คอลัมน์ My life the star : ดาราเจ็บ 2
เรื่อง : อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร

ทราย สปิริต

เป็นดารา แท้จริงแสนลำบาก ไม่ว่าจะป่วยแค่ไหนเจียนตายยังไง ถึงเวลางานเมื่อไหร่ งานก็คืองาน ใครยังไม่เข้าใจ มาลองดูตัวอย่างเรื่องราวต่อไปนี้ ที่อัษฎาวุธ มาเล่าเปิดเผยกันดีกว่า

 

ดาราเจ็บ 2

ผมมาได้คิดว่าได้การเจ็บป่วยนี่มันช่างเป็นอุปสรรคต่อการทำงานจริงๆ เป็นดารานี่ห้ามเจ็บห้ามตายจริงๆ นะครับ เพราะมีอีกหลายชีวิต (ทีมงาน) จะต้องมาเดือดร้อนเพราะเรา หลายปีก่อนผมเป็นไทฟอยด์นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล โรคนี้จะปวดหัวไข้ขึ้นสูงมากเวลาค่ำๆ ตอนกลางวันนี่แทบจะเป็นปกติ ผมเลยขอคุณหมอถอดสายน้ำเกลือไปถ่ายละคร แต่ตอนกลางคืนเวลาไข้กลับนี่มันนรกชัดๆ เลยครับ แต่การนัดคิวละครเรานัดทีหนึ่ง 3 วัน ผมก็เกรงใจว่าถ้ากองถ่ายต้องยกเลิกการถ่ายทำ 3 วันนี่มันเสียหายเหมือนกันนะ ไหนจะดาราที่ร่วมแสดงอีกเขาคงเสียดายเวลา เราก็ทำได้เท่าที่จะไหว แต่ถ่ายได้แค่ 5 โมงเย็นก็ต้องรีบกลับโรงพยาบาล

มีดาราคนหนึ่งที่ผมยังประทับใจจนถึงทุกวันนี้ คือน้องทราย เจริญปุระ ตอนถ่ายละคร แม่ค้า ด้วยกันน้องเขาได้รับบาดเจ็บเอ็นเท้าฉีกจากการเตะกระสอบทรายตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง ละครเรื่องนี้ถ่ายไปออกอากาศไปทำให้เราทำงานกันค่อนข้างหนัก แต่น้องเขาก็อดทนถ่ายทำจนจบทั้งๆ ที่เดินก็ลำบากจะแย่ แล้วฉากต่อยมวยก็เยอะ คนหนึ่งในคู่ต่อสู้ของทรายคือ น้องตุ้ม แค่เปรียบมวยก็คนละรุ่นแล้ว
“ไหวเหรอทราย” ทีมงานถาม
“แค่ตายน่ะพี่” ทรายตอบจริงจังเหมือนจะต่อยกันจริง เล่นเอาน้องตุ้มขนลุกเหมือนกัน อันที่จริงถ้าน้องเขาเกิดถอดใจไม่เล่นแล้วไม่ไหวแล้วละครก็เจ๊งครับงานนี้ เพราะกำลังออกอากาศ ผมเรียนรู้อะไรๆ จากตรงนั้นเยอะเลย ว่าการทำงานมันประกอบไปด้วยทีมงานและเพื่อนร่วมงานหลายคน ถ้าเราไม่สามารถมาทำงานได้ตามการนัดหมายจะมีคนเสียเวลากับเราเยอะ เมื่อ 3 ปีก่อนตอนผมรถชน เชื่อมั้ยครับว่าชั่วขณะที่รถหมุนจนกระทั่งมันมาชนกับราวสะพานมันเหมือนว่าเวลานั้นมันนานเป็นนาทีๆ เลยครับ ทั้งๆที่เวลามันแค่ชั่ววินาทีเองที่ผมคิดว่ามันนานเพราะว่าวินาทีนั้นมันมีอะไรๆ หลายอย่างไหลออกมาจากหัวผม (ไม่ใช่สมองครับ) ผมคิดว่าตายโหงแล้วทีมงานเขาจะทำไงกันหว่า ถ้าหน้าเละเขาจะเอาใครมาเล่นแทนวะ ถ้าขาหักก็ยังถ่ายเฉพาะหน้าได้ แล้วก็เอาคนหุ่นใกล้เคียงกันมาถ่ายผ่านหลังคงพอได้ ผมคิดไปถึงว่าถ้าเกิดตายจะทำยังไง พอดีตอนนั้นถ่ายละครอยู่ 3 เรื่อง เมขลา, ล่าสุดขอบฟ้า และ สัญญาเมื่อสายัณห์ มันกลัวไปหมด โชคดีที่ไม่เป็นอะไร รถชนตี 2 ประกันมาลากรถไปไว้ที่อู่ให้ ผมโทรไปบอกเพื่อนว่ารถชนขับรถไปส่งที่กองถ่ายหน่อย เพราะผู้จัดการผมหัวกระแทกกระจกรถต้องไปนอนโรงพยาบาล 6 ชั่วโมงเพื่อนก็มารับไปนครนายกไปถ่ายเมขลาโดยที่ไม่ได้บอกใคร ทีมงานมารู้จากหน้าหนังสือพิมพ์ ถึงตัวผมจะไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ผมก็รู้เลยว่าความตายมันอยู่ใกล้เราแค่นี้เอง คือถ้าผมไม่โชคดีผมก็ตาย แค่นั้นเองครับ
อย่างน้อยการมีน้ำอดน้ำทนของน้องทรายเขาก็ซื้อใจทีมงานและเพื่อนร่วมงานอย่างผมได้ มีตอนถ่ายทำไปกลางๆ เรื่อง ตอนตี 3 เราถ่ายกันอยู่น้องเขานอนพักขาอยู่บนเสื่อ พอจะต้องเข้าฉากทีมงานก็ไปปลุกทรายก็ไม่ตื่น ทีมงานตกใจ พี่ไทด์ (เอกพัน ร่วมแสดง) รีบเข้าไปอุ้มพาทรายไปส่งโรงพยาบาลทันที วันรุ่งขึ้นผมไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลถามอาการว่าเป็นไงบ้าง "พี่คิดดูสิว่า มันเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นนะ อยากลุกแต่ไม่ไหว รู้ว่าทีมงานพยายามปลุกอยู่ แต่ลุกไม่ได้ แถมมีพี่ไทด์มาหอบตัวหนูไป จะให้หนูรู้สึกยังไงล่ะ หนูจินตนาการเลยนะว่าตัวเองกำลังไส้ไหล พี่ไทด์วิ่งมากอบไส้หนูกลับลงท้องแล้วอุ้มไปห่อเก็บ" ทรายพูดติดตลก นี่แหละครับนักแสดง เจ็บเจียนตายก็ยังอุตส่าห์มีแก่ใจให้ความบันเทิง
ยังไม่จบครับเรื่องของทราย ตอนจบของเรื่องน้องทรายต้องโดนโจรจับเป็นตัวประกัน พวกเราต้องเข้าไปช่วย โดยคนที่เข้าไปถึงตัวโจรและน้องทรายคือพี่ไทด์เจ้าเก่านั่นแหละครับ 5 4 3 2 พี่ไทด์วิ่งไป แกร๊บ! รองเท้า combat ของพี่ไทด์เหยียบเข้าอย่างจังที่ขาน้องทราย ทรายร้องกรี๊ดลงไปนั่งที่พื้นโฮแตก ทีมงานตกใจมากจะพาน้องไปโรงพยาบาล แต่น้องทรายยืนยันทั้งน้ำตาว่า
“ถ่ายไปให้จบเถอะพี่ ฉากสุดท้ายแล้วก็ปิดกล้องแล้ว”
“แล้วยืนไหวมั้ยทราย” ทีมงานถามด้วยความเป็นห่วง
“ลองแล้ว ไม่ไหวพี่ ทำไงดี” ในที่สุดผู้กำกับฯ ก็ออกความคิดว่าให้ทรายนั่งบนเกาอี้แล้วถ่ายใกล้ๆ ให้เหมือนยืนไม่รู้ว่ากำลังนั่ง 5 4 3 2 ... พวกเราทุกคนใช้เข่าวิ่งเข้าไปหาน้องทราย... จบบริบูรณ์

 
นิตยสาร TVreview รายสัปดาห์ ปีที่ 6 เล่มที่ 279 / 11-17 มีนาคม 2548 ปก ชลลดา เมฆราตรี