ผู้เห็นแก่อามิส

       ภิกษุ  ท.!  ภิกษุบริษัทมีสองชนิด. สองชนิดอะไรกันเล่า? สองชนิดคือ ภิกษุบริษัทที่หนักในอามิส แต่ไม่หนักในพระสัทธรรม หนึ่ง, ภิกษุ บริษัทที่หนักในพระสัทธรรม แต่ไม่หนักในอามิส หนึ่ง.

       ภิกษุ ท.! ภิกษุบริษัทหนักในอามิส แต่ไม่หนักในพระสัทธรรม นั้นเป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุ ท.! ใน กรณีนี้  ภิกษุเหล่าใดกล่าวยกยอกันเองต่อหน้า คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนว่า "ภิกษุรูปโน้น เป็นอริยบุคคลชนิด อุภโตภาควิมุตต์,  รูปโน้น  เป็นอริยบุคคลชนิด  ปัญญาวิมุตต์,  รูปโน้น  เป็นอริยบุคคลชนิด  กาย สักขี. รูปโน้น เป็นอริยบุคคลชนิด ทิฏฐิปปัตตะ, รูปโน้นเป็นอริยบุคคลชนิด  สัทธาวิมุตต์,  รูปโน้นเป็นอริยบุคคลชนิด  ธีมมานุสารี,  รูปโน้นเป็นอริยบุคคลชนิด สัทธานุสารี,  รูปโน้นมีศีลมีการเป็นอยู่งดงาม,  และรูปโน้น  ทุศีลมีการเป็นอยู่เลวทราม" ดังนี้เป็น ต้น.  ภิกษุเหล่านั้น  ย่อมได้ลาภ เพราะการกล่าวยกยอกันนั้นเป็นเหตุ. ครั้นได้ลาภแล้ว ภิกษุพวกนั้นก็ พากันติดอกติดใจในรสแห่งลาภ  สยบอยู่ เมาหมกอยู่, ไม่มองเห็นส่วนที่เป็นโทษ ไม่เป็นผู้รู้แจ่มแจ้งใน อุบาย เป็นเครื่องออกไปจากทุกข์ ทำการบริโภคลาภนั้นอยู่

       ภิกษุ ท.! ภิกษุบริษัทอย่างนี้แล เราเรียกว่า บริษัทที่หนักในอามิส แต่ไม่หนักในพระสัทธรรม

๑. บาลี พระพุทธภาษิต ทุก. อํ. ๒๐/๙๓/๒๙๓
๒. อุภโตภาควิมุตต์ ผู้หลุดพ้นโดยส่วนสอง คือผู้ได้วิโมกข์ทั้งแปดด้วย และได้โลกุตตระ ผลในชั้น สิ้นอาสวะด้วย.
๓. ปัญญาวิมุตต์ ผู้สินอาสวะด้วยอำนาจปัญญาเห็นอนัตตาโดยตรง.
๔.  กายสักขี  ผู้มีกายเสวยสุขด้วยนามกายมาแล้วเป็นเครื่องประจักษ์  คือ  เสขบุคคล  ๗ ผู้ ชิมฌานสุขมาแล้ว จึงเห็นทุกข์และบรรลุมรรคผลในขั้นของตน ๆ.
๕.  ทิฏฐิปปัตตะ ผู้บรรลุมรรคผลด้วยอำนาจพิจารณา เห็นอนัตตาในสังขารทั้งหลายซึ่งได้แก่อริย บุคคล นับตั้งแต่ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ไปจนถึงผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค, แต่พอได้บรรลุอรหัตตผล ก็เป็น ปัญญาวิมุตต์ไป.
๖.  สัทธาวิมุตต์  ผู้หลุดพ้นด้วยศัทธาหรือมีศรัทธาออกหน้า  ซึ่งได้แก่ผู้บรรลุมรรคผล  ๗ ใน เบื้องปลาย ด้วยอาศัยอำนาจศรัทธาที่เกิดขึ้นในขณะพิจารณาเห็นอนิจจัง
๗.  ธัมมานุสารี ผู้แล่นไปตามกระแสแห่งธรรม ซึ่งได้แก่ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ด้วยอำนาจ พิจารณาเห็นอนัตตาในสังขารทั้งหลาย, แต่พอได้บรรลุโสดาปัตติผลก็เป็นทิฏฐิปปัตตะไป.
๘. สัทธานุสารี ผู้แล่นไปตามกระแสแห่งศรัทธา ซึ่งได้แก่ผู้ตั้งอยู่โสดาปัตติมรรค ด้วยอำนาจ พิจารณาเห็นอนัตตาในสังขารทั้งหลาย, แต่พอได้บรรลุโสดาปัตติผลก็เป็นสัทธาวิมุตต์ไป.