หลักการสร้างบทเรียนโปรแกรม

การสร้างบทเรียนโปรแกรมมีลักษณะคล้ายๆ กับการวางแผนการสอนตามปกตินั้นเอง คือ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้

  • 1. การนำเข้าสู่บทเรียน

  • 2. การดำเนินรเรื่องหรือการสอน เป็นกระบวนการให้ความรู้แก่ผู้เรียนซึ่.ในเวลาที่เราสอนตามปกติ เราจะใช้สื่อต่างๆ ตามความเหมาะสม ในบทเรียนโปรแกรมนี้ก็เช่นกัน ผู้สร้างจะต้องวางแผนให้ผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมในการเรียนหรือตอบสนองต่อกิจกรรม สื่อการเรียนอะไรบ้าง เช่น อาจจะให้วาดภาพ ระบายสี ตอบคำถาม รวมทั้งการใช้เครื่องมืออื่นๆ ประกอบ ในขณะที่เขาเรียนจากบทเรียนของเรา

  • 3. การสรุปและประเมินผล เป็นการสรุปเนื้อหาที่สอนมาในบทเรียนตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับการสอนตามปกติ และประเมินผลการเรียนโดยหาวิธีที่ให้ผู้เรียนสามารถประเมินผลการเรียนได้ด้วยตนเอง

  • การสร้างบทเรียนโปรแกรม ก็เหมือนกับที่ครูเป็นผู้สอนเอง แต่ผิดกันที่ครูสอนเองนั้น ครูเป็รฝ่ายพูด ผู้เรียนเป็นฝ่ายฟัง ส่วนบทเรียนโปรแกรมนั้น ผู้เรียนจะเรียนโดยการอ่านหรือฟังจากเทปบันทึกเสียง ภาษาที่ใช้ในบทเรียนโปรแกรมจะต้องเป็นถาษาที่เข้าใจง่าย มีอารมณ์ขันบ้าง เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการคุ้นเคยไม่เบื่อง่ายเหมือนกับการอ่านหนังสือทั่วไป


    วิธีสร้างบทเรียนโปรแกรม

    วิธีการสร้างบทเรียนโปรแกรม มีขั้นตอนที่สำคัญ 3 ขั้นตอน คือ

    1. ขั้นการวางแผน

    2. ขั้นดำเนินการ

    3. ขั้นการนำไปใช้

    1. ขั้นการวางแผน
    ในการวางแผนนี้ เป็นขั้นที่สำคัญมาก ผู้สร้างจะต้องพิจารณาตัดสินใจให้ดีเสียก่อนว่า จะเลือกเรื่องใด วิชาใดมาสร้างจึงจะเหมาะสม ซึ่งควรจะคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
  • 1.1 เนื้อหาวิชานั้นควรจะเป็นเรื่องที่คงตัวหรือเป็นหลักในการสอนตลอดไป

  • 1.2 เนื้อหานั้นเคยมีใครนำมาทำเป็นบทเรียนโปรแกรมหรือยัง ถ้าเคยมีคนเคยทำมาแล้วก็ไม่จำเป็นเสียเวลาทำซ้ำ

  • 1.3 สามารถสร้างเสร็จได้ถายในเวลาที่กำหนด

  • 1.4 ผลที่ได้จะคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ อาจพิจารณาผลการเรียนที่จะได้รับและจำนวนนักเรียนที่จะใช้ด้วย

  • 1.5 สามารถช่วยลดภาระของครูในการสอน และลดเวลาในการฝึกการเรียนของนักเรียนหรือไม่

  • 1.6 เมื่อสร้างแล้วสามารถวัดผลได้ตามความต้องการหรือไม่

  • เมื่อตัดสินใจเลือกเนื้อหาที่จะนำมาสร้างบทเรียนโปรแกรมได้แล้ว จะต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า จะสร้างแบบใดจึงจะเหมาะสม ควรเป็นเชิงเส้นหรือแบบสาขาจึงจะดี และสร้างในรูปแบบใด เช่น สิ่งพิมพ์ การ์ตูน สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพยนตร์ หรือโทรทัศน์ เป็นต้น

    2. ขั้นดำเนินการ

  • 2.1 ศึกษาหลักสูตรรวมทั้งประมวลการสอน เพื่อจะได้สร้างบทเรียนได้ตรงกับเนื้อหา ระดับและจุดประสงค์ที่หลักสูตรได้กำหนด

  • 2.2 กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้าง โดยอาศัยข้อมูลจากหลักสูตรและความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก จุดมุ่งหมายทั่วไปที่กล่าวเอาไว้กว้างๆ และจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ที่กระจ่างชัดสามารถจะวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดได้

