ผู้เห็นแต่จะทะเลาะวิวาท

       ภิกษุ  ท.! พอที พวกเธอทั้งหลาย อย่าหมายมั่นกันเลย, อย่าทะเลาะกันเลย, อย่าโต้เถียงกัน เลย อย่าวิวาทกันเลย (ดังนี้ถึง ๒-๓ ครั้ง).

       เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว มีภิกษุบางรูปทูลขึ้นว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นธรรมสามี! ขอ พระองค์จงหยุดไว้เถิด พระเจ้าข้า!ขอจงทรงขวนขวายน้อยเถิดพระเจ้าข้า! ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า! ขอจงทรงประกอบในสุขวิหารในทิฏฐธรรมอยู่เถิด พระเจ้าข้า! พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย จักทำให้เห็นดำ เห็นแดงกัน  ด้วยการหมายมั่นกัน  ด้วยการทะเลาะวิวาท ด้วยการโต้เถียงกัน ด้วยการวิวาทกัน อันนี้ เอง" ดังนี้.

       กาลนั้นแล  ในเวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองจีวร ถือบาตร เสด็จเข้าไปสู่เมือง โกสัมพี เพื่อบิณฑบาต.ครั้นทรงเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพีแล้ว ภายหลังภัตตกาล กลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงเก็บบริกขารขึ้นมาถือไว้ แล้วประทับยืนตรัสคาถานี้ว่า :-

       "คนไพร่  ๆ ด้วย ส่งเสียงเอ็ดตะโค แต่หามีคนไหนสำคัญตัวว่า เป็นพาลไม่. เมื่อหมู่แตกกัน ก็ หาได้มีใครรู้สึกเป็นอย่างอื่นให้ดีขึ้นไปกว่านั้นไม่ได้

       พวกบัณฑิตลืมตัว สมัครที่จะพูดตามทางที่ตนปรารถนาจะพูดอย่างไร ก็พูดพล่ามไปอย่างนั้น หาได้นำ พาถึงกิเลสที่เป็นเหตุแห่งการทะเลาะกันไม่.

       พวกใด ยังผูกใจเจ็บอยูว่า "ผู้นั้นได้ด่าเรา ได้ทำร้ายเรา ได้เอาชนะเรา ได้ลักทรัพย์ของเรา", เวรของพวกนั้น ย่อมระงับไม่ลง.

       พวกใด  ไม่ผูกใจเจ็บ  "ผู้นั้นได้ด่าเรา ได้ทำร้ายเรา ได้เอาชนะเรา ได้ลักทรัพย์ของเรา"; เวรของพวกนั้นย่อมระงับได้.

       ในยุคไหนก็ตาม  เวรทั้งหลาย ไม่เคยระงับได้ด้วยการผูกเวรเลย, แต่ระลับได้ด้วยไม่มีการผูก เวร. ธรรมนี้เป็นของเก่า ที่ใช้ได้ตลอดกาล.

       คนพวกอื่น  ไม่รู้สึกว่า  "พวกเราจะแหลกลาญก็เพราะเหตุนี้;  พวกใดสำนึกตัวได้ในเหตุที่มีนั้น ความมุ่งร้ายกันย่อมระงับได้ เพราะความรู้สึกนั้น.

        ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   (ในการทำตามกิเลส)   ยังมีได้แม้แก่พวกคนกักชละ เหล่านั้น  ที่ปล้นเมืองหักแข้งขาชาวบ้าน  ฆ่าฟันผู้คน  แล้วต้นม้า โค และขนทรัพย์ไป; แล้วทำไมจะมี แก่พวกเธอไม่ได้เล่า?

       ถ้าหากไม่ได้สหายที่พาตัวรอด เป็นปราชญ์ ที่มีความเป็นอยู่ดี เป็นเพื่อนร่วมทางแล้วไซร้, ก็จงทำ ตัวให้เหมือนพระราชา ที่ละแคว้นซึ่งพิชิตได้แล้วไปเสีย แล้วเที่ยวไปคนเดียว ดุจช้างมาตังคะ เที่ยวไป ในป่าตัวเดียว ฉะนั้น.

       การเที่ยวไปคนเดียวดีกว่า  เพราะไม่มีความเป็นสหายกันได้  กับคนพลาล พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่ทำบาป; เป็นคนมักน้อย ดุจช้างมาตังคะ เป็นสัตว์มักน้อย เที่ยวไปในป่า ฉะนั้น."

       ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไปยัง พาลกโลณการคาม.

บาลี  พระพุทธภาษิต อุปักกิเลสสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๒๙๕/๔๔๐, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ทิ่ม แทงกันด้วยหากคือปาก  จนภิกษุรูปหนึ่ง ทูลขอร้างให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไประงับเหตุ ณ ที่ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี.