econ2002004 ...6 เดือนตลาดหุ้นโลก.. หลังเครื่องบินชนสัญลักษณ์อเมริกา

เครื่องบินผู้ก่อการร้ายข้ามชาติได้ถล่มตึก World Trade Center และ Pentagon ของอเมริกาในเช้าวันที่ 11 กันยายน 2001  บัดนี้เหตุการณ์ที่ระทึกขวัญดังกล่าวได้ผ่านไปครบ 6 เดือนแล้ว  อเมริกาเชื่อว่าออสมา บินลาเดน เชื้อสายคนซาอุดิอารเบีย  ที่อยู่ในอาฟกานิสถาน  เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีสหรัฐอเมริกา  อเมริกาจึงได้โต้ตอบโดยการยกกองกำลังทหารไปถล่มอัฟกานิสถาน กระทั่งอาฟกานิสถานได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล  การขับเครื่องบินชนตึกWCTก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก  เพราะเหตุการณ์เช่นนี้เคยเห็นแต่ในภาพยนตร์เท่านั้น ไม่คิดว่าจะเกิดมีเหตุการณ์จริงให้เห็นได้  โทรทัศน์ได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก  เป็นเหตุการณ์สดๆที่เห็นพร้อมกันทั่วโลก  มีผลให้ตลาดหุ้นตกระนาวกันทั่วโลก  ตึกWCTเปรียบเสมือนสัญญลักษณ์ของอเมริกาอย่างหนึ่ง  เมื่อเครื่องบินบินชนตึกWCT  ก็คล้ายกับว่าเป็นการชนสัญลักษณ์ของอเมริกานั่นเอง

ผู้เขียนได้รายงานตัวเลขความเสียหายของตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นระยะๆ  พบว่าตลาดหุ้นได้ตกแรงช่วง 2 สัปดาห์หลังเหตุการณ์เครื่องบินชนเท่านั้น  จากนั้นก็ฟื้นตัวมาโดยตลอด  กระทั่งถึงทุกวันนี้    

ตารางที่ 1 ดัชนีตลาดหุ้นโลก 6 เดือนหลังการโจมตีสัญลักษณ์อเมริกา (Updated : 11 มีนาคม 2002)

  REGIONAL SEP10-2001 MAR11-2002 LOWEST % to 6mos Chg % to lowest Chg
  WORLD72 1560.72 1771.55 1390.60 13.51% 27.39%
  ASIA16 2987.46 3489.28 2643.00 16.80% 32.02%
  ASEAN5 880.13 991.55 739.40 12.66% 34.10%
  EURO30 6340.53 7248.42 5500.00 14.32% 31.79%
  AFRICA11 5055 5550.26 4774.00 9.80% 16.26%
  AMERICA13 7812.37 8706.01 7215.00 11.44% 20.67%
  LATIN11 7652.66 8556.21 7055.00 11.81% 21.28%
             
