อารักขกรรมฐาน

อารักขกรรมฐาน คือ กรรมฐานที่พึงสงวนรักษาไว้ มี 4 ข้อ คือ

  1. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
  2. อสุภกรรมฐาน พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นอสุภะ เป็นสิ่งที่น่าเกลียด โสโครก ปฏิกูล
  3. การเจริญเมตตา
  4. มรณัสสติ การระลึกถึงความตาย

(วิธีบริกรรมภาวนาพุทโธ ท่านแนะนำให้นึกพุทโธ ไว้ที่จิต เอาจิตไว้กับพุท-โธ ประคองจิตให้นึกพุทโธอยู่ตลอด ไม่ต้องไปนึกอย่างอื่น แม้แต่จะคิดเมื่อไร จิตจะสงบ เมื่อไรจิตจะว่าง ก็ไม่ต้องไปนึก หน้าที่มีแต่นึกพุทโธอย่างเดียว จนมันคล่องตัว จนกายสงบ จิตสงบ กายเบา จิตเบา แล้วปิติและความสุขก็จะเกิดขึ้น หลังจากนั้นสมาธิก็จะเกิดตั้งแต่ขณิกสมาธิ คือ ความสงบวับแวบ เพียงนิดหน่อย หรือมีแสงปรากฏปั๊ปแล้วก็หายไป และเมื่อจิตสงบนิ่ง ว่างสว่างลงไป แล้วจิตยับยั้งอยู่ในความสงบได้นานพอสมควรแล้ว ลมหายใจยังปรากฎอยู่ มีความรู้สึกว่ามีกายอยู่ มีปิติและความสุขตลอดเวลา จัดเป็นอุปจารสมาธิ ครั้นจิตละเอียดยิ่งเข้าไปกว่านี้ ปิติและความสุขหายไป แม้แต่กายก็หายไป ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด เหลือแต่จิตสงบนิ่ง สว่าง ไม่มีอาการแห่งความรู้สึกนึกคิดใดๆ ปรากฎขึ้น ไม่รู้เรื่องภายนอก ลมหายใจก็ไม่มี มีแต่จิตดวงเดียว นิ่งสว่างอยู่ อันนี้เป็นจิตในขั้นอัปปนาสมาธิ เมื่อทำจิตให้นิ่งสว่างลงไปแล้ว คำบริกรรมถาวนาหายไป เมื่อคำบริกรรมภาวนาหายไปแล้ว ไม่ต้องนึกถึงบริกรรมภาวนาอีก ให้กำหนดรู้จิตที่สงบนิ่งสว่างอยู่เท่านั้น และถ้าในช่วงนี้ลมหายใจปรากฏ ให้ยึดเอาลมหายใจเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ ดูลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เฉยอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปนึกคิดอะไร ความคิดว่าลมหายใจสั้นก็ไม่ต้องคิด ลมหายใจยาวก็ไม่ต้องคิด เป็นแต่เพียงรู้อยู่เฉยๆ เราเป็นผู้หายใจ แม้ว่าทำไมไม่คิดว่า ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว เราย่อมรู้ ในเมื่อผู้ภาวนามายึดเอาลมหายใจเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ หนักๆ เข้า ลมหายใจจะเป็นสื่อนำจิตให้ดำเนินเข้าไปสู่ความสงบอย่างแน่วแน่ คืออัปปนาสมาธิ ถ้าหากว่าผู้ภาวนาพุทโธ ทำทีไรจิตมันก็ไม่สงบนิ่ง อยู่เพียงแค่อัปปนาสมาธิ ไม่เกิดความรู้อะไร เมื่อจิตสงบนิ่งอยู่ในอัปปนาสมาธิ ไม่เกิดความรู้จริงๆ มีแต่สภาวะรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว เราจะทำปัญญาให้เกิดโดยให้จิตถอนออกมาจากอัปปนาสมาธิ พอปรากฏว่ามีร่างกาย เมื่อมีร่างกายแล้วความคิดย่อมเกิดขึ้น เมื่อความคิดเกิดขึ้นแล้ว ผู้ภาวนาไม่ควรจะปล่อยโอกาส ให้ทำสติตามรู้ความคิดนั้นไปเรื่อยๆ จิตคิดอะไรขึ้นมาก็กำหนดรู้เพียงแต่กำหนดรู้อย่างเดียว อย่าไปช่วยมันคิด ความคิดนั้นจะไปคิดเรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องสาระพัดอะไรก็แล้วแต่ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติเพียงแต่ทำสติตามรู้อย่างเดียว ในเมื่อเรามาทำสติตามรู้ ความคิดที่เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป ก็เป็นการพิจารณาวิปัสสนากรรมฐาน สิ่งที่เป็นเครื่องหมายแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมายถึง ความคิดที่เกิดดับๆ อยู่ภายในจิตนั่นเอง ในเมื่อความคิดเกิดดับๆ อยู่ภายในจิต จิตมีเครื่องรู้ โดยเอาความเกิดดับเป็นเครื่องรู้สติ เอาความเกิดดับเป็นเครื่องระลึก เมื่อมีความสำคัญหมายมั่นว่า ไม่เที่ยงเกิดขึ้นภายในจิต จิตก็ก้าวเดินเข้าสู่ วิปัสสนาเองโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะความคิดเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป เกิดขึ้นแล้ว ดับไป มีปรากฏอยู่ในจิตตลอดเวลา ผู้ภาวนามาเอาความเกิด-ดับ ของความคิด เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ ในเมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึก จิตย่อมซาบซึ้ง และมีความรู้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้น แต่ถ้าหากจิตของเราดูแต่เพียงแค่ เกิด-ดับ, เกิด-ดับอยู่เฉยๆ ไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้น ภูมิจิตก็อยู่ในขั้นสมถะ แต่ถ้าหากว่าจิตเอาความเกิด-ดับ เป็นเครื่องรู้ สติเอาความเกิด-ดับ เป็นเครื่องระลึก หนักๆ เข้า จิตย่อมจะรู้ความเปลี่ยนแปลงของความคิดเอง ในเมื่อจิตสำคัญมั่นหมายในความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงคือความไม่เที่ยง คือ อนิจจัง เมื่อจิตรู้ความไม่เที่ยง ของสภาวะที่เกิดดับกับจิต จิตก็ย่อมก้าวเข้าสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา (บางท่านอาจจะยังสงสัยระหว่างพุทธานุสสติ กับอานาปานสติ เพราะว่าพุทธานุสสติ (การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า)ไปได้แค่ อุปาจารสมาธิ แต่ทำไมการบริกรรมพุทโธ (สมถะกรรมฐานอย่างหนึ่ง) จึงไปได้ถึงภูมิแห่งวิปัสสนา อ้างอิงจากพระธรรมคำสอนของหลวงปู่ใหญ่พระครูธรรมเทพโลกอุดร คำว่าพุทโธ เป็นพุทธานุสสติ แต่เมื่อมีการบริกรรมภาวนาควบคู่ไปกับลมหายใจก็ มีการผสมกับอานาปานสติ จริงๆ ตัวหลักที่จะพาไปได้คือ สติที่แนบแน่นกับลมหายใจ ลำพังการเพ่งลมหายใจอย่างเดียวนั้นยาก จึงมีการดัดแปลงคำขึ้นมา ให้ผูกติดในการบริกรรมจะได้ง่ายขึ้น หากสงสัยขอให้ไปดูที่ธรรมปฏิบัติบท 6 และ 8 ของพระธรรมคำสอนของหลวงปู่ใหญ่พระครูธรรมเทพโลกอุดร และเรื่องคุณความสามารถของกรรมฐาน 40 กองเมื่ออ่านแล้วจะรู้ได้เองว่าไม่ได้ขัดกัน)