ชื่อท้องถิ่น:
บุกรอ,
หัววุ้น,
กระแท่ง,
กระเท่ง,
มันซูรัน(ทั่วไป);
ลอกใหญ่,
อีผุก(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ);
หัวบุก(ปัตตานี)
ชื่อวิทยาศาสตร์:
Amorphopallus sp.
วงศ์:
ARACEAE
ลำต้น:
มีหัวหรือเหง้าเป็นก้อนกลมสีขาวใหญ่อยู่ใต้ดิน
ลำต้นกลมอวบสีเขียวอ่อน
โคนมีสีเขียวเข้มปะปน
สูง 90-180 ซม.
เป็นไม้ป่าที่มีหลายชนิด
บางชนิดมีผิวเรียบ
ผิวขรุขระหยาบคล้ายผิวคางคก
หรือมีรอยด่างเป็นดวงๆตามลำต้นและก้านใบ
ซึ่งมีสีต่างๆปะปนแล้วแต่ชนิดของบุก
ดูคล้ายกับคนที่เป็นโรคผิวหนัง
ชนิดหลังนี้คนท้องถิ่นเรียกว่า
"บุกคางคก"
ใบ:
แตกใบตรงส่วนยอด
โดยใบจะออกเป็นกลุ่มๆละ
5-7 ใบ
แผ่แบนเป็นรัศมีวงกลมคล้ายร่มกาง
บุกแต่ละชนิดมีลักษณะใบแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
แต่ที่เหมือนกันก็คือมีใบใหญ่เป็นริ้วหยักไปมาและปลายใบแหลม
ดอก:
มี 2
รูปแบบ
แบบแรกเป็นกระบอกแนวตั้งที่มีแถบหรือลายด้านข้างสีม่วงหรือสีน้ำตาลแดง
ตามแนวตั้งของกระบอก
ปลายดอกเป็นกระพุ้งโค้งงอคล้ายฝาปิดกระบอก
แล้วเรียวตัวเป็นเส้รเล็กๆยาวลงมา
เรียกว่า "จุกหางลาย"
แบบที่สองคล้ายกับดอกหน้าวัว
จะประกอบด้วยปลีและจานรองดอก
มีสีสันและขนาดของดอกขึ้นอยู่กับบุกแต่ละชนิดหากเป็นชนิดที่ออกดอกเมื่อต้นตายไป
ดอกจะมีขนาดใหญ่สีน้ำตาลแดง
จานรองดอกสูงเพียงครึ่งหนึ่งของปลี
ภายในดอกมีสีม่วง
คล้ำ ๆ
ส่วนชนิดที่ออกดอกก่อนแล้วจึงมีลำต้นโผล่ขึ้นมาหรือมีลำต้นขึ้นมาก่อนแล้วออกดอกขณะต้นยังไม่ตาย
ดอกจะมีขนาดเล็กสีเขียวปรือสีเขียวอ่อน
จานรองดอกสูงเท่าปลี
ดอกทั้ง 2
รูปแบบนี้จะบานเพียง
7-10 วัน
ก็จะร่วงโรย
คงเหลือแต่ปลีซึ่งจะกลายเป็นผลต่อไป
ซึ่งดอกที่ร่วงโรยจะมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่าเปื่อย
ผล:
บางชนิดมีผลเป็นตุ่มเล็ก
ๆ
เรียงตัวอัดกันแน่นบนก้านช่อดอก
ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน
เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่
สีเหลือง
สีแดง
หรือสีส้ม
เรียกว่า "บุกนมแมว"
แหล่งที่พบในไทย:
พบทั่วไปในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาค
สรรพคุณ:
บางชนิดใช้เป็นอาหารและยาสมุนไพร
บางชนิดเป็นพิษ |