>>>
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ณ
>>>ประเทศที่มีรอยยิ้มมากที่สุดในโลกที่สาม >>>
>>>มีศาลาว่าการจังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งประชาชนมาติดต่อราชการกันมากมาย
>>>บรรดาพ่อค้าทั้งหลายต่างพากันยื้อแย่งแข่งขันเพื่อสัมปทานขายอาหารที่นี่
>>>และ...เนื่องจากเรื่องนี้เป็นนิทาน
>>>ทางจังหวัดจึงอยากให้การชิงสัมปทานเป็นไปด้วยความยุติธรรม
>>>ดังนั้นงานประจำปีจึงถูกจัดขึ้นเพื่อให้ร้านค้ามาขายประชันกัน
>>>น่าแปลกใจที่นับแต่อดีต ร้านที่มาแข่งขันต่างก็ขายแต่
>>>"ข้าวมันไก่"
>>>ซึ่งทางจังหวัดไม่สามารถแก้ไขได้แม้จะใช้มาตการต่างๆ
>>>เช่น >>>ตั้งกองทุน SMEข้าวหมูแดง
หรือจัดสัปดาห์ข้าวหน้าเป็ด
>>>ถึงกระนั้นบรรดาพ่อค้าก็ยังคงยืนยันจะขายข้าวมันไก่อยู่นั่นเอง
>>> >>>แล้วงานประจำปีก็มาถึง
>>>แต่ละร้านเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น
>>>ร้าน "ความหวังไก่" ที่มีพ่อค้าเป็นทหารเก่า
>>>ร้าน "รสชาติพัฒนา" ที่มีเจ้าของร้านสองคน
>>>ร้าน "ชาติไก่" ของพ่อค้าร่างสั้น ณ เมืองสุพรรณ
>>>และร้านตัวเต็งสองร้านคือ "ประชาไก่น่ากัด"
>>>ของอดีตครูประชาบาลลูกชาวบ้าน
>>>กับอีกหนึ่งร้านใหม่ "ไก่รักไก่ (มหาชน)" >>>
>>>ไหนๆก็ไม่มีทางเปลี่ยนพ่อค้าเหล่านี้ให้ขายอาหารประเภทอื่นได้แล้ว
>>>ทางจังหวัดจึงอยากยกระดับข้าวมันไก่ให้กลายเป็นของขึ้นหน้าขึ้นตาของจังหวัด
>>>พร้อมตั้ง "คณะกรรมการไก่ตอน" หรือ กกต.
>>>ขึ้นเพื่อควบคุมการแข่งขัน และตรวจสอบคุณภาพไก่
>>> >>>แต่แม้ว่า กกต. จะทำงานอย่างจริงจัง
>>>คุณภาพของไก่ก็ยังแกว่ง
>>>บางครั้งมีการนำไก่ไม่ดีมาแขวนไว้เตรียมขาย
>>>กกต. ก็ต้องสอยไก่ที่แขวนไว้ในร้านไปเก็บ
>>>แต่ถ้าเผลอ ทางร้านก็จะเอามาแขวนใหม่
>>>ทำให้ต้องแขวนและสอยกันหลายรอบ >>>
>>>ร้าน"ประชาไก่น่ากัด"
>>>เป็นเจ้าของสัมปทานเก่าที่เข้ามารับสัมปทานขณะเกิดวิกฤตศรัทธาข้าวมันไก่
>>>อย่างหนัก
>>>ซึ่งว่ากันว่าวิกฤตนี้ต้นเหตุน่าจะมาจากร้าน
>>>"ความหวังไก่" ที่ติดราคาไว้ 27 บาท
>>>แต่พอเรียกเก็บเงิน
>>>เจ้าของร้านจะบอกราคาด้วยนำเสียงอบอุ่นดังคนแก่ที่ใจดีที่สุดในโลกว่า
>>>จานละ 59 บาทนะลูก นอกจากนี้
>>>บรรดาลูกของเด็กเสิร์ฟยังชอบมากวนคนในร้าน
>>>ลูกค้าก็ไม่กล้าโวย
>>>เพราะเกรงเด็กเสิร์ฟปากร้ายนิสัยนักเลงคนนี้
>>>ทำให้คนเข้าร้านน้อยลง และลูกจ้างก็พากันลาออก
>>>แม้ว่าเมียเจ้าของร้านจะพยายามอุ้มช้างบูชาราหู ก็ไร้ผล
>>>
>>>ดังนั้นการเข้ามารับช่วงสัมปทานของร้าน"ประชาไก่น่ากัด"
>>>จึงถูกใจชาวบ้านร้านตลาดมาก
>>>เพราะเป็นร้านที่เปิดบริการมาหลายชั่วคน
>>>อีกทั้งเจ้าของร้านก็เป็นคนที่น่านับถือ
>>>สูตรน้ำจิ้มไก่ใส่น้ำผึ้งก็เด็ดขาด
>>>การค้าช่วงแรกจึงราบรื่นดี >>>
>>>แต่ภายหลังค่าแก๊ส ค่าไก่ มีราคาสูงขึ้น
>>>กิจการเริ่มประสบปัญหา
>>>จำนวนไก่ต่อจานน้อยชิ้นลง จานชามแตกหักสกปรก
>>>พอถูกถาม เจ้าของก็บอกว่าไม่ทราบ
>>>เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสับไก่กับคนล้างจาน
>>>พอชาวบ้านถามคนสับไก่ก็จะได้คำตอบว่า
>>>จำนวนชิ้นไก่จะขึ้นอยู่กับกลไกตลาด
>>>ส่วนคนล้างจานก็บอกว่าช้อนส้อมจานชามเซ้งมาจากเจ้าของสัมปทานร้านที่แล้ว
>>>เจอไม้นี้เข้า ชาวบ้านก็ได้แต่ทำตาปริบๆ >>>
>>>การเปิดร้านของเถ้าแก่คนใหม่
>>>ทำให้ชาวบ้านเริ่มมีความหวังกับรสชาติที่แตกต่างออกไป
>>>ตามสโลแกนของร้านที่ว่า "คิดไก่ ทำไก่"
>>>เถ้าแก่คนใหม่ได้ปฏิวัติแนวทางการขายอย่างสิ้นเชิง
>>>มีการนำหลักวิชาการตลาดเข้ามาช่วย
>>>ทั้งการแบ่ง Market Segmentation
>>>และนำโปรโมชั่นต่างๆมาล่อใจ
>>>ไม่ว่าจะเป็นการ พักหนี้ข้าวมันไก่ 3
>>>เดือนของลูกค้าเงินเชื่อ
>>>หรือกินไก่ทั้งตัว ตัวละ 30 บาท
>>>ผลก็คือทำให้ร้านนี้เป็นร้านที่คนเข้ามากที่สุดในงานประจำปี
>>>แม้จะมีข้อสงสัยว่าโปรโมชั่นเหล่านี้จะเอาเงินมาจากไหน
>>>แต่ได้ยินมาแว่วๆว่าเถ้าแก่ไม่สนใจหรอก
>>>แค่ได้สัมปทานข้าวมันไก่นี้
>>>หุ้นร้านแกก็ขึ้นหลายหมื่นจุดแล้ว...
มึงคิดอย่างที่กูคิดป่าวว่ะ?................ที่กูคิดมันทะลึ่งนะ
|