ในตอนย่ำรุ่งวันหนึ่งมีผู้พบศพของกระทาชายนายหนึ่ง
(ทราบชื่อภายหลังว่านายเตี้ย) นอนสงบแน่นิ่งในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง
ปรากฏว่าเขาถูกกระสุนปืนเจาะเข้าขมับขวา หลังจากที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการชันสูตรพลิกศพตามระเบียบแล้ว
ก็เร่งออกสืบหาตัวคนร้ายต่อไป ตำรวจช่างเก่งกาจอะไรอย่างนี้
! เพราะยังไม่ทันตะวันตกดินในวันเกิดเหตุอุกฉกรรจ์นั่นเอง ตำรวจก็สามารถลากเอาตัวผู้ต้องหามาเข้า
"ห้องกรง" ได้ถึง 3 คน คือ นายเบิ้ม นายโย่ง และนายท้วมในสำนวนการสอบสวนของตำรวจ
ผู้ต้องหาทั้งสามได้ให้การดังนี้ |
เบิ้ม
:
|
(1) ผมไม่ได้ยิงเขาตาย |
|
(2)
ผมไม่เคยเห็นโย่งมาก่อนเลย |
|
(3)
ใช่ครับที่ผมรุ้จักกับเตี้ย |
โย่ง
:
|
(1)
ผมไม่ได้ยิงเขาตาย |
|
(2)
เบิ้มกับท้วมทั้งสองคนเป็นเพื่อนของผม |
|
(4)
เบิ้มไม่เคยฆ่าใครมาก่อน |
ท้วม
:
|
(1)
ผมไม่ได้ยิงเขาตาย |
|
(2)
เบิ้มโกหกที่พูดว่าเขาไม่เคยเห็นโย่งมาก่อน |
|
(3) ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง |
ในการพิจารณาคดีนี้
เมื่อศาลได้ตรวจดูสำนวนฟ้องสอบกับพยานหลักฐานที่นำสืบแล้ว ปรากฎว่าคำให้การของแต่ละคน
ได้บิดเบือนความจริงไปเสียคนละหนึ่งข้อ แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่า
ใครให้การเป็นเท็จข้อใด ทราบเพียงว่าศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่หนึ่งตลอดชีวิต
ส่วนอีก 2 คนได้รับการปล่อยตัวพ้นข้อหาไป จึงอยากจะเรียนถามท่านผู้รู้ว่า
ศาลอาศัยใช้ดุลยพินิจพิจารณา ความในคดีนี้อย่างไรจึงสามารถชี้ขาดลงไปได้ว่า
ใครคื่อฆาตกร |