ฉบับสัมมาทิฏฐิ : ธรรมที่หยั่งรู้ยาก
ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะการเกิดมา
เพราะฉะนั้นท่านจึงพยายามขจัดความเกิด แต่ไม่ใช่ว่าการเกิด คือร่างกายมันเกิดนะ หรือการตายคือร่างกายที่มันตายนี่นะ แบบนี้เด็กๆ มันก็รู้จัก คนเราโดยมาก จะรู้จักว่า มันตายตรงที่ร่างกายนี่ตาย ลมมันหมดแล้ว นอนอยู่ ส่วนคนตายที่หายใจอยู่ ไม่ค่อยจะรู้กัน คนตายที่พูดได้ เดินได้ วิ่งได้ คนไม่รู้จัก การเกิดก็เหมือนกัน เมื่อไปคลอดที่โรงพยาบาลก็ว่านั่นเกิดแล้ว แต่ว่าจิตที่มันเกิดที่มันวุ่นวายอยู่นั่น มองไม่เห็น บางทีก็เกิดความรัก บางทีก็เกิดความเกลียด บางทีก็เกิดความไม่พอใจ บางทีก็เกิดความพอใจบางทีก็เกิดความพอใจสารพัดอย่าง ล้วนแต่เรื่องเกิดทั้งนั้นแหล่ะ มันทุกข์เพราะอันนี้เอง เมื่อตาไปเห็นรูปแล้วเกิดไม่พอใจก็ทุกข์แล้ว หูฟังเสียงชอบใจนี่ก็ทุกข์ มีแต่เรื่องทุกข์ทั้งนั้น ฉะนั้นสิ่งทั้งปวงนี้ท่านสรุปว่า รวมแล้วนั้นมันมีแต่กองทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ทุกข์มันก็ดับ มีสองเรื่องเท่านั้น ทุกข์เกิด..ทุกข์ดับ ทุกข์เกิด..ทุกข์ดับ เราก็ไปตะครุบมัน ตะครุบมันเกิด ตะครุบมันดับ ตะครุบอยู่อย่างนี้ มันไม่จบเรื่องกันสักทีพระท่านจึงให้พิจารณาว่ารูป-นามขันธ์ มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ดับ นอกจากนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไร ถ้าพูดตามเป็นจริงแล้ว สุขมันไม่มีเลย มีแต่ทุกข์ ที่ดับไปนั่นก็ทุกข์ดับไปเฉยๆ ไม่ใช่สุขหรอก แต่เราไปหมายเอาตรงนั้นว่ามันสุข ก็ทุกข์อันเก่านั่นแหล่ะ นี่มันละเอียด ตรงนั้นสุขเกิดขึ้นมาก็ดีใจ ทุกข์เกิดขึ้นมาก็เสียใจ ถ้าความเกิดไม่มี ความดับมันก็ไม่มี ท่านจึงบอกว่าทุกข์เกิด และทุกข์ดับเท่านั้น นอกนั้นไม่มี แต่ว่าเราก็ไม่เห็นชัดว่ามันมีทุกข์อย่างเดียว เพราะว่าที่ทุกข์มันดับไป เราก็เห็นว่าเป็นสุข เลยตะครุบอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ที่ซึ้งในธรรมะนั้นไม่ต้องรับอะไรแล้วมันสบาย
ตามความเป็นจริงแล้วโลกที่เราอยู่นี้ ไม่มีอะไรทำไมใครเลย ไม่มีอะไรจะเป็นที่วิตกวิจารเลย ไม่มีอะไรที่น่าร้องไห้หรือหัวเราะ เพราะมันเป็นเรื่องอย่างนั้น ธรรมดาๆ แต่เราพูดธรรมดาได้ แต่มองไม่เห็นธรรมดา แต่ถ้าเรารู้ธรรมะสม่ำเสมอแล้ว ไม่มีอะไรเป็นอะไรแล้ว มันเกิดมันดับของมัน อยู่อย่างนั้น เราก็จะสงบ
สิ่งที่มนุษย์เราต้องการอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องให้มันสงบ แต่ต้องการที่จะระงับทุกข์ เพื่อให้มันเกิดสุข เมื่อมันมีสุขมีทุกข์อย่างนี้ มันก็เรียกว่ามี ภพ มีชาติอยู่อย่างนี้ แต่ในความหมายของพระพุทธเจ้าแล้วให้ปฏิบัติจนมันเหนือสุข เหนือทุกข์ มันจึงจะสงบ แต่พวกเราคิดกันไม่ได้ ตรงนี้ก็ว่าสุขนั่นแหล่ะดีแล้ว ได้สุขเท่านั้นก็พอแล้ว ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายจึงปรารถนาเอาแต่เรื่องที่มันได้มากๆ ได้มากๆ นั่นแหล่ะดี คิดกันอยู่แค่นี้ เห็นว่ามันสุขแค่นั้น หรือเรียกว่า การทำดีแล้วได้ดีแล้ว มันก็จบลงแค่นั้น ต้องการแค่นั้นมันก็พอแล้ว ได้ดีมันจบลงตรงนั้น ไหนเล่าดี แล้วก็ไม่ดี ไม่ดีแล้วก็ดี มันก็วกวน วกไปวนมาอยู่อย่างนั้น ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้นตลอดวันยังค่ำ
