ตอน : พบสามพราหมณ์และนางผีเสื้อสมุทร
 
พระอภัยเป่าปี่ให้ ๓ พราหมณ์ฟัง

พระอภัยมณีและศรีสุวรรณเดินทางมาจนถึงชายฝั่งทะเล ได้พบกับพราหมณ์หนุ่มสามคน
เมื่อพราหมณ์ทั้งสามทราบว่าเป็นลูกกษัตริย์ ก็แสดงความนอบน้อม
 
๏ ดรุณพราหมณ์สามคนได้แจ้งอรรถ ว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ไม่สงสัย
ประณตนั่งบังคมขออภัย พระอย่าได้ถือความข้าสามคน
ซึ่งพระองค์สงสัยจึงไต่ถาม จะทูลความให้แจ้งแห่งนุสนธิ์
ข้าชื่อ วิเชียร โมรา เจ้าสานน ทั้งสามคนคู่ชีวิตเป็นมิตรกัน
แสวงหาตั้งเพียรเพื่อเรียนรู้ ได้เป็นคู่ศึกษาวิชาขยัน
ได้รู้เรียกลมฝนคือคนนั้น ข้าแข็ง ขันยิงธนู สู้ไพริน
ยิงออกไป ได้ทีละเจ็ดลูก จะให้ถูกตรงไหน ก็ได้สิ้น
คนนั้นผูกเรือยนต์แล่นบนดิน อยู่บ้าน อินทคาม ทั้งสามคน ๚

พราหมณ์ทั้งสามพอจะเข้าใจถึงประโยชน์ของในวิชากระบี่กระบองที่ศรีสุวรรณร่ำเรียนมา
แต่ยังสงสัยว่าเหตุใดพระอภัยมณีจึงไปเรียนการเป่าปี่ พระอภัยมณีจึงตอบไปว่า
 
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
๏ ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพณาสิณฑ์
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
๏ ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญา จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง ๚

จากนั้นพระอภัยมณีก็หยิบปี่ขึ้นมาเป่าให้พราหมณ์ทั้งสามฟัง
 
๏ ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุบผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่เลย ๚
๏ พระจันทรจรสว่างกลางโพยม ไม่เทียบโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน ๚
๏ เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง สำเนียงเพียงการเวกกังวานหวาน
หวาดประหวัดสตรีฤดีดาล ให้ซาบซ่านเสียงสดับจนหลับไป ๚
๏ ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่ ฟังเสียงปี่วาววับก็หลับไหล
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทราย ๚

บริเวณใกล้เนินทรายใต้ต้นไทรนั้นมีผีเสื้อยักษ์อาศัยอยู่ใต้สมุทร ซึ่งนางกำลังออกหาอาหารในยามเย็น.....
ได้ฟังเสียงปี่ก็ตามเสียงปี่มาจนพบพระอภัยมณีเข้าก็หลงทันที นางรำพันถึงถึงพระอภัยมณีว่า ....
 
๏ ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง
ถ้าแม้นได้กับกูเป็นคู่ครอง จะตระกองกอดแอบไว้แนบเนื้อ
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ
ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง
อุตลุดผุดทะลึ่งขึ้นตึงตัง โดยกำลังโลดโผนกระโจนโจม

แล้วนางก็สะกดพระอภัยมณีแล้วลักพาไปไว้ในถ้ำใต้สมุทร จากนั้นก็แปลงกายเป็นสาวสวยคอยรับใช้คอยนวดเฟ้นอยู่
เมื่อพระอภัยมณีฟื้นขึ้นมาก็รู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ เพราะนัยตาไม่มีแวว จึงบอกนางว่าเรานั้นต่างเผ่าพันธุ์กันจะอยู่กันได้อย่างไร
นางผีเสื้อได้ฟังน้ำเสียงของพระอภัยฯ ก็เกิดหลงรักขึ้นมาอีกจึงกล่าวว่า
 
๏ อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว
ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด
แม่เจ้าเอยคิดมาน่าหัวร่อ เห็นเค้าง้อแล้วยิ่งว่าไม่ปราศรัย
พลางแกล้งทำสะบัดสะบิ้งทิ้งสไบ ร้อนเหมือนใจจะขาดประหลาดนัก
แล้วแกล้งทำสำออยพูดอ้อยอิ่ง เข้าแอบอิงเอนทับลงกับตัก
ยิ่งถอยหนีก็ยิ่งตามด้วยความรัก ยิ่งพลิกผลักก็ยิ่งแอบแนบอุรา ๚

พระอภัยมณีก็ตกใจและรำคาญเป็นอย่างมาก จึงถีบนางยักษ์ตกจากแท่น
แต่นางยักษ์ก็ไม่ยอมละความพยายามตามตื้อจนถึงที่สุด
 
๏ เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแชะชิด
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพร่องกระแพร่ง ปักเป้าแทงตะละทีไม่มีผิด
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด ประกบติดตกผางลงกลางดิน ๚

 พระอภัยมณีจำต้องทนอยู่กินกับนางผีเสื้อจนมีลูกชายชื่อสินสมุทร ซึ่งต่อมาสินสมุทรก็จับเงือกมาให้พ่อเล่น
แล้วพวกเงือกเหล่านั้นก็พาพระอภัยมณีและสินสมุทร์หนีนางผีเสื้อยักษ์ไปตั้งหลักที่ เกาะแก้วพิสดาร