วัดธาตุทอง วัดที่พัฒนามาพร้อมกับชุมชนชาวพระโขนง กรุงเทพฯ

วัดธาตุทอง

 

ปี๒๔๘๐ รัฐบาลต้องการที่ตำบลคลองเตย ริมแน่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ วัดหน้าพระธาตุและวัดทอง ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นจึงถูกเวนคืนทั้ง ๒ วัด โดยรัฐบาลชดใช้เงิน ให้เพื่อไปรวมกับวัดอื่นหรือไปสร้างวัดใหม่

เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต (พระวริชญารวงศ์ วัดบวรนิเวศ) เห็นว่าควรหาที่สร้างใหม่เพราะวัดไม่ใช่มีมากเกินไป บางตำบล บางอำเภออาจมีมาก และบางแห่งอาจมีน้อย คณะกรรมการจึงเลือก ได้ที่ริมถนนสุขุมวิท มีเนื้อที่ ๕๐ ไร่ ๘๒ ตารางวา

ปี ๒๔๘๑ ได้เริ่มรื้อย้ายศาลา กุฎีเพื่อนำตัวไม้ไปปลูกในที่ใหม่ เริ่มสร้างจากของเก่าผสมของใหม่จึงไม่ใช่วัดเก่าและวัดใหม่ ชื่อวัด เจ้าคณะ ใหญ่เห็นว่าควรสร้างรวมเป็นวัดเดียวกัน จะแยกเป็น ๒ วัตามเดิมก็ไม่เหมาสมจึงรวมชื่อวัดทั้ง ๒ เป็นวัดธาตุทอง ซึ่งมาจากวัดหน้าพระธาตุและวัดทอง นำชื่อท้ายของวัดมาตั้ง ซึ่งก็เหมาสมด้วประการ ทั้งปวง

วัดหน้าพระธาตุเป็นวัดเก่า ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ความสำคัญก็คือมีพระธาตุประมาณอายุไม่ได้   วัดทอง สร้างมาประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ ในสวนของนายทองซึ่งมีต้นโพธิ์เกิดขึ้นกลางสวนจึงมอบถวายที่สวนสร้างวัด ตั้งชื่อว่า วัดทอง ตามชื่อของนายทอง บางคราวก็เรียกว่า วัดสุวรรณ วัดโพธิ์สุวรรณ และผลสุดท้าย ก็คงเรียกง่ายๆ ว่าวัดทอง เพราะอยู่ตรงข้ามกับวัดเงิน

วัดธาตุทองได้เริ่มก่อสร้างมาตามลำดับ และเริ่มมีภิกษุสามเณรจำพรรษาเป็นครั้งแรก ในปี ๒๔๘๒ และได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา ในปี ๒๔๘๓

พระมหานพ อังกุรปัญโญ ซึ่งได้รับมอบหมายให้มารักษาการเจ้าอาวาสวัดธาตุทอง และดูแลควบคุมการก่อสร้างวัด บันทึกไว้ว่าสถานท ี่ตั้งของวัดธาตุทองสมัยนั้นเป็นท้องนาห่างไกลจากชุมชน การนำเอาเครื่องก่อสร้างซึ่งใช้ได้มา ปลูกเป็นกุฎี ศาลาการเปรียญ นั้นสำเร็จได้โดยไม่ยาก แต่การก่อสร้างพระอุโบสถซึ่งเป็นถาวรวัตถุสำคัญนั้น ลำพัง พระธรรมดาคงสร้างได้ยาก และคงไม่สำเร็จเพราะต้องใช้ทุนมาก จะได้มาจากไหน ก่อนสงครามของถูก หลังสงคราม ก็น่าจะถูกเทียบกับสงครามครั้งที่ ๑ แต่ครั้งที่ ๒ กลับตรงกันข้ามคือของแพงขึ้น แต่ได้คุณโยมอุปัฏฐากคือคุณพระ เจนสถลรัถย์ และคุณนายแดง ภูมิจิตร รวมทั้งลูกหลานญาติมิตร ได้ชักชวนประชาชน ร่วมใจร่วมแรง ยอมเสียสละ จัดงานวางศิลาฤกษ์สร้างอุโบสถขึ้น เป็นเวลา ๕ วัน ๕ คืน เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๐ เวลา ๑๐. ๐๐ น. ได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นประทานลงเสาเข็ม หล่อตั้งเสาคอน กรีตเป็นรูปร่าง

ครั้นต่อมาวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๘ ได้มีพิธียกช่อฟ้าอุโบสถ วันที่ ๒ - ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ มีพิธีผูกพันธสีมา ฝังลูกนิมิตอุโบสถ  โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฐายีมหาเถระ) เป็นประธาน พร้อมพระมหาเถรานุเถระ

พระอุโบสถวัดธาตุทองใช้เวลาก่อสร้างนานถึง ๑๕ ปี เป็นพระอุโบสถใต้ถุนสูง มีซุ้มประตู และกำแพงล้อมรอบ ภายในบริเวรมีหอประชุม(ทอง - เหรียญ วงศ์ทองศรี) หอระฆัง ศาลาบำเพ็ญกุศล และลานกว้างสำหรับประกอบ งานพิธีทางพระพุทธศาสนา ส่วนพระวิหารอยู่ใกล้กับพระอุโบสถ มีถนนผ่านกลางมีศาลาทรงไทยสำหรับ ประกอบพิธีทางศาสนาและงานทำบุญประจำปีให้บรรพบุรุษในช่วงสงกรานต์

