น้ำตกหมันแดง-ภูหินร่องกล้า-น้ำหนาว

11-13 ธันวาคม 2543

10 ธันวาคม 2543

เริ่มเดินทางตอน 16.00 น. โดยรถTOYOTA Collora ปี 91 คันเก่งของผม ออกเดินทางมุ่งหน้า นครสวรรค์และพิษณุโลก ตามเส้นทาง หมายเลข 1 และ 117 ระยะทาง 370 กม. จากกรุงเทพฯ ถึงตัวเมืองพิษณุโลก ระหว่างเดินทางนั้น ได้วางแผนไว้ว่าจะแวะหาอาหารค่ำทานเสียหน่อย คงจะเป็นร้านดังๆแถวสิงห์บุรี ก็คงไม่พ้น ร้านแม่ลาปลาเผา ที่ระบุไว้ว่าไม่มีสาขา ต้องมากินที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าร้านนั้นอยู่ที่ใด รอลุ้น...เจอก็กิน ไม่เจอก็อด ก็เท่านั้น และแล้วฝันแรกก็เป็นจริง เมื่อเห็นป้ายบอกตำแหน่งว่าอีก 1 กม. ถึงร้านแม่ลาปลาเผาประมาณ 18.45 น. เห็นขวดยักษ์ใหญ่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างถนนสาย 1 จึงแวะไปลองลิ้มชิมรสกัน เมนูก็ต้องลองอาหารแนะนำสิ แม่ลาปลาเผา น้ำพริกปลาช่อน และแกงส้มชะอมทอด งานนี้ต้องยกให้รายการปลาเผาเขาละเด็ด อร่อยไม่เหมือนใคร จากนั้นต้องเดินทางต่อซะแล้ว ในเมื่ออิ่มแล้วนี่ ต้องเหยียบกันหน่อย ขับรถมุ่งหน้าต่อไปหาที่พักในเมืองพิษณุโลก ตามความคาดหมาย อยากจะหาที่พักดีๆถูกๆ ผ่านเข้ามาเจอ โรงแรมน่านเจ้าก่อนใคร ดูสภาพแล้วน่าจะแพง เลยผ่านไปเฉยๆ มุ่งหน้าต่อไปที่เทศบาลเพื่อหาโรงแรมเทพนคร วิ่งวนอยู่เป็นรอบที่ 2 ก็เจอเพราะทางหน้าโรงแรมเป็นวันเวย์ แหม!!! พยายามจริงๆนะ เพราะได้ข่าวว่า โรงแรมนี้ดีและถูก จึงตรงเข้าไปสอบถาม ตอนนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ถามราคาค่าห้องพักห้องละ 500 บาท เจ้าของร้านก็มาย้ำว่า นี่เป็นราคาพิเศษนะ ลดราคาจากราคา 1,500 บาท ว้าว!!!! ไม่พักไม่ได้แล้ว ได้ห้องพักชั้น 5 ห้อง 502 คืนแรกนี้ขอเก็บแรงลุยต่อพรุ่งนี้ งานหนัก เดินตะลุยเข้าหมันแดง

