเองและแม่ของคนอื่นๆ ว่า การที่เราได้ออกมาลืมตาดูโลกนี่เป็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่ต้องลำบากมากในการคลอดลูก ทั้งยังมอบความรักและความห่วงใย จนเราเติบโตไปแล้ว แม่ก็ยังไม่เลิกห่วงเลย
นางนากในหนังที่ผมดู เธอจะมีความรักให้กับเจ้าแดงลูกของเธอมาก ขนาดที่เรารู้ๆว่าเธอกับลูกของเธอน่ะตายไปแล้ว บางฉากยังทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความรักของความเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่สุดๆ จริงๆ เลยครับ
ถ้าจะว่าไปแล้ว น้องทรายกับผมค่อนข้างที่จะรู้จักกันมานานพอสมควร ก็ประมาณ 5-6 ปีแล้วแหละครับ ถามว่าสนิทไหม ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะสนิท แต่วันนี้คงต้องห่างๆ
เธอหน่อยเพราะยังกลัวๆ เธออยู่ไม่หาย หลังจากที่ไปดูหนังนางนากมา
ช่วงนี้ผมกับหนูเล็ก (หนูเล็กคือรหัสของผมที่ใช้เรียกน้องทรายน่ะครับ) เราจะเจอกันเกือบทุกวัน ในหนึ่งอาทิตย์ก็ประมาณ 2-3 วัน เพราะตอนนี้เธอกำลังทำกิจกรรมอีกอย่างอยู่นั่นคือ การร้องเพลง
จริงๆ แล้วเรื่องของเธอน่ะมีเยอะทีเดียวเท่าที่ผมรู้ แต่ตอนนี้ถ้าใครไม่พูดถึงหนังเรื่องนางนากที่เธอเล่น ผมว่าต้องตกรุ่นแน่ ซึ่งผมก็กลัวว่าจะตกรุ่นกับเขาเหมือนกัน งั้นต้องขอสักหน่อย
ว่ากันตั้งแต่หนังฉายรอบแรกตอนเที่ยงคืนผมไดโอกาส จึงชักชวนน้องๆ ที่บริษัทไปดูกันทั้งหมด มีบ้างบางคนที่มีธุระจริงๆ กับกลัว เลยไม่ได้ไปกันทั้งหมด น้องบางคนบอกว่า เราควรจะไปดูรอบเที่ยงวันนะพี่ เพราะดูจากอาการหรือกระแสของหนังแล้วคงจะน่ากลัวน่าดู ยังไงๆ ขอให้ออกจากโรงหนังมายังพอเห็นแสงบ้าง แต่ผมกลับบอกกับน้องคนนั้นไปว่า “มันไม่ได้อารมณ์หรอกน้องเอ๋ย ดูหนังแบบนี้ มันต้องรอบดึกๆ ดูแล้วให้หลอนกันไปเลย”
หลังจากดูหนังจบ พวกเราจะมาคุยกันว่าใครคิดยังไง ประทับใจฉากไหน จำภาพไหนกลับบ้านได้บ้าง ซึ่งผลสรุปก็คือ หนูเล็กของผมเล่นเก่งจัง บรรยากาศภาพดีมาก ซึ่งทุกๆ คนที่ดูในวันนั้นยกให้นางนากเป็นหนังไทยดีๆ อีกเรื่องที่ต้องดูซ้ำ
เนื่องจากกระแสการตอบรับและความเชื่อในตัวนางนากมีอย่างรุนแรงมาก ทำให้หนูเล็กของผมได้เจอกับประสบการณ์แปลกๆ ซึ่งประสบการณ์แปลกๆ ไม่ได้หมายถึงเรื่องลึกลับนะครับ แต่เป็นเรื่องที่เธอเจอกับตัวเองแล้วเก็บเอามาเล่าให้ผมฟัง ซึ่งผมว่าเรื่องที่เธอเล่าเป็นเรื่องที่สนุกดี
“พี่ๆ ! พี่รู้หรือเปล่าว่า เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นเขาไม่ถ่ายสติ๊กเกอร์กันแล้วนะ” หนูเล็กบอกผม
“อ้าว ! แล้วเรารู้ได้ยังไง”
“เพื่อนๆ บอก หรือบางทีก็มีเพจจากน้องๆ มาบอก”
“บอกว่าไง” ผมเร่งคำตอบ
“บอกว่า เดี๋ยวนี้พวกเขาจะไม่ถ่ายสติ๊กเกอร์แล้วนะ แต่จะเอาตังค์ไปดูหนังเรื่องนางนากแทน” หนูเล็กบอกผมแบบภูมิใจ