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า หนึ่งให้ล่ะชั่ว แล้วก็ให้ทำความดี ตอนที่สองท่านสอนว่าความชั่วก็ต้องทิ้งมันเสีย ความดีก็ต้องทิ้งมันเสีย ต้องละมันเหมือนกัน คือไม่ต้องหมายมั่นมัน เพราะว่ามันเป็นเชื้อเพลิงอันหนึ่ง มันมีเชื้ออยู่ มันก็จะเป็นเชื้อเพลิง ให้มันลุกขึ้นมา ความดีมันก็เชื้อ ความชั่วมันก็เชื้อ อันนี้ถ้าพอถึงขั้นนั้น มันก็ฆ่าคนเสียแล้ว คนเราก็คิดตามไม่ไหวแล้ว ดังนั้นท่านจึงยกเอาศีลธรรมมาสอนกัน ให้มีศีลธรรม อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ให้ทำตามหน้าที่ของตนเอง อย่าเบียดเบียนคนอื่น ท่านก็บอกให้ถึงขนาดนี้ แค่นี้ก็ยังไม่หยุดกัน
อย่างที่เราได้สวดธัมมจักกฯ วันนี้ ก็มีข้อที่ว่าการอีกไม่มีเป็นชาติที่สุดแล้ว การเกิดของตถาคตไม่มีแล้ว นี่ท่านพูดเอาสิ่งที่เราไม่ปรารถนากัน ถ้าเราฟังธรรมะมันก้าวก่ายกันอยู่อย่างนี้ เราจะให้สว่างกับธรรมะนั้นไม่มีเลยโยม
อาตมาก็ปฏิบัติมาหลายเมือง หลายที่ร้อยคนพันคน จะมีใครที่ตั้งใจปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ไม่ค่อยจะมี นอกจากพระกรรมฐานด้วยกัน ที่พูดถูกกันที่เห็นด้วยกันอย่างนั้น ผู้ที่จะพ้นจากวัฏฏสงสารจริงๆ มีน้อย ยิ่งถ้าพูดถึงธรรมะอันละเอียดจริงๆ แล้วโยมก็กลัว ไม่กล้าขนาดแค่พูดว่าอย่าไปทำความชั่ว เท่านี้ก็ยังไม่ค่อยจะได้ อาตมาได้เคยเทศน์ ให้โยมฟังแล้วว่า โยมจะดีใจก็ตาม จะเสียใจก็ตาม สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ร้องให้ก็ตาม ร้องเพลงก็ตามเถอะ อยู่ในโลกนี้ก็เหมือนอยู่ในกรงเท่านั้นแหล่ะ ไม่พ้นไปจากกรง ถึงเราจะรวยก็อยู่ในกรง มันจะจนก็อยู่ในกรง มันจะร้องไห้ก็อย่าในกรง กรงอะไรเล่า กรงคือความเกิด กรงคือความแก่ กรงคือความเจ็บ กรงคือความตายเปรียบเหมือนอย่างนกเขาที่เลี้ยงเอาไว้ เอานกเขามาเลี้ยงไว้ แล้วก็ฟังเสียงขันของมัน แล้วก็ดีใจ ว่านกเขามันขันดี นกเขามันเสียงโต นกเขามันเสียงเล็ก ไม่ได้ไปถามนกเขามันเลยว่ามันสนุกหรือเปล่า เพราะเราก็ว่าฉันเอาข้าวให้มันกิน เอาน้ำให้มันกินแล้ว ทุกอย่างอยู่ในกรงทั้งหมดแล้ว ก็นึกว่านกเขามันจะพอใจ เรานึกหรือเปล่าว่า ถ้าหากเขาเอาข้าว เอาน้ำให้กิน โดยให้เราไปขังอยู่ในกรงนั้น เราจะสบายใจไหม มันไม่ได้คิดอย่างนี้ ก็นึกว่านกเขามันสบายแล้ว น้ำมันก็ได้กิน ข้าวมันก็ได้กิน มันจะไปทุกข์อย่างไร พอคิดแค่นี้ก็หยุดแล้ว แต่ว่านกเขามันจะตายอยู่แล้ว มันอยากจะบินไป มันอยากจะออกจากกรงไป แต่เจ้าของนกนั้นไม่รู้เรื่อง ก็ว่านกเขาของฉันมันขันดีนะ กลางคืนมันก็ขัน เวลาเดือนหงายมันก็ขัน ยังคุยโง่ไปโน่นอีก