11 ธันวาคม 2543

ตี 5 ครึ่ง เสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือ nokia 3210 ที่ผมตั้งปลุกอาไว้ รู้สึกเสียงมันดังมากวันนั้นจนต้อง ตื่น แล้วก็อาบน้ำ...อาบไว้ก่อน เพราะหนทางข้างหน้าไม่รู้จะได้อาบหรือเปล่า..5555 ตกลงออกรถเวลา 6 โมงเช้าพอดี หาทางออกจากเมืองสำเร็จก็ต้องรีบทำเวลากันหน่อย วิ่งสายพิษณุโลก-หล่มสัก ทางหลวงหมายเลข 12 ถนนสายนี้มีสถานที่เที่ยวเยอะมากมาย เป็นแหล่งรวมน้ำตกเลยก็ว่าได้ งานนี้ขอพิชิตหมันแดงก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน เลี้ยวซ้ายที่บ้านแยง กม. 68 เพื่อมุ่งหน้า นครไทย และ ภูหินร่องกล้า เพื่อลุยหมันแดงสักกะที อยากมาก ...5555 หลังจากเลี้ยวเข้ามา 24 กิโล ต้องเลี้ยวขวา ไปอีก 31 กิโลเมตร เป็นทางขึ้น-ลงเขา ทำเวลาไม่ได้เลย ผ่านห้วยตีนตั่ง แล้วดูนาฬิกาปาเข้าไป 7 โมงครึ่งแล้ว ถึงด่านพอดี ชำระค่าธรรมเนียม คนละ 20 บาท + พาหนะอีก 20 บาท รวมเป็น 60 บาท เข้ามาถึงแล้ว รีบติดต่อ เจ้าหน้าที่ ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อช. ภูหินร่องกล้า มีรถมากมาย หน้าที่ทำการ คุยกับ จนท. ท่านหนึ่ง บอกว่า ไปหมันแดง ต้องใช้เจ้าหน้าที่นำทางไป คิดค่านำทาง 300 บาท ติดต่อ จนท. ที่นี่ได้เลย ผมเลยถามต่อไปว่า แล้วที่โน่นละ หน่วย 7 หมันแดง มีจนท. หรือเปล่า เขาตอบว่ามี ราคาเดียวกัน ให้ซื้อข้างห่อกลางวันไปเผื่อ จนท.ด้วย (สงสัยกลัวอด....) เราจึงขอไปหาอะไรมาทานก่อนแล้วกัน มื้อแรกเป็นข้าวราดแกง+กาแฟสด ร้านรังทอง เพราะเห็นเป็นร้านแรกและใกล้ที่ทำการมากสุด ไม่มีเวลาหาร้านอื่น ซึ่งจริงๆแล้ว จะมีอีกร้านคือ ร้านดวงใจ แต่เอาไว้ค่อยกลับมากินมื้อเย็นแล้วกัน อิ่มแล้ว ได้ข้าวกล่องมา 3 กล่อง ต้องเดินทางแล้วละ 8 โมงแล้ว ไปหน่วยหมันแดงอีก 20 กิโลแนะ ใช้เวลา 40 นาทีก็ถึง ติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วตกลงจะออกเดินทางกันเวลา 9 โมงเช้า โดยมีเจ้าหน้าที่ชื่อ คุณอำไพ (ผู้ชายนะครับ) เป็นผู้นำทาง เคยอ่านเรื่องราวของ killer queen ที่เคยเขียนไว้ เกี่ยวกับทริปหมันแดง ได้เจ้าหน้าที่ชื่อ พี่โสภา เป็นผู้ชาย เลยนึกเล่นๆไปว่า โสภา อำไพ ไพรินทร์ ชื่อคล้ายผู้หญิงอย่างงี้ ตัวผมเองก็น่าจะมาสมัครอยู่หน่วยนี้ได้ 55555 เริ่มสอบถามเรื่องทากอันโด่งดังของที่นี่ เพราะกิตติศัพท์ร่ำลือว่า ทากตองที่นี่เป็นแชมป์กระโดดสูง โดดได้สูงเป็นเมตรเลย สยอง ...จนท. บอกว่า ช่วงนี้ปกติจะไม่มี แต่เมื่อคืนฝนพรำๆลงมา ไม่แน่ แฮ่ะๆๆๆๆ ตัวใครตัวมัน จึงต้องเอาถุงเท้ากันทากออกมาใส่กันซะหน่อย การเดินทางอันแสนยาวนานเริ่มต้น ขอสักภาพ ถ่ายป้ายบอกระยะทางหน่อย 3.5 กิโลเมตร