สถานสำคัญภายในพื้นที่ของวัดแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ

๑. เขตสังฆวาส  ประกอบด้วย กุฎี ที่อยู่และจำพรรษาของพระภิกษุและสามเณร  ห้องสมุดอวยพร ปัตตพงศ์ และ โรงเรียนพระปริยัติธรรม

๒. ส่วนการศึกษา เป็นที่ตั้งของสถานรับเลี้ยงเด็ก พีระยา- นาวิน ศูนย์วัดธาตุทอง  โรงเรียนอนุบาลวัดธาตุทอง โรงเรียนประถมวัดธาตุทอง ( เรือนเขียวสะอาด)  โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง แยกเป็น มัธยมต้นและมัธยมปลาย ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานธาตุทอง และห้องสมุดคุณ แม่จาด รักวิทยาศาสตร์

๓. ส่วนฌาปนสถาน ประกอบด้วย เมรุ ศาลาบำเพ็ญกุศล ศาลาบรรจุศพ ลานจอดรถ และบ้านพักเจ้าหน้าที่ - พนักงานและครอบครัว

๔. ส่วนสาธารณะประโยชน์ด้านหน้า ประกอบด้วย ศูนย์บริการสาธารณะสุขที่ ๒๑ วัดธาตุทอง (อาคารคุณพ่อ ไต้ล้ง คุณ แม่เช็ง พรประภา) ลานจอดรถ และลานกีฬาของศูนย์เยาวชนวัดธาตุทอง หอพระอภิบาลปวงชน ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างซุ้มประตูทางเข้าวัดทั้งสองด้าน

วัดธาตุทอง เติบโตมาพร้อมๆ กับชาวพระโขนง เป็นที่พึ่งของประชาชนตั้งแต่เกิด เติบโต เจ็บไข้ และตาย พระธรรมปาโมกข์เป็นแกนนำในการสร้างวัด และร่วมกับประชาชนช่วยกันพัฒนามาตลอดชีวิตของท่าน ในท้ายประวัติวัดธาตุทอง ท่านได้เขียนไว้ว่า

"วัตถุเครื่องก่อสร้างที่สำเร็จเป็นหลังๆ ไปนั้นเมื่อเห็นตอนสำเร็จแล้วก็รู้สึกว่าหาได้ง่ายไม่ยากลำบากอะไร แต่ความจริงแล้วยากลำบากที่สุด เช่น พระอุโบสถกว่าจะผูกพัทธสีมา ได้ต้องใช้เวลาถึง ๑๕ ปี ทำให้น่ากลัวไปต่างๆ นานา เพราะผู้สร้าวงโบสถ์ หากไม่ตายเร็ว ก็รวยเร็ว แต่ก็ไม่ตาย และไม่รวย จึงต้องอาศัยเวลานาน ซึ่งต้องอดทนทุกอย่าง ที่ว่าเป็นบุญเป็นกุศล ก็คงเนื่องจากว่าทนได้นี่เอง"

"ความสำคัญของวัดนี้ไม่มีอะไรมากนัก จากภาพที่ปรากฏท่านทั้งหลายก็คงเห็นอยู่แล้ว มีโรงเรียน มีศูนย์สาธาระสุข มีฌาปนสถาน มีโบสถ์ มีวิหาร มีโรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร มีกุฏี ศาลา ถนนพอสมควร เป็นที่พำนักของพระภิกษุสามเณร

พระภิกษุสามเณรจึงควรเป็นพระภิกษุสามเณรจริงๆ มิใช่แต่เพียงบวชเฉยๆ โดยประพฤติตนให้สมกับอยู่ในวัด คือ

๑. ควรมีกิริยามรรยาทน่าเลื่อมใส ทั้งในและนอกวัด

๒. แม้ไม่ต้องการไปนิพพาน ก็ควรดับกิเลส อย่าให้ฟุ้งกระจายออกมา

๓. มีความรู้และความสามารถดี

๔. มีความประพฤติงดงาม เชื่อถือได้ทั้งในเวลาเป็นบรรพชิตและลาสิกขาแล้ว

๕. รักษาวัดให้สะอาด และมั่นคง เป็นสมบัติของคนรุ่นต่อไป

๖. ไม่ประพฤติในสิ่งอันจะทำลายความเป็นพุทธศาสนิกชน

๗. เพศของบรรพชิตจึงควรบริสุทธิ์ เมื่ออยู่ต้องให้เป็นพระเณรอยู่ไม่ได้ก็ลาเพศออกไปเองไม่อยู่ให้รกวัด

๘. หน้าที่ของบรรพชิต คือความไม่ลืมตัวหรือเห็นแก่ตัว

๙. ควรทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนตามสมควร อย่าเห็นแก่ความสุขสบาย เพราะชีวิตที่แท้จริง คือ การเสียสละ วัดจึงเหมือนสถานที่ของผู้บำเพ็ญบานมีธรรม "

Aram Boy Group 2006