มันเหมือนกับเราขังกันอยู่ในโลกนี้แหล่ะ อันนั้นก็ของฉัน อันนี้ก็ของฉัน อันนี้ก็ของฉันสารพัด ไม่รู้เรื่องของเจ้าของความเป็นจริงนั้น เราสะสมความทุกข์ไว้ในตัวของเรานั่นเอง ไม่อื่นไกลหรอก แต่เราไม่มองถึงตัวเหมือนเราไม่มองถึงนกเขา เราเห็นว่ามันสบาย กินน้ำได้ กินอาหารก็ได้ตลอด เราก็เลยเห็นว่ามันสุข ถึงมันจะแสนสุขแสนสบาย เท่าไรก็ช่างเถอะ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ต่อไปมันก็ต้องแก่ แก่แล้วต้องเจ็บ เจ็บก็ต้องตาย นี่มันเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ แต่เราก็มาปรารถนาอีกว่า ชาติหน้าขอให้ฉันได้เกิดเป็นเทวดาเถิด มันก็หนักกว่าเก่าอีก แต่เราก็คิดว่ามันสบาย ตรงนั้น นี่คือความคิดของคนมันยิ่งหนัก
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ทิ้ง เราก็ว่า ฉันทิ้งไม่ได้ ก็เลยยิ่งแบกยิ่งหนักไปเรื่อย คือความเกิดมันเป็นเหตุให้หนัก แต่เรามองกันไม่เห็น ถ้าว่าไม่เกิดเราก็ว่ามันบาปที่สุดแล้ว คนตายไม่เกิด บาปที่สุดแล้ว ฉะนั้นเราจะทะลุปรุโปร่งเรื่องธรรมะนี้มันยากเรื่องที่สำคัญอันหนึ่ง คือ เราจะต้องมาภาวนากัน ทุกๆ คน ทุกคนก็จะพ้นทุกข์ได้ทั้งนั้นแหล่ะ อย่างบ้านเรานี้เรียกว่าเป็นเจ้าของพุทธศาสนา แต่เราก็ทิ้งหลักธรรมพุทธศาสนาที่แท้จริงกันได้ แต่ถือกันมาเรื่อยๆ แต่เรื่องจะมาภาวนากันนั้นไม่ค่อยจะมี แม้ตลอดจนถึงพระภิกษุ จะมาภาวนาเรื่องจิตใจของเราเป็นอย่างไรนั้น ก็ไม่ค่อยจะมี เรียกว่าเราห่างไกลกันเหลือเกิน ห่างจากพุทธศาสนา และอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเรามักจะเข้าใจว่าบวชจึงปฏิบัติได้ โยมผู้หญิงก็บอกว่า อยากเป็นผู้ชายเว้ย จะหนีไปบวชซะหรอก นี่ก็นึกว่าบวชนั้นจึงจะดีทำความดีได้ แต่นักบวชให้ย้อนกลับไปถึงเราดีๆ เถอะ การทำความดี ความชั่วมันอยู่กับตัวเราทั้งนั้น อย่าไปพูดถึงการบวช หรือการไม่บวช ขอแต่ว่าเราสร้างความดีของเราเรื่อยไป นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ฉะนั้นเรื่องของศาสนา ก็คือ เรื่องให้ปล่อยตัวออกจากกรงนั่นเอง ที่เรามาปฏิบัตินี้ ก็เพื่อแก้ปัญหานี้ ที่เรามาสมาทานศีล มาฟังธรรม ก็เพื่อแก้ปัญหาอันนี้ อาตมาเคยพูดว่าพวกเราทั้งหลายในสองปีมานี้ชอบทำบุญสุนทานกันมาก การคมนาคมก็สะดวก ไปทัศนาจรแสวงบุญกัน แต่มามองดูแล้วมันไปแสวงบุญอย่างเดียว แต่มันไม่แสวงหาการละบาป มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าให้เรา
ละบาปก่อนจึงบำเพ็ญบุญ ไปทำบุญไม่ละบาปมันก็ไม่หมด มันเป็นเชื้อโรคติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา มันจึงเดือดร้อนกัน ถ้าบาปไม่ละจะเอาบุญไปอยู่ที่ไหน ฉะนั้นเราต้องกวาดเครื่องสกปรก ออกจากใจของเราเสียแล้ว จึงจะทำความสะอาด เรื่องนี้พวกเราควรจะเอาไปคิดพิจารณา