ก่อนเดินทางเส้นทางปูพรหมแดงด้วยเมเปิ้ลเมเปิ้ลเปลี่ยนสี

คุณอำไพบอกว่า กิโลม้งนะครับ 55555 ส่วนผม ว่าน่าจะเป็น 5.3 กิโลหรือเปล่า ก้าวแรกที่ย่างเข้าไปเป็นป่าดงดิบ จะมืดไปเลย เดินทางราบ สบายมาก เริ่มตื่นเต้นกับ ใบเมเปิล ที่มีให้เห็นเป็นระยะๆ ใบสีแดงที่ร่วงหล่นมากองที่ทางเดิน มันช่างสวยงาม เหมือนว่าธรรมชาติจะปูพรหมสีแดงให้เดินเข้าไปเชือดยังไงอย่างนั้น อิอิ ต้นเมเปิลก็สวยเด่น เพราะใบจะแดงแปลกกว่าต้นอื่น คุณอำไพบอกว่า ข้างในมีอีก เก็บภาพไปเรื่อยๆแล้วกัน ....เอาละสิ ทางลงแล้ว.....นี่เพิ่งเริ่มการเดินทางจริงๆจังๆนะ ที่ผ่านมานะซ้อม ....แหม!!!! มฃทำใจไว้แล้วน่า.. หนทางเริ่ม ดิ่งๆๆๆๆๆ ชันดิกๆๆๆๆ ลงๆๆๆๆๆ แล้วเจอทางราบ ผ่านดงหญ้าสูง สักพัก ผ่านดงใผ่ ขอเอามือจับลำไผ่สวยๆสักหน่อย อืม เย็นๆๆๆดี ต่อมาต้องลงลงลงลงลงลงดิกๆๆๆๆ แล้วก็ลงงงงงงงงงง ชนิด 80 องศาเลย เกาะรากไม้ลงไป โอ๊ย รู้สึกว่า น้ำหนักกับแรงโน้มถ่วงนี่ช่างเป็นปัญหาจริงๆตอนนี้ ฝืนใจเดินต่อไป ได้ยินเสียงน้ำตก ถึงแล้วๆๆๆๆ ไชโย

ชั้นที่ 1ชั้นที่ 2ชั้นที่ 3

น้ำตกชั้นที่ 1 แม้ว่าน้ำจะน้อย และไม่สวยงามเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับชั้นอื่น แต่ก็คงความบริสุทธิ์ให้เห็น มอส ไลเค่นสีเขียวเกาะที่ก้อนหินแสดงให้เห็นความร่มรื่น ชุ่มชื่นของบริเวณนี้ ผมเดินเข้าไปถ่ายรูป แล้วเจอกับ ตะขาบ ตัวเบ้อเร่อเลย สีสันสวยมาก เท้าอันเยอะยั๊วเยี๊ยะนั้นสีส้มสด ดูเหมือนขบวนรถไฟขบวนหนึ่งผ่านไปเข้าซอกหิน แต่อย่าได้ตอแยมันเลย พิษของมันร้ายกาจนัก เดินต่อมาอีกนิดก็เจอชั้นที่ 2 สวยงามมากแต่น้ำน้อยเนอะ ต่อมาที่ชั้น 3 ใกล้ๆกันนั้นเอง เก็บภาพได้พอควร

ชั้นที่ 4ชั้นที่ 5ชั้นที่ 6

เดินทางต่อไปชั้นที่ 4 ที่ต้องเดินไปอีกสักพัก โอ้โห!!! สวยจัง ระหว่างที่จะถ่ายภาพเจนนั้น เจอกับเพื่อนรักของพวกเราซะแล้ว คือ เจ้าทากไงละ เกาะเสื้อระดับหน้าอกเลย โชคดีเสื้อสีครีมตัดกับสีดำของมัน มองเห็นได้ชัด จึงใช้ไฟแช็คเป็นสะพาน ให้มันเดินออกมาเกาะ แล้วนำมันไปไว้ที่กิ่งไม้ต่อไป คุณอำไพหัวเราะ อืม นึกว่าไม่มีทากแล้วนะนี่ เจอจนได้ 5555 ผมบอกว่า คราวก่อน เจนเป็นคนเดียวที่บริจาคเลือดให้มันที่ภูกระดึง สงสัยจะเนื้อหอมละ 555555 ต่อมาชั้นที่ 5 ชั้นนี้ได้ชื่อว่า สวยๆๆๆๆมากๆตอนหน้าฝน จะมีดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง แต่ตอนนี้เหลือแต่ซาก ไม่มีดอกไม้ แต่ก็สวยละครับ จากนั้นเลาะลำธารน้ำต่อมาชั้นที่ 6 ถ่ายรูปเสร็จสรรพ นี่เที่ยงพอดี เรารีบกำจัดข้าวกันเถอะ จะได้ไม่ต้องแบกให้หนักต่อไป เริ่มแจกข้าวกล่อง กินข้าว เคล้าเสียงน้ำตกและวิวอันงดงามหาที่เทียบไม่ได้ สุขเช่นนี้มีหรือจะลืม คุณอำไพ ขณะนำทาง แกก็ถือปืนยาว หนักเป็นกิโล พร้อมสะพายเป้ด้านหลัง แกจะเดินไป เก็บขยะบนถนนไป เพราะกองทัพนักท่องเที่ยวที่ลุยเข้ามาเมื่อ long weekend เมื่อวานนี้ เข้ามาร่วมร้อยคน ทำสกปรกไว้ โดยเก็บเข้าเป้แก มีทั้งเบียร์กระป๋อง ทิชชู่ ซองขนม snack และพวกขวดน้ำเปล่า ที่ทิ้งไว้ตลอดทาง นับถือแกจริงๆ ผมจึงต้องช่วยแก เก็บขยะคือฝาเบียร์และเศษเปลือกลูกอม ที่แกมองไม่ทันเห็น เก็บมาทิ้งขยะที่ทำการข้างบนแทน นี่แหละหนากองทัพนักท่องเที่ยวที่เห็นแก่ตัว....

