ฝ่ายศรีสุวรรณกับพราหมณ์ทั้งสาม
เมื่อตื่นขึ้นมาไม่พบพระอภัยก็เที่ยวตามหา
เมื่อพบรอยเท้าผีเสื้อยักษ์ก็ตกใจ
จนพราหมณ์ทั้งสามต้องช่วยกันปลอบโยน
๏ อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก | สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย |
ซึ่งเกิดเหตุเชษฐาเธอหายไป | ก็ยังไม่รู้เห็นว่าเป็นตาย |
ควรจะคิดติดตามแสวงหา | แล่นนาวาไปในวนชลสาย |
แม้นพระพี่มิม้วยชีวาวาย | ก็ดีร้ายจะได้พบประสพกัน ๚ |
แล้วพราหมณ์โมราก็ผูกหญ้าฟางขึ้นเป็นสำเภา
โดยพราหมณ์สานนชี้ทางให้ไปทิศอาคเนย์ แล้วทั้งหมดก็ลงเรือไป
๏ เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา | กษัตราจะได้คู่ที่สู่สม |
สำเภาน้อยลอยแล่นมาตามลม | ลุอุดมรมจักรนัครา |
ที่ตรงหน้าธานีนั้นมีเกาะ | เรือจำเพาะเข้าออกตามซอกผา |
เห็นหอคอยลอยลิ่วตรงทิวตา | ก็รู้ว่าปากน้ำเป็นสำคัญ ๚ |
ศรีสุวรรณได้ปลอมตัวเป็นพราหมณ์เข้าเมืองรมจักร
แล้ววันหนึ่งศรีสุวรรณก็ได้พบนางเกษรา ธิดากรุงรมจักร
ด้วยวันนั้นนางเกษราได้นั่งวอมาเก็บดอกไม้
ตามคำแนะนำของพระพี่เลี้ยง ซึ่งประสงค์จะให้ธิดาเจ้าเมืองได้พบกับชายรูปงาม
๏ พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ | หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย |
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ | แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา |
ทั้งสี่นางต่างเมินทำเดินเฉย | แกล้งแหงเงยดูดวงพวงบุปผา |
พราหมณ์ทั้งสี่พี่เลี้ยงเมียงมองเห็นสองรา | ต่างก็ว่าเข้าช่องแล้วน้องเรา ๚ |
รักแรกพบทำให้นางเกษราถึงกับลืมดอกไม้ที่เก็บไว้
ส่วนพราหมณ์ปลอมศรีสุวรรณก็คิดถึงนางจนนอนไม่หลับ
๏ มองดูเดือนเหมือนวงนลาฏน้อง | ช่างผุดผ่องพาจิตพิสมัย |
รื่นรื่นกลิ่นลำดวนรัญจวนใจ | เหมือนเข้าใกล้กลิ่นนางเมื่อกลางวัน |
๏ ให้เคลิบเคล้นเห็นเงาเสาตำหนัก | ว่านงลักษณ์ลงขยับจะรับขวัญ |
ไฉนน้องมองเมียงอยู่เพียงนั้น | ขอเชิญขวัญเนตรนั่งบัลลังรัตน์ ๚ |
ทางฝ่ายเกษราเอง เมื่อกลับจากชมสวนก็เก็บตัวเงียบ
แล้วพี่เลี้ยงทั้งสี่ก็หยอกเย้าและกล่าวเป็นเพลงขับกล่อมบรรทมว่า
๏ ว่าปางหลังยังมีเจ้าพราหมณ์น้อย | โฉมแฉล้มแช่มช้อยดังเลขา |
ทั้งผิวเหลืองเรืองรองดังทองทา | เที่ยวเสาะหานุชนางมาทางไกล |
เวลาค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | พ่อโฉมงามพราหมณ์น้อยจะนอนไหน |
สตรีงามสามพบไม่สบใจ | จะใคร่ได้ดอกฟ้าลงมาเชย ๚ |
รุ่งขึ้นเมื่อสี่พระพี่เลี้ยงมาที่สวนขวัญอีก
ก็พบเพลงยาวซึ่งเขียนบนใบตองอ่อน
แซมด้วยดอกรักดอกโศก จากพราหมร์ปลอมศรีสุวรรณไปฝากพระธิดา
๏ พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อน | มาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย |
จนลงเอยอ่านต้นไปชนปลาย | ไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง |
เอาโศกแซมแกมรักสลักหนาม | เหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง |
พี่เลี้ยงรับพับใส่ไว่ในซอง | แล้วว่าน้องหวังพี่เป็นที่อิง ๚ |
๏ ทุกวันนี้วันนี้มีผ้าจำเพราะผืน | ถ้ากลางคืนหนาวได้แต่ไฟผิง |
ถ้าแม้นหม่อมกรุณาเมตตาจริง | ช่วยว่าวิงวอนทูลพระธิดา |
ประทานสีที่ห่มมาชมสวน | ควรมิควรขอประทานซึ่งโทษา |
แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษรา | ฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ๚ |