  COUNTRY SEP10-2001 MAR11-2002 LOWEST % to 6mos Chg % to lowest Chg
1 Argentina 231.285 397.99 200.86 72.08% 98.14%
2 Russia 2385.17 3912.14 2047 64.02% 91.12%
3 Finland 5815.61 8788.36 5589 51.12% 57.24%
4 S.Korea 550.73 827.02 468.8 50.17% 76.41%
5 Sri Lanka 407.82 608.09 398.4 49.11% 52.63%
6 Pakistan 1256.21 1872.71 1073.2 49.08% 74.50%
7 S.Africa 7272.48 10828.51 7241 48.90% 49.54%
8 Taiwan 4289.1 6196.26 3446 44.47% 79.81%
9 Hungary 6231.41 8188.45 5671 31.41% 44.39%
10 Sweden 208.31 270.45 207.84 29.83% 30.12%
11 Czech 337.595 437.6 313.75 29.62% 39.47%
12 Mexico 5856.19 7161.40 5081.9 22.29% 40.92%
13 Thailand 331.65 387.78 265.22 16.92% 46.21%
14 Japan 10195.69 11919.3 9504 16.91% 25.41%
15 Singapore 1558.45 1805.1 1241.3 15.83% 45.42%
16 Brazil 11922.39 13695.77 10006 14.87% 36.88%
17 Germany 4670.13 5340.67 3787 14.36% 41.03%
18 U.S.A(NASDAQ) 1695.38 1929.49 1423.1 13.81% 35.58%
19 India 3183.63 3603.97 2600.1 13.20% 38.61%
20 U.S.A(DJIA) 9605.51 10611.24 8235.8 10.47% 28.84%
21 Colombia 997.19 1094.85 777.2 9.79% 40.87%
22 Malaysia 695.94 761.01 592.3 9.35% 28.48%
23 Portugal 1858.51 2029.33 1660.7 9.19% 22.20%
24 Hong Kong 10366.32 11318.87 8934 9.19% 26.69%
25 Philippines 1297.19 1409.41 990 8.65% 42.36%
26 Spain 7678.7 8317.9 6498 8.32% 28.01%
27 Canada 7344.7 7908.16 6513.1 7.67% 21.42%
28 Australia 3183.5 3422.1 2867.4 7.49% 19.35%
29 New Zealand 1951.81 2086.06 1789.5 6.88% 16.57%
30 Indonesia 443.6 474.03 369.25 6.86% 28.38%
31 Austria 1167.01 1244.68 1014.3 6.66% 22.71%
32 Netherlands 487.06 518.59 391.1 6.47% 32.60%
33 Israel 395.12 419 368.64 6.04% 13.66%
34 Swiss 6128.3 6496.6 5110 6.01% 27.14%
35 France 4383.74 4586.75 3653 4.63% 25.56%
36 Italy 22459 23477 17382 4.53% 35.07%
37 U.K. 5033.7 5258.9 4434 4.47% 18.60%
38 Belgium 16570.4 17049.3 14382 2.89% 18.55%
39 Ghana 777.89 796.96 768.17 2.45% 3.75%
40 Slovakia 114.86 117.13 109.58 1.98% 6.89%
41 Norway 666.61 678.34 521.5 1.76% 30.07%
42 Turkey 9517.92 9543 6780 0.26% 40.75%
43 Denmark 91.315 91.32 80.96 0.01% 12.80%
44 Peru 1321.51 1298.34 1117.9 -1.75% 16.14%
45 Greece 2536.97 2436.25 2105.6 -3.97% 15.70%
46 Venezuela 7266.19 6944.48 6070 -4.43% 14.41%
47 Egypt 5692.3 5413.86 4762 -4.89% 13.69%
48 Chile 111.559 100.74 94.96 -9.70% 6.09%
49 Ireland 5576.67 5027.78 4650.4 -9.84% 8.12%
50 Shanghai 1938.06 1735.63 1416.1 -10.44% 22.56%








 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




ตารางนี้(Updated : 11 มีนาคม 2545) แสดงให้เห็นทั้งการเปลี่ยนแปลงของโลก  ของแต่ละภูมิภาค  และของแต่ละประเทศ  ที่นำเสนอทั้งหมด 49 ประเทศ  50 ดัชนี  (ของประเทศสหรัฐอเมริกานำเสนอดัชนี 2 ตัวคือ  Dow Jones และ NASDAQ)  การเปลี่ยนแปลงได้นำเสนอ 2 รูปแบบคือ  การเปลี่ยนแปลง 6 เดือนหลังการโจมตีอเมริกา  และการเปลี่ยนแปลงจากจุดต่ำสุดด้วย  ดังแสดงไว้ใน 2 คอลัมน์สุดท้ายของตารางที่ 1  และได้เรียงลำดับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตามอัตราส่วนการเปลี่ยนแปลงจากมากไปหาน้อยในช่อง " % to 6mos Chg " 
ในที่นี้จะวิจารณ์เฉพาะตัวเลข 6 เดือนหลังการโจมตีอเมริกาเท่านั้น  ส่วนตัวเลขการเปลี่ยนแปลงจากจุดต่ำสุดให้ดูจากตารางเอง

หลัง 6 เดือนการโจมตีสหรัฐอเมริกา  หุ้นได้เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค 
หุ้นโลก(WORLD72)ได้เพิ่มขึ้น 13.51%
  ..เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุด 27.39% ..และไม่พบว่าตลาดหุ้นของประเทศใดมี new low
..42 ประเทศดัชนีเป็นบวก(86%)
..7 ประเทศดัชนียังเป็นลบ(14%)

..10 ประเทศที่เพิ่มมากที่สุดได้แก่  Argentina +72%  Russia +64%  Finland +51%  S.Korea +50%  Sri Lanka +49%  Pakistan +49%  S.Africa +49%  Taiwan +44%  Hungary +31%  Sweden +30% 

..7 ประเทศเท่านั้นที่ดัชนีติดลบ Peru -2%  Greece -4%  Venezuelar -4%  Egypt -5%  Chile -10%  Ireland -10%  Shanghai -10%

ตลาดหุ้นของประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ลำดับที่ 13 ของโลก  เพิ่มขึ้น 16.92%  และเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับที่ 1 ของ Asean  ตามมากด้วยสิงค์โปร์  มาเลยเซีย  ฟิลิปปินส์และ อินโดนีเซีย  อาจจะแสดงถึงความอ่อนแอและความผันผวนสูงของตลาดหุ้นไทยได้  คือลงแรงและขึ้นแรงนั่นเอง DJIA อยู่ที่ลำดับที่ 20 เพิ่มขึ้น 10.47%  เราทราบกันว่า ดัชนี DJIA ผันผวนน้อย และมีความแข็งแกร่งพอสมควร ดูแล้วเหมือนประเทศไทยดีกว่าอเมริกา  แต่ที่จริงแล้วแย่กว่าอเมริกา

ที่จริงการพิจารณาเช่นนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลง  จะไม่เห็นรูปแบบ(pattern)ของการเปลี่ยนแปลง  จะไม่เห็นถึงความเป็นปกติหรือผิดปกติของการเปลี่ยนแปลง  มีตลาดหุ้นบางประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบผิดปกติ  โดยเฉพาะประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจกระทั่งต้องเข้ารับความช่วยเหลือจากIMF  บางประเทศรุนแรงมากกระทั่ง IMF ก็หมดปัญญาที่จะเข้าไปช่วยเหลือ  หรือไม่กล้าที่จะช่วยเหลือ  เช่นประเทศอารเจนตินาเป็นต้น  

จากตารางที่ 1 จะเห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นของประเทศอารเจนตินาเพิ่มสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก  คนคงสงสัยว่าอารเจนตินาประสบปัญหาวิกฤติอย่างร้ายแรง  ทำไมตลาดหุ้นกลับพุ่งขึ้นแรงมากที่สุดในโลก  การที่ตลาดหุ้นและตลาดเงินตราของอารเจนตินาเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปตามกลไกทางเทคนิค  ที่หากเกิดกับประเทศใด  ก็เป็นแบบเดียวกันทุกประเทศ  ตามบทความที่ผู้เขียนนำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง  ประเทศไทยก็เคยเป็นเช่นนี้มาแล้ว  หลังการประกาศลอยค่าเงินบาท  ตลาดหุ้นได้กลับพุ่งขึ้นแรงเช่นเดียวกัน  เป็นช่วงฝุ่นตลบ  แล้วต่อมาก็จะมีการปรับตัวตกลงมาสู่ฐานะที่เป็นจริงในภายหลัง

Argentine PESO ยังอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง  วันที่ 14 มีนาคม 2002 อยู่ที่ 2.38 PESO/USD ..หรืออ่อนตัวลง 138% แล้ว ..เป็นเรื่องที่หดหู่ที่สุด

