หมู่ซึ่งอยู่เป็นผาสุก

       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ!   ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างไร  จึงชื่อว่าอยู่เป็นผาสุก?"  ท่านพระ อานนท์ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า.

       อานนท์! เมื่อภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลด้วยตนเองแล้ว ไม่กล่าวข่มผู้อื่น ด้วยศีลอันยิ่ง (ของตน). อานนท์! ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ จึงชื่อว่าอยู่เป็นผาสุก.

       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ปริยายอื่นยังมีอีกหรือไม่ ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างไร จึงชื่อว่าอยู่เป็น ผาสุก?"

       อานนท์! มีอยู่ : เมื่อภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยตนเองแล้ว ไม่กล่าข่มผู้อื่นด้วยศีลอันยิ่ง ประ การหนึ่ง;  และยังเป็นผู้คอยจ้องดูตนเอง  ไม่มัวเพ่งดูคนอื่น  อีกประการหนึ่ง. อานนท์! ภิกษุสงฆ์อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ จึงชื่อว่า อยู่เป็นผาสุก.

       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปริยายอื่นยังมีอีกหรือไม่ ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างไร จึงชื่อว่าอยู่เป็น ผาสุก?"

       อานนท์!  มีอยู่  : เมื่อภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยตนเองแล้ว ไม่กล่าวข่มผู้อื่นด้วยศีลอันยิ่ง, เป็นผู้คอยจ้องดูตนเอง  ไม่มัวเพ่งดูคนอื่น  ;  และยังเป็นผู้ไม่ปรากฏชื่อเสียง ก็ไม่กระวนกระวายใจ เพราะความไม่ปราฏชื่อเสียงนั้น อีกประการหนึ่ง. อานนท์! ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ จึงชื่อว่าอยู่ เป็นผาสุก.

       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปริยายอื่นยังมีอีกหรือไม่ ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างไร จึงชื่อว่าอยู่เป็น ผาสุก.

       อานนท์!  มีอยู่  : เมื่อภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยตนเองแล้ว ไม่กล่าวข่มผู้อื่นด้วยศีลอันยิ่ง, เป็นผู้คอยจ้องดูตนเอง  ไม่มัวเพ่งดูคนอื่น  ;  และยังเป็นผู้ไม่ปรากฏชื่อเสียง ก็ไม่กระวนกระวายใจ เพราะความไม่ปราฏชื่อเสียงนั้น และยังได้เป็นผู้ได้ตามต้องการ ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งฌานสี่ อัน เป็นธรรมเป้นไปในจิตอันยิ่ง  เป็ฯธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม  อีกประการหนึ่ง. อานนท์! ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ จึงชื่อว่าอยู่เป็นผาสุก.

       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปริยายอื่นยังมีอีกหรือไม่ ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างไร จึงชื่อว่าอยู่เป็น ผาสุก.

       อานนท์! มีอยู่ : เมื่อภิกษุเป็นผู้สมบูรณืด้วยศีล ด้วยตนเองแล้ว ไม่กล่าวข่มผู้อื่นด้วยศีลอันยิ่ง เป็น ผู้คอยจ้องดูตนเอง  ไม่มั่วเพ่งดูคนอื่น, เป็นผู้ยังไม่ปรากฏชื่อเสียง ก็ไม่กระวนกระวายใจพระความไม่ ปรากฏชื่อเสียงนั้น,เป็นผู้ได้ตามต้องการ  ได้ไม่ยาก  ได้ไม่ลำบาก  ซึ่งฌานสี่ อันเป็นธรรมเป็นไปในจิตอันยิ่ง เป็นธรรม เครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม;  และยังเป็นผู้ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตต อันหาอาสวะมิด้ เพราะ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้วแลอยู่ อีกประการหนึ่ง. อานนท์! ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ จึงชื่อว่าอยู่เป็นผาสุก. อานนท์! เรากล่าวว่า ธรรมเครื่องอยู่ ผาสุกอื่นซึ่งสูงกว่า หรือประณีตกว่าธรรมเครื่องผยู่ผาสุก (คือการทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ) นี้ หามีไม่เลย.

บาลี พระพุทธภาษิต ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๕๐/๑๐๖, ตรัสแก่ท่านพระอานนท็ ที่โฆสิตาราม.