เนื้อความในเพลงยาวก็เล่าถึงความจริง
ว่าตนเป็นหน่อกษัตริย์จากกรุงรัตนา
แต่จำต้องรอนแรมมาถึงกรุงรมจักร
คงเป็นเพราะบุญบันดาลให้ได้มา
จึงขอความปรานีจากพระธิดาได้เมตตามิให้ร่อนเร่พเนจรอีกดังนี้
๏ นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อน | เห็นโศกซ้อนแกมรักสลักหนาม |
ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์ | แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน |
ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์ | บุรีรัตนามหาสวรรย์ |
สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์ | สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร |
พยายามข้ามมหามหรรณนพ | หวังประสบวรนุชสุดสงสาร |
มาอาศัยในสวนอุทยาน | บุญบันดาลดลจิตพระธิดา ๚ |
ช่วงนั้นท้าวอุเทนกษัตริย์เมืองชะวามาสู่ขอนางเกษรา
แต่ท้าวทศวงศ์ไม่ยอมยกให้ เนื่องจากเป็นคนต่างชาติ
ท้าวอุเทนโกรธ จึงยกทัพมาตีเมืองรมจักร
ศรีสุวรรณและพราหมณ์ทั้งสาม อาสาสู้ศึกได้ชัยชนะ
เมื่อเสร็จศึกรบแล้ว แต่ศึกในทรวงของศรีสุวรรณยังไม่สงบ
ท้าวทศวงศ์ได้ประทานรางวัลให้ทหารหาญทั้งหลาย
โดยเฉพาะพราหมณ์ทั้งสี่ แต่เหล่าพราหมณ์ไม่ยอมรับ
๏ ขอคืนไว้ในท้องพระคลังหลวง | ข้าทั้งปวงพี่น้องไม่ไต้องประสงค์ |
ซึ่งอาสามาประจญรณรงค์ | หวังพระองค์ทรงฤทธิ์เหมือนบิดา ๚ |
๏ ด้วยท่องเที่ยวเปลี่ยวอกเหมือนนกไร้ | ไม่มีไม้รวงรังเป็นฝั่งฝา |
อันโฉมงามพราหมณ์น้อยผู้น้องยา | ขอฝากไว้ใต้ฝ่าบาทบงส์ ๚ |
ท้าวทศวงศ์ได้ฟังดังนั้นว่าพราหมณ์ผู้กล้าคิดกระไรอยู่
แต่ยังไม่สนิทใจที่จะยกพระธิดาให้
ต่อมาพระธิดาก็ได้รับเพลงยาวเอ่ยคำลา
จากพราหมณ์ปลอมศรีสุวรรณว่า
๏ โอ้อนาถวาสนาพี่หาไม่ | จึงมิได้ชิดเชื้อแม่เนื้อหอม |
เหมือนมดแดงแฝงพวงมะม่วงงอม | เที่ยวไต่ตอมเต็มอยู่ไม่รู้รส |
พี่รักเจ้าเอาชีวาเข้ามาแลก | ช่วยรบแขกแตกทัพกลับไปหมด |
มาอยู่วังตั้งเดือนดูเหมือนมด | ละอายอดสูใจกระไรเลย ๚ |
เมื่อพระธิดาอ่านเพลงยาวจบก็ถึงกับเป็นลมแน่นิ่งไป
หมอหลวงก็รักษาไม่ไหว ต้องตามพราหมณ์ทั้งสี่มารักษา
อาการของพระธิดาก็ดีขึ้นเป็นลำดับ
ด้วยวิสัยทัศน์ของท้าวทศวงศ์และมเหสีก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้
๏ ศรีสุวรรณมาค้างอยู่ปรางศ์มาศ | ถ้าพลั้งพลาดก็จะพลอยให้ถอยศักดิ์ |
จงเสกสองครองกรุงบำรุงรัก | ถ้าหน่วงหนักนานไปจะให้อาย ๚ |
จากนั้นก็มีพระราชพิธีราชาภิเษกและสยุมพร
เจ้าฟ้าศรีสุวรรณและพระราชธิดาเกษรา
ขึ้นอย่างถูกต้องตามขัตติยประเพณีทุกประการ
โดยมีสามพราหมณ์เป็นที่ปรึกษา
เมื่อถึงฤกษ์ส่งตัว พระมเหสีแห่งกรุงรมจักรได้สั่งสอนพระธิดาดังนี้
๏ อย่าถือองค์นงลักษณ์ว่าอัครเรศ | แม่ดวงเนตรนึกว่าเหมือนทาสี |
ต้องซื่อตรงจงรักด้วยพักดี | ถึงราตรีกราบบาทอย่าขาดวัน ๚ |
๏ ถ้าเธอกริ้วแม่อย่าโกรธพิโรธตอบ | ประณตนอบโอนอ่อนค่อยผ่อนผัน |
อนึ่งเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | อย่าป้องกันหึงหวงให้ล่วงเกิน ๚ |
๏ เมื่อเธอทุกข์ปลุกให้พระทัยชื่น | อย่าเริงรื่นเริศร้างทำห่างเหิน |
ราชการภารธุระอย่าละเมิน | จึงเจริญราศรีไม่มีมัว ๚ |
๏ อันหญิงดีเพราะผลปรนนิบัติ | รักษาสัตย์สู้ม้วยอยู่ด้วยผัว |
ผัวยิ่งรักหนักหญิงก็ยิ่งกลัว | อย่าถือตัวต่อชายจะหน่ายใจ |
๏ คำของแม่แต่เท่านี้ก็ดีนัก | บุรุษรักไม่มีที่สงสัย |
ดึกอยู่แล้วแก้วตาจงคลาไคล | แม่จะไปส่งเจ้าลำเพาพาล ๚ |