ชาร์ตที่ 1 ดัชนีตลาดหุ้นอารเจนตินา


6 เดือนหลังการโจมตีอเมริกาดัชนีเพิ่ม 72%
ดัชนีแกว่งตัวเพิ่มสูงสุด 270% ..ช่วงระยะเวลา 2 เดือน
ดัชนีแกว่งตัวตกลง 17% ..ช่วงระยะเวลาเดือนครึ่ง


ชาร์ตที่ 2 ดัชนีตลาดหุ้นตุรกี

6 เดือนหลังการโจมตีอเมริกาดัชนีเพิ่ม 0.26%
ดัชนีแกว่งตัวเพิ่มสูงสุด 83% ..ช่วงระยะเวลา 3 เดือน
ดัชนีแกว่งตัวตกลง 27% ..ช่วงระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง


ชาร์ตที่ 3 ดัชนีตลาดหุ้นไทย

6 เดือนหลังการโจมตีอเมริกาดัชนีเพิ่ม 17%
ดัชนีแกว่งตัวเพิ่มสูงสุด 48% ..ยังไม่ทราบแกว่งตัวสูงสุดหรือไม่  เพราะการปรับตัว(coreection)ยังไม่มีนัยสำคัญ
ดัชนีแกว่งตัวตกลงยังไม่ทราบ (ยังไม่เห็นนัยสำคัญ)


ดัชนีตลาดหุ้นอารเจนตินา  ตุรกี และไทย  ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงแบบผิดปกติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือในช่วงขาลง

ปัญหาเศรษฐกิจและตลาดหุ้น  ประกอบด้วยปัจจัยหลัก 2 อย่างคือ  
ปัญหาทางพื้นฐาน  และ
ปัญหาทางเทคนิค

ปัจจัยทางพื้นฐาน..  ประเทศที่เข้าโครงการณ์IMF ทั้งหลาย  ยังมีความอ่อนแอทางพื้นฐานมาก  ปัจจัยทางพื้นฐานอันได้แก่หนี้ต่างประเทศและหนี้สาธารณะยังอยู่ที่ระดับสูง ความเชื่อมั่นยังอยู่ในระดับค่ำ

ปัจจัยทางเทคนิค..  คือความอ่อนแอของดัชนี  ที่ทำให้เกิดความผันผวนสูง  จะส่งผลให้ปัจจัยทางพื้นฐานอ่อนแอลงไปอีก  จะไม่มีต่างประเทศที่ไหนคิดลงทุนในประเทศเหล่านี้  มีแต่คิดจะเก็งกำไรระยะสั้นกันเป็นรอบๆแต่อย่างเดียวเท่านั้น  ช่วงระยะเวลา 2-3  เดือนอารเจนตินาเพิ่ม 270% ตรุกีเพิ่ม 83%  และไทยเพิ่ม 48% จากนั้นก็ปรับตัว  และปรับตัวแรงด้วย  ความอ่อนแอของตลาดหุ้นไม่ได้หมายความว่าตกแรงอย่างเดียว  แต่จะแสดงให้เห็นว่ามีการขึ้นแรงด้วย  ลักษณะการผันผวนของดัชนีแบบผิดปกติเช่นนี้แสดงถึงความเสียหายแต่อย่างเดียว  ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง

สำหรับประเทศไทย  การแก้ปัญหาทางพื้นฐานยังห่างไกลปัญหาหลักมาก  หนี้สาธารณะและหนี้ต่างประเทศไม่ได้รับเอาการใส่ แต่กลับให้ความใส่ใจในการแก้ปัญหาหนี้สถาบันการเงินอย่างเดียว  คือการตั้งTAMCขึ้นมาแก้ปัญหา  หนี้สาธารณะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น  ซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในวันหน้าอย่างแน่นอน