  • 2.3 วิเคราะเนื้อหา โดยการนำเอาเนื้อหาทั้งหมดที่จะสร้างมาแตกเป็นหัวข้อย่อยๆ อย่างละเอียด แล้วนำมาเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก โดยการใช้วิธีวิเคราะห์ ( Task Analysis ) หรือการพิจารณาว่า การที่จะให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ควรจะต้องเรียนผ่านขั้นตอนหรือหัวข้อย่อยๆ ใดบ้าง ตามลำดับขั้นสุดท้ายที่ต้องการนั้นเอง เช่น เรื่องการคูณเลขสองหลักด้วยเลขสองหลัก ผู้เรียนจะสามารถทำได้ จะต้องมีความสามารถในสิ่งต่อไปนี้เสียก่อน คือ


  • - ต้องนับเลข 1-10,000 ได้

    - ต้องเขียนเลข 1-10,000 ได้

    - ต้องคูณเลขหลักเดียวเป็น

    - ต้องบวกเลขทั้งที่มีตัวทดและไม่มีตัวทดได้

  • 2.4 สร้างแบบทดสอบ จะต้องให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้แบบทดสอบนี้ อาจจะนำไปใช้ทั้งการสอบก่อนเรียน ( Pre-Test) และทดสอบหลังเรียน( Post- Test) ด้วยก็ได้ ถ้าแบบทดสอบนั้นสามารถสร้างได้อย่างมีความเชื่อมั่นสูง ถ้าไม่ใช้ฉบับเดียวกันแบบทดสอบ หลังเรียน ก็จะต้องมีเนื้อหาเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน แต่อาจจะแตกต่างกันในเรื่องวิธีการหรือข้อความเท่านั้น

  • 2.5 ลงมือเขียน การเขียนบทเรียนโปรแกรมควรจะคำนึงถึงหลักการต่อไปนี้

  • 2.5.1 เนื้อหาย่อย ๆ ในแต่ละหน่วย ย่อมจะนำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหน่วยถัดไป

  • 2.5.2 เนื้อหาหรือคำอธิบายจะต้องเป้นที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้อย่างดี

  • 2.5.3 ช่วยให้ผู้เรียนสัมฤทธิ์ผลในการเรียนมากที่สุด

  • 2.5.4 เนื้อหาในแต่ละหน่วยควรจะพาดพิงถึงหน่วยเดิมด้วย เพื่อเป็นการทบทวนสิ่งที่เรียนไปแล้ว

  • 2.5.5 มีการชี้แนวทางหรือแนะให้ผู้เรียนตอบคำถามได้อย่างถูกต้องตามความเหมาะสมโดยอาจจะให้กฎเกณฑ์และตัวอย่างมากพอ ที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้อย่างดี

  • 2.5.6 มีคำตอบที่ถูกต้องให้ผู้เรียนได้ทราบทันทีด้วย เพื่อเป็นการเสริมแรงให้ผู้เรียนต้องการเรียนต่อไปแต่บางกรอบอาจจะไม่จำเป็น ต้องมีคำตอบ เช่น ในกรอบแนะนำหรือกรอบพื้นฐาน

  • 2.5.7 ภาษาและคำศัพท์ที่ใช้ ควรจะให้ชัดเจนเหมาะสมกับพื้นความรู้เดิมของผู้เรียนด้วย

  • 2.5.8 ความยาวของแต่ละกรอบจะต้องเหมาะสมไม่ยาวหรือสั้นเกินไปและต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันโดยตลอด นอกจากนั้นควรจะมีช่องว่างให้ผู้เรียนเติมคำหรือเลือกคำตอบเอาไว้ในกรอบที่ต้องการให้ผู้เรียนตอบสนองด้วย

  • 2.6 นำออกทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไข ควรจะทำ 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ

  • 2.6.1 ทดลองเป็นรายบุคคลและปรุงแก้ไข (Individual Try Out and Revised)

  • 2.6.2 ทดลองเป็นกลุ่มเล็กและปรับปรุงแก้ไข ( Small Group Try Out and Revised) ผู้เรียนอาจมีกลุ่มละ 5-10 คน

  • 2.6.3 ทดลองกับห้องเรียนจริงและปรับปรุงแก้ไข ( Field Try Out and Revised) 3. ขั้นการนำไปใช้ หลังจากที่ได้ทดลองและปรับปรุงแก้ไขตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว ก็จะสามารถนำบทเรียนนั้นออกใช้กับผู้เรียนทั่วไป แต่จะต้องคอยฟังผลจากผู้เรียนอยู่เสมอ เพื่อนำข้อบกพร่องมาแก้ไขต่อไป ให้บทเรียนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น



    [ HOME ] [ NEXT ]