“หา! จริงเหรอ”
“จริงสิพี่ แถมยังขอตังค์จากแม่อีกนะ พอแม่ถามว่าจะเอาไปทำอะไร น้องๆ เขาจะบอกว่า เอาไปดูหนังเรื่องนางนาก พ่อแม่ก็สนับสนุนเพราะเป็นหนังไทย ดีกว่าไปถ่ายสติ๊กเกอร์”
“อือ! ดีเหมือนกันนะ ไม่ถ่ายสติ๊กเกอร์แล้วเอาตังค์ไปดูหนังไทยกัน เออ! ดี(ว่ะ)” ประโยคแรกผมบอกหนูเล็ก แต่ประโยคหลังผมพูดกับตัวเอง [เออ! ดี(ว่ะ)]
“นักว่าวัฒนธรรมไทยจะถูกกลืนซะแล้ว” ผมบ่นกับตัวเองลอยๆ
“ไม่เปลี่ยนพี่ แต่ปรับใช้ให้เหมาะสม” หนูเล็กแทรกเสียงเข้ามาในความคิดของผม
“อะไร ปรับอะไรใช้ให้เหมาะสม” ผมถามงงๆ
“แสดงว่าพี่ยังไม่ได้ไปดูมาละสิท่า” หนูเล็กถามผม
“ไปดูมาแล้ว รอบแรกตอนเที่ยงคืนด้วย” ผมตอบโชว์เธอเพื่อให้รู้ว่าผมไม่ได้ตกรุ่นนะ
“ถ้าไปดู พี่ต้องเห็น”
“เห็นอะไร”
“ก็นางนากคอมโบ้เซ็ทน่ะสิ พี่เห็นหรือเปล่า”
“อะไรกัน นางนากคอมโบ้เซ็ทน่ะ” ผมถามงงๆ
“ก็ข้าวโพดคั่ว 1 ถุง พร้อมโค้ก 1 แก้วใหญ่ ในราคา 69 บาท”
“อ๋อ! ก็ข้าวโพดคั่วธรรมดาขายพร้อมโค้ก” ผมตอบหนูเล็กแบบไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นเท่าไหร่
“ไม่ใช่นะพี่ ไม่ใช่อย่างนั้น” เธอรีบบอกผม
“แล้วยังไง”
“นี่เลย นางนากคอมโบ้เซ็ท มันหมายถึงรูปหนูเล็กตอนเป็นนางนาก รูปที่น้ำตาหยดเป็นสายเลือดน่ะพี่” เธอเว้นจังหวะ กะจะให้ผมถาม
“แล้วไง! ไม่เห็นแปลกพิสดารตรงไหนเลย” ผมยังตอบแบบเฉยๆ
“แปลกสิพี่ ก็เขาเอารูปนี้พิมพ์ลงบนถุงข้าวโพดน่ะพี่”
“หา! รูปหนูเล็กพิมพ์ลงบนถุงข้าวโพด” ผมอุทาน
“เห็นมั้ย บอกแล้วว่ามันแปลก แถมยังมีทีเด็ดกว่านี้อีกนะ พอถุงมันถูกใส่ข้าวโพดจนล้นมันเหมือนกับสมองของหนูเล็กล้นออกมาจากหัว แล้วคนก็หยิบกินสมองหนูเล็กกันใหญ่เลย”
“เออ! แปลกดี (ว่ะ)”
“ยังไม่หมดเท่านั้นนะพี่” หนูเล็กรีบเล่าต่อ
“ยังไง” ผมถาม
“พอหนูเล็กเห็นก็อยากจะซื้อเก็บไว้สักชุด”
“นางนากคอมโบ้เซ็ทเนี่ยนะ” ผมพูดแทรก
“เนี่ยแหละพี่ ของสะสม”
“ชักจะ Fever กันใหญ่” ผมบ่นพอให้หนูเล็กได้ยิน (Fever คือ ความเร่าร้อน ตื่นเต้นน่ะครับ)
“ทีนี้พออยากได้ หนูเล็กก็ต้องไปต่อแถวซื้อ พอถึงคิว กำลังจะเอ่ยปาก ตาหนูเหลือบไปเห็นสโลแกนการขายพอดี”
“เขาเขียนไว้ว่าไง” ผมเร่งให้หนูเล็กตอบ
“เขียนว่า...” หนูเล็กพูดเสร็จ เธออมยิ้ม
“เขียนว่าอะไร หนูเล็ก” ผมเร่ง
“เขียนว่า พานางนากกลับเรือนท่าน กับชุดนางนากคอมโบ้เซ็ท ในราคา 69 บาท” หนูเล็กพูดเสร็จหัวเราะ เล่นเอาผมขำตามเธอไปด้วย
“พานางนากกลับเรือนท่าน” ผมทวนประโยคนั้นอีกทีแล้วว่าต่อ
“โอ้โฮ ! ครีเอทีฟจริงๆ (ว่ะ) พี่ชอบ” ว่าแล้วน้องทรายก็ทำเสียงหลอนๆ พูดยานคางว่า
“พา...นางนาก...คอม...โบ้...เซ็ท...กลับเรือนท่าน...ด้วยนะเจ้าคะ...”