ตลาดหุ้น ..ได้มีการจัดตั้งบรรษัทภิบาลแห่งชาติขึ้นมา  ใช้เงินจากตลาดหลักทรัพย์ 200 ล้านบาทในการก่อตั้ง  ฟังปรัชญาการตั้งบรรษัทภิบาลแห่งชาติแล้วดี  ดีเหมือนกับปรัชญาการตั้งกองทุนฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาสถาบันการเงิน  และปรัชญาการออกเครื่องมือ Maintenance margin และ Force sell ในอดีตนั่นเอง  แต่ภายหลังเมื่อมีการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาสถาบันการเงิน  และนำระบบ Maintenance margin และ Force sell มาใช้ ต่างไม่ได้ช่วยป้องกันระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นแต่อย่างใด  กลับเป็นตัวสร้างปัญหาให้ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก  ทุกวันนี้กองทุนฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาสถาบันการเงินก่อให้เกิดหนี้สาธารณะแล้วประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท Maintenance margin และ Forced sell ก็ทำให้ตลาดหุ้นตกลงอย่างรุนแรง  กระทั่งส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมเสียหายถึงทุกวันนี้ 


1) บรรษัทภิบาลแห่งชาติ  จะมุ่งเข้าไปปรับปรุงวิธีการบริหารและการบัญชีให้บริษัทจดทะเบียนให้ดีขึ้น  แต่เห็นหน้าผู้เข้าร่วมสัมมนาบรรษัทภิบาลแห่งชาติ(เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2545)  เห็นว่าแต่ละท่านพกไว้แต่ความวิตกกังวลเป็นทุกข์กันเป็นส่วนใหญ่  ทำให้พวกเขารู้สึกว่าความเสียหายที่ผ่านมานั้นเป็นความผิดของพวกเขากระนั้นหรือ  หาว่าพวกเขาไม่มี Good governance  จะต้องแก้ไขที่พวกเขาอีกหรือ?  

แท้ที่จริงแล้วความเสียหายของตลาดหุ้นมาจากตัวตลาดหุ้นและเครื่องมือจากตลาดหุ้นเองมากกว่า  ความอ่อนแอของตลาดหุ้น ทำให้คนปั่นหุ้นมาทำการลากหุ้นของเขาขึ้นลงเป็นว่าเล่นมากกว่า  แล้วก็ทำให้เกิดความเสียหายตามมา  ความวิตกกังวลของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่จะปฏิบัติตามหลักการของบรรษัทภิบาลไม่ได้  เขาไม่ได้สนใจสิ่งจูงใจที่ทางบรรษัทภิบาลแห่งชาติจะให้แต่อย่างใด  แต่พวกเขาวิตกว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดในตลาดหุ้นไทยอย่างไรมากกว่า  เกือบร้อยบริษัทแล้วที่เข้าไปอยู่ใน Rehabco(รอฟื้นฟูกิจการ)  อนาคตอาจจะเป็นรอบของพวกเขาก็ได้ 

2) Opportunity Fund และ Cerberus Fund ฯลฯ  หาใช่เครื่องมือที่จะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยดีขึ้นแต่อย่างใดไม่  น่าจะจำบทเรียนในอดีตที่ผ่านมาได้ เมื่อก่อนนี้เราเคยมีกองทุนต่างๆกว่า 70 กองทุน  ซึ่งก็เห็นแล้วว่าไม่ได้ช่วยทำให้ตลาดหุ้นคงทนแต่อย่างใด  ยังอ่อนแอยังผันผวนสูงอยู่เหมือนเดิม  และทุกวันนี้ก็ยังผันผวนสูงและอ่อนแอสูงอยู่เหมือนเดิม  แล้วยังคิดแบบซ้ำรอยเดิมอยู่นั่นเอง  คิดใช้แต่เงินเข้าไปแก้ปัญหา

3) Warrant และ Covered warrant  คือตราสารที่อันตรายตัวใหม่ของตลาดหุ้น  ทำให้เห็นว่าบริษัทในตลาดหุ้นสามารถพิมพ์กระดาษออกมาขายได้อย่างง่ายดาย  warrantก่อให้เกิดการเก็งกำไรสูง เป็นการส่งเสริมให้มีการเก็งกำไรหนักขึ้นไปอีก  ทุกวันนี้มีบริษัทต่างๆอยู่ในตลาดหุ้นประมาณ 350 บริษัท  หลายบริษัทไม่ได้ออกเพียง warrant เดียว  แต่มีการออกถึง 3-4 warrants  สมมุติว่าบริษัททั้งหลายออก Warrantเฉลี่ยบริษัทละ 2 warrants  ต่อไปตลาดหุ้นก็จะมีWarrantsรวมกันถึง 700 warrants ..Warrant และ Covered warrant หาใช่เรื่องที่แสดงถึงความทันสมัยของตลาดหุ้นแต่อย่างใดไม่  ไม่ใช่เห็นช้างขี้แล้วต้องขี้ตามช้าง  ตาม แบบอย่างตลาดหุ้นยุโรปหรืออเมริกา  ผู้เขียนสงสัยแต่แรกแล้วว่าCovered warrantของกระทรวงการคลัง(ผลพวงจากมาตราการ 14 สิงหาคม 2541) จะทำให้ได้เงินตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่  หรือสถาบันการเงินจะสามารถมาซื้อสิทธิคืนได้หรือไม่  หากมันไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้  มันก็เสียหาย  ภาระนั้นก็จะกลายมาเป็นภาระของประชาชน  กลายเป็นหนี้สาธารณะ  ทำให้สาธารณะเป็นเจ้าของสถาบันการเงินเน่าๆแต่อย่างเดียว  Warrant มันดีสำหรับเจ้าของหรือผู้บริหารเท่านั้น  ทำให้เขาสมารถปั่นหาประโยชน์ส่วนตนจากเรื่องนี้ได้  ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อตัวบริษัท  เพราะเขาไม่คิดจะหาทุนด้วยวิธีนี้อย่างจริงจัง  นักลงทุนเสียหายกับเรื่องอย่างหนัก  ประเทศชาติต้องมาเสียหายกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้นไปอีก  เพราะมันเป็นขนวนอย่างหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนสูงนั่นเอง

วิจารณ์..
ท่าทีของผู้บริหารตลาดหุ้นแสดงให้เห็นว่าอยากให้เอกชนมี Good Corporate Governance ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี  แต่ผู้บริหารตลาดหุ้นเองนั่นเองที่ทำให้เกิด Bad Corporate governance  เช่นเรื่องให้มีการออก Warrant  ดังนั้นการที่ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร  อยู่ที่วิสัยทัศน์และจริยธรรมของผู้ดูแลตลาดหุ้นเป็นสำคัญ  ควรคิดช่วยทำให้ตลาดหุ้นมีเสถียรภาพจะดีกว่า  การตั้งบรรษัทภิบาลแห่งชาติ  เป็นการตั้งหน่วยงานแบบซ้ำซ้อน  ซึ่งงานดังกล่าวก.ล.ต. และ ต.ล.ท. ก็ทำได้อยู่แล้ว  ทำไมต้องตั้งขึ้นมาซ้ำซ้อนกันอีก  และกรรมการของบรรษัทภิบาลแห่งชาติ  ก็คนหน้าเดิมที่บริหารตลาดเงินและตลาดทุนนั่นเอง  

ปัญหาหลักของตลาดหุ้นไทยไม่ได้อยู่ที่เรื่อง Good Corporate Governance  แต่อยู่ที่ความไม่มีเสถีรภาพของตัวตลาดหุ้นเองมากกว่า(ย้ำว่าปัญหาหลัก) สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอมาตลอดคือปัญหาทางเทคนิคของตลาดหุ้น ..SET Index ของตลาดหุ้นสร้างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ  ทำให้มันเป็นค่าตัวกลางที่ไม่ถูกต้อง  และทำให้มันอ่อนแอสูง  เมื่อมันอ่อนแอก็จะทำให้มันถูกปั่นได้ง่าย  ผู้เขียนติดตามดัชนีตลาดหุ้นและตลาดหุ้นมาทั่วโลก  พบว่าตลาดหุ้นที่ดัชนีอ่อนแอสูงล้วนก่อให้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศนั้นทั้งสิ้น หากได้ปรับปรุงการคำนวณดัชนีให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ  ก็จะทำให้ดัชนีกลายเป็นค่าตัวกลางที่ถูกต้อง  มีความแข็งแรงขึ้น  และถูกปั่นได้ยากขึ้น  และเรื่องการปรับปรุงดัชนีให้ถูกต้องก็ไม่ต้องใช้เงินแต่อย่างใด  หากไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร  ก็ถามผู้เขียนได้  แล้วจะบอกว่าจะต้องทำอย่างไร

