สูตรการคำนวณดัชนีมูลค่าตลาด
ยกตัวอย่างเช่น SET Index
และ SET50 Index
CMV = Current Market Value
BMV = Base Market Value
P1 = ราคาปิด ณ.วันปัจจุบันของหุ้นสามัญตัวที่
1
V1 = จำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียน
ณ.วันปัจจุบันของหุ้นสามัญตัวที่
1
PN = ราคาปิด ณ.วันปัจจุบันของหุ้นสามัญตัวที่
N
VN = จำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียน ณ.วันปัจจุบันของหุ้นสามัญตัวที่
N
p1 = ราคาปิด ณ.วันฐานของหุ้นสามัญตัวที่
1
v1 = จำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียน
ณ.วันฐานของหุ้นสามัญตัวที่ 1
pv = ราคาปิด ณ.วันฐานของหุ้นสามัญตัวที่
N
vn = จำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียน ณ.วันฐานของหุ้นสามัญตัวที่
N
การปรับฐานดัชนี
1)
เมื่อมีการรับหลักทรัพย์ใหม่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
จะทำการปรับฐานในวันแรกที่หลักทรัพย์นั้นมีการซื้อขาย
เพื่อเป็นฐานสำหรับวันต่อไป
2)
เมื่อมีการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดฯ
จะทำการปรับฐานในวันสุดท้าย
ที่หลักทรัพย์นั้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
หรือหลักทรัพย์รับอนุญาต
เพื่อเป็นฐานสำหรับวันต่อไป
3)
เมื่อบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตเพิ่มทุน
ซึ่งการเพิ่มทุนหากจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่
- ผู้ถือหุ้นเดิม จะทำการปรับฐานในวันเปิดสมุดจดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้น(XR)
- บุคคลอื่นๆ
ได้แก่ประชาชนทั่วไป
กรรมการพนักงาน
จะทำการปรับฐานในวันที่หลักทรัพย์ที่เพิ่มทุนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
ถ้าในวันดังกล่าวของทั้งสองกรณี
ไม่มีการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นๆ
ให้เลื่อนไปปรับในวันที่เริ่มมีการซื้อขาย
4) เมื่อบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตลดทุน
จะทำการปรับฐานในวันสุดท้ายที่หลักทรัพย์จำนวนนั้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาต
เพื่อเป็นฐานสำหรับวันต่อไป
5)
เมื่อบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตควบกิจการกับบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์
จะทำการปรับฐานในวันที่หลักทรัพย์ที่นำมาจดทะเบียนเพิ่มเติมจากการควบกิจการมีการซื้อขาย
อนึ่ง ในกรณีการแยกหุ้น(Stock
Split)
และกรณีที่บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตควบกิจการ
กับบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตด้วยกัน
จะไม่มีการปรับฐาน
เนื่องจากในกรณีในการแยกหุ้นนั้น
จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น
แต่มูลค่าตลาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สำหรับกรณีการควบกิจการของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาตด้วยกัน
ก็ไม่ได้ทำให้มูลค่าตลาดเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
หมายเหตุ
SET Index
ได้แก่การนำมูลค่าตลาดของหุ้นสามัญทุกตัวมาคำนวณทำเป็นดัชนี
SET50 Index
ได้แก่การนำมูลค่าตลาดของหุ้นสามัญ
ที่มีมูลค่าตลาดสูง 50
ตัวมาคำนวณทำเป็นดัชนี