“ตกลงวันนั้นนางนากรับมากี่เซ็ท” ผมถามหนูเล็ก
“เซ็ท...เดียว...พี่...แค่...เซ็ทเดียว...ก็...มีเฮ...แล้ว...พี่”
ยังนะครับ เรื่องของเธอยังไม่จบ แต่ขอเวลาผมตั้งสติกับความ Fever ของนางนากหน่อย
“พี่ๆ ฟังอยู่หรือเปล่า” หนูเล็กสะกิดผม
“ฟัง! ฟัง พี่ฟังอยู่” ผมตอบเธอแบบตะกุกตะกัก
“เล่าต่อนะพี่” เธอถามผมเป็นเชิงขออนุญาต
“ได้เลย”
“พอดูหนังเสร็จ ตอนออกมาจากโรงหนัง คนก็มองหนูเล็กใหญ่เลย”
“แล้วหนูเล็กทำไง”
“หนูเล็กก็หันไปยิ้มให้เขา”
“ดีแล้ว”
“ดียังไงล่ะพี่” เธอตอบประชดผม
“อ้าว! ทำไมล่ะ” ผมถามเธอ
“คือพอหนูเล็กหันไปยิ้มให้ ทุกคนหลบหน้าหมดเลย”
“อ้าว! แล้วกัน” ผมอุทาน
“แต่มีเด็กเล็กๆ คนนึงนะ จ้องหน้าหนูเล็กใหญ่เลย”
“เด็กอายุเท่าไหร่” ผมถาม
“5 หรือ 6 ขวบนี่แหละพี่”
“แล้วหนูเล็กทำยังไงกับเขา”
“หนูเล็กก็ยิ้มให้เขา”
“แล้วเด็กว่าไง ยิ้มตอบหรือเปล่า”
“เปล่า ยืนปากเบะทำท่าจะร้องไห้ วิ่งไปหลบหลังแม่เขา แต่ยังแอบดูหนูเล็กอยู่นะ” หนูเล็กพูดจบจึงว่าต่อ
“แต่แม่เขาก็ดีนะพี่ พยายามอธิบายให้เขาฟังว่า ที่เห็นในหนังนั่นคือนางนาก แต่ที่ยืนอยู่นี่คือพี่ทราย”
“เด็กก็เลยเข้าใจ”
“ไม่เข้าใจพี่ น้องเขายังคิดว่าหนูคือนางนากออกมาจากจอ”
“แสดงว่าเด็กยังกลัวอยู่” ผมเดาอาการของเด็ก
“คงหายกลัวลงบ้างแล้วแหละพี่ เพราะว่าน้องเขาหันไปถามแม่เขาว่า เขาจะขอแตะตัวหนูเล็กได้หรือเปล่า พอหนูเล็กได้ยินก็เลยเดินเข้าไปหา จะให้เขาแตะตัวดู พี่ลองทายซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ทายก็รู้” ผมว่าเข้านั่น
“รู้ว่า” หนูเล็กรอคำตอบ
“รู้ว่าเด็กคนนั้นต้องวิ่งหนีน่ะสิ แล้ววิ่งอย่างเร็วด้วย”
“ทำไมพี่ทายถูก แล้วทำไมพี่รู้ว่าเขาวิ่งเร็วด้วย”
“ก็เขายังคิดว่าหนูเป็นนางนากอยู่น่ะสิ แล้วนางนากน่ะมือสั้นซะที่ไหนล่ะ ดูตอนเก็บมะนาวสิ พี่ดูแล้วยังหนาวเลย”
“เออ! พี่ทายแม่น” หนูเล็กชมผม
“แล้วนี่หนูเล็กเจออะไรแปลกๆ อีก” ผมถามต่อ
“มีมาเรื่อยๆ เป็นระยะๆ แหละพี่” หนูเล็กตอบ
“ระยะเผาขนหรือเปล่า” ผมถาม
“มีพี่ มี”
“เอ้า! เล่าเลยค่ะ”
“พอดูหนังเสร็จ หนูเล็กกับแม่ก็รอจะลงลิฟต์มาที่ลานจอดรถ พอลิฟต์เปิด หนูเล็กกับแม่ก็เดินเข้าไปในลิฟต์ สักพักก็มีเสียงพูดลอยออกมาจากด้านหลังในระยะเผาขนเลยพี่”
“เสียงใคร ในลิฟต์ไม่มีคนเหรอ” ผมตื่นเต้นถามเธอ