เมื่อมีการตั้งบรรษัทภิบาลแห่งชาติขึ้นมาแล้ว  ต้องได้มีการประชาสัมพันธ์ให้คนเชื่อ  และจะกลายเป็นกระแสขึ้นมาอย่างง่ายดาย  ใครๆก็พูดถึงบรรษัทภิบาลแห่งชาติ  ราชการก็ต้อง good governance นักการเมืองก็ต้อง good governance  เอกชนก็ต้อง good governance ..และก็ good governance กันทั้งประเทศ  แล้วประเทศจะรุ่งโรจน์อย่างที่คิดจริงหรือ?  ในเมื่อยังมีสิ่งผิดปกติอยู่ในระบบ  ปรัชญาการบริหารตลาดหุ้นยังน่าเป็นห่วง  ความเสียหายของตลาดหุ้นไม่ได้เสียหายเฉพาะตัวตลาดหุ้นและคนเล่นหุ้นเท่านั้น  แต่มันเสียหายถึงประเทศชาติและประชาชนโดยรวมด้วย  ตลาดหุ้นไทยคือจุดอ่อนของประเทศไทย ..ก.ล.ต. และ ต.ล.ท. พึงระมัดระวังเรื่องนี้ให้มาก

สรุป..
1) ตลาดหุ้นโลก  ฟื้นตัวทั่วทั้งภูมิภาคแล้ว  แต่มีบางประเทศที่แสดงให้เห็นว่าจะยังคงมีปัญหาต่อไปในอนาคต  เช่น Argentina  Turkey และ Thailand ฯลฯ
2) องค์กรและเครื่องมือที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะหรือไม่ตรงประเด็นต่อการแก้ปัญหาในตลาดหุ้นได้แก่ ..บรรษัทภิบาลแห่งชาติ  ..Opportunity Fund และ Cerberus Fund ..รวมทั้ง Warrant และ Covered Warrant ..ย้ำว่าไม่ตรงประเด็น  ไม่มีศักยะภาพ  และกระตุ้นให้มีการเก็งกำไรสูง
3) เครื่องมือตัวเก่าที่ก่อให้เกิดความอ่อนแอในตลาดหุ้น ที่อยู่คู่ตลาดหุ้นตั้งแต่มีตลาดหุ้น  คือ SET Index ผันผวนสูง  อ่อนแอสูง  เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการปั่นหุ้นเป้นอย่างดี  น่าจะปรับปรุงแก้ไขอย่างยิ่ง  แต่ก็ไม่มีการไหวติงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

สิ่งที่พึงระวัง  แม้โลกจะดีขึ้น  อเมริกาก็ดีขึ้น  ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศอื่นๆหรือประเทศไทยจะดีขึ้นตาม  ดังที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายเข้าใจ  หากปัญหาของประเทศใดยังคงอยู่  หรือหากปรัชญาการแก้ปัญหาของประเทศใดยังคงไม่ถูกต้อง  ประเทศนั้นๆก็หาได้เป็นไปในทางเดียวกันกับโลกหรือกับของอเมริกาแต่อย่างใดไม่  แต่ความเลวร้ายจะปรากฏขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อภาวะตลาดหุ้นโลกเป็นขาลง


ดัชนีไทย
15 มีนาคม 2545