“มีพี่ คนเต็มลิฟต์เลย”
“อ้าว! งั้นต้องมีคนแซว” ผมเดา
“ใช่พี่ เด็กผู้ชายวัยรุ่น 4-5 คน”
“แซวว่าไง”
“ทีแรกมีเสียงซุบซิบได้ยินเบาๆ แต่จับความได้ว่า นางนากมาๆ อีกคนก็จะว่า ระวังนะมึง อย่าทำให้นางโกรธ เดี๋ยวโดนกันหมด แล้วก็จะมีคนแซวต่อว่า จะหลอกกันทั้งลิฟต์เลยมั้ยครับ นางนาก”
“แล้วหนูเล็กว่าไง”
“ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าขอให้ลิฟต์ค้าง จะดูว่าพวกนั้นจะทำหน้ายังไง”
“อ้าว! ถ้าลิฟต์ค้างจริงๆ ล่ะ”
“สนุกเลยน่ะสิพี่ หนูเล็กจะหันไปยิ้มแล้วพูดว่า หนัง...สะ...หนุก...มั้ย...คะ”
“พี่ว่าคนคงหลอนกันทั้งลิฟต์แน่ๆ”
ว่ากันว่า หลังจากนั้นหนูเล็กของผมก็ได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดๆ อีกหลายเรื่อง เช่นว่า
“วันก่อนตอนหนูเล็กเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัย มีเด็กผู้ชาย อายุประมาณหนูเล็ก ยืนลับๆ ล่อๆ แอบมองอยู่ตั้งนาน สักพักพอหนูเล็กหันไปเจอ เขาตกใจ แต่ไม่หนีนะ กลับรีบเดินเข้ามาหา แล้วบอกกับหนูเล็กว่า”
“ว่าอะไร” ผมถามเธอสวนกลับไป
“เขาบอกว่า เขามารอหนูเล็กทุกวัน เวลาเดียวกันนี้เลย แต่หนูเล็กไม่เคยมองเห็นเขาเลย”
“อ๋อ! เขาคงแอบปิ้งหนูเล็กมั้ง”
“เปล่าค่ะพี่! เขาบอกว่า เขาน่ะมาดักรออยู่หลายวันแล้ว แค่อยากจะขอถ่ายรูปด้วย พอเขาพูดจบ หนูเล็กยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยนะพี่ เขาคว้ากล้องที่อยู่ในกระเป๋ากดชัตเตอร์ใหญ่เลย มิหนำซ้ำยังวานให้คนเดินผ่านช่วยถ่ายรูปหนูเล็กคู่กับเขาด้วย”
“เขาคงรอหนูเล็กมาหลายวันแล้ว”
“ใช่พี่ ตั้งแต่เขาไปดูหนังเรื่องนางนาก พอดูหนังจบ เขาบอกกับตัวเองว่า เขาต้องขอถ่ายรูปกับหนูเล็กให้ได้”
“โอ้โฮ! ความตั้งใจสูง(ว่ะ) เออ! แล้วเขาเป็นเด็กที่ไหนล่ะ”
“ก็เด็กที่มหาวิทยาลัยเดียวกับหนูเล็กแหละพี่”
“ท่าทางอาการจะ Fever น่าดู” ผมว่าเข้าไปนั่น
“เพิ่งจะมาเป็นน่ะพี่” หนูเล็กบอกผม อาการฉุนเล็กน้อย
“อ้าว! ทำไมล่ะ” ผมงง
“ก็เขาบอกว่า เขาเห็นหนูเล็กมาตั้งแต่ปี 1 ดูไม่เห็นน่าสนใจเลย ท่าทางซ่าๆ ห้าวๆ อย่างกับเด็กผู้ชาย”
“อ้าว! แล้วกัน” ผมอุทานได้แค่นั้น
“ยังมีอีกนะพี่ เมื่อวานนี้เลย หนูเล็กไปที่สหกรณ์มหาวิทยาลัย กะว่าจะไปซื้อขนมกิน” “แล้วไง”
“อาจารย์น่ะสิพี่ ขอหนูถ่ายรูปเลย”
“อาจารย์ก็พกกล้องเตรียมไว้เลยเหรอ” ผมอำเธอ
“เปล่าพี่! เจ็บกว่านั้นอีก คือที่สหกรณ์ของหนูเล็กจะมีตู้สติ๊กเกอร์เลยพี่”
“ตู้สติ๊กเกอร์!” ผมอุทาน
“ใช่พี่! อาจารย์น่ะขอถ่ายรูปสติ๊กเกอร์กันใหญ่เลย”
“แสดงว่าอาจารย์หลายคน” ผมเดา
“เพียบเลยพี่ ประมาณ 6-7 คน”
“อย่างนี้แหละ หนูเล็ก อาจารย์ยังวัยรุ่นอยู่”
“วัยรุ่นอะไรล่ะพี่ แต่ละคนอายุประมาณเกือบๆ 50”
“หา! 50 เลยหรอ” ผมอุทานตกใจ
“ใช่เลยพี่! ”
ผมได้แต่หัวเราะหึๆ แล้วบอกหนูเล็กว่า “ก็ให้คิดว่าอาจารย์พวกนั้นเป็นพวกวัยรุ่นแรกไง”
“แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เจอกับหนูเล็กคนเดียวนะพี่” หนูเล็กเริ่มเล่าต่อ
“เจอกับใครอีกเล่า” ผมถาม
“เจอกับน้องพราวพี่” หนูเล็กบอกผม (น้องพราวคือน้องสาวของน้องทราย)
“ยังไง เล่าให้ฟังเร็ว”
“น้องพราวเธอไปดูหนังนางนากกับเพื่อนๆ พอถึงตอนที่หนูเล็กห้อยหัวลงมา น้องพราวเธอหันไปมองดูเพื่อนว่าจะกลัวมั้ย”
“แล้วไง” ผมเร่ง
“จะแล้วไง พอเพื่อนหันมาเจอพราวมองอยู่ ถึงกับช็อคเกือบตกเก้าอี้”
“อ้าว! ทำไมล่ะ”
“ก็เพื่อนน้องพราวเธอตกใจน่ะสิพี่ มิหนำซ้ำยังบอกกับพราวว่า มึงรีบหันไปเร็วๆ ทำกูตกใจแทบแย่”
“แล้วน้องพราวทำไง”
“พราวก็ถามกลับไปว่า กลัวอะไรนัก(วะ)”
“เออ! นั่นน่ะสิ กลัวอะไรนัก” ผมเห็นด้วย
“ไม่ คืออย่างนี้” หนูเล็กเริ่มอธิบาย
“คือเพื่อนน้องพราวเธอบอกว่า ที่เธอตกใจน่ะ เป็นเพราะเธอเคยบอกว่าหน้าหนูเล็กเหมือนน้องพราวมาก เลยนึกว่านางนากหายตัวแอบมาอยู่ข้างๆ”

วันนี้เราคงพอกันแค่นี้ก่อนนะครับ สำหรับนางนากที่ Fever กันทั้งเมืองอยู่ในขณะนี้ เพราะผมคงต้องปล่อยให้เธอไปเข้าห้องอัดเสียงเพื่อเตรียมตัวกับงานเพลงของเธอ
แต่คงยังไม่จบนะครับ สำหรับนางนากเพราะเท่าที่รู้มา คาดเดาได้ว่า จนถึงวันที่เรื่องนี้ลงตีพิมพ์ ยอดล่าสุดคงเกิน 100 ล้านไปแล้วแน่ๆ ถึงวันนั้นคงจะมีเรื่องแปลกๆ ของหนูเล็กมาเล่าให้ฟังกันอีกครับ

ขอกราบขอบพระคุณย่านาก สำหรับเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาครับ ด้วยความเคารพอย่างสูง

ตีพิมพ์ครั้งแรก : นิตยสาร แพรวสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 397 ปีที่ 17 :16 สิงหาคม 2542 ปก ทราย เจริญปุระ
รวมเล่มอยู่ในหนังสือ "นักร้องคนโปรด" โดย แสนคม สมคิด // สุดสัปดาห์สำนักพิมพ์