ชั้นที่ 7ชั้นที่ 8ชั้นที่ 9

ชั้นที่7 เป็นชั้นเล็กๆต่อจากชั้นที่ 6 ผมถามไปว่า นี่เหรอชันที่ 7 คุณอำไพบอกยืนยัน นี่แหละชั้นที่ 7 ก็โอเค ไปต่อชั้นที่ 8 เลยดีกว่า โอ้โหเฮะ เสียงผมตะโกนในใจอีกครั้ง สวยลงตัวอะไรขนาดนี้ สวยมากเลย สวยจริงๆ หายเหนื่อยเลยครับ ใช้เวลาสักพัก .....ต้องลงไปชมชั้นที่ 9 ชั้นสุดท้ายให้ได้ ทางดิ่งๆๆๆๆมากๆๆๆๆๆ เกาะรากไม้ลงไปอีกแล้ว หากสไลด์ลงไปได้นะ ลงไปแล้ว แต่ต้องระวังให้มาก เพราะชั้นนี้มี"ต้นช้างร้อง" เสียด้วย เจนมีประสบการณ์จากการโดนใบช้างร้องที่ อุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด บริเวณถ้ำพระยานคร ขนาดระวังแล้วยังโดนเลย แสบๆคัน ร้อน บวมเลย ร้ายกาจมาก งานนี้ระวังเป็นพิเศษ 55555 ปลอดภัย ชั้นที่ 9 ดูจะไม่ค่อยสง่าเท่าไหร่ แต่ก็สวยใช้ได้เลย หันมาดูนาฬิกาปาเข้าไป 13.45 น. แล้ว กลับดีกว่าเดี๋ยวจะมือซะก่อน เพราะขากลับเป็นการเดินอย่างเดียว ไม่แวะถ่ายรูปแล้ว แล้วก็ ขึ้นๆๆๆๆๆๆแล้วก็ขึ้นชันดิกๆๆๆๆๆ ไม่อยากจะนึกถึงมันเลย มันทรมานมาก แวะจอดตลอดเส้นทางเลย ไม่มีซำไหนให้แวะเลย เดินลูกเดียว โหดจริงๆ งานนี้เจนเริ่มเปลี่ยนจากการสะพายเป้มาเป็นลากถูพื้นแล้ว คุณอำไพทนไม่ได้เลยขอเอามาแบกให้ เดินต่อไป ผมเดินด้วยเหงื่อ....เหงื่อท่วมเลย หน้าซีดเซียวเลยละ เพราะแบกกระเป๋ากล้อง+vdo+อุปกรณ์ และขาตั้งกล้องก็ปาเข้าไป 5 กิโลกรัมได้ละมั๊ง น้ำขวดที่เตรียมไปหมดซะแล้ว คุณอำไพแกมีน้ำใจ ขออาสาแบกสะพายกระเป๋ากล้องอันหนักอึ้งให้ ผมเองปฏิเสธไป 1 ครั้ง เดินไปอีกนิด หน้าขาวซีดมากขึ้น แกเลยถามอีกครั้ง คราวนี้ขอไม่เกรงใจละ เอาไปเลยเพ่.......แล้วแกก็เอาน้ำของแกที่เหลือ 1/4 ขวดมาให้ผมทานต่อ อื้อหือ แกนี่เหมือนมนุษย์เหล็กเลยนะนี่ แบกของรอบตัวเลย อิอิ เดินมาก็เจอกับอสรพิษอีกอย่างคือ งู แกจัดการไล่มันไปจากทางเดิน แล้วเดินต่อไป ขึ้นต่อไปๆๆๆ ฝ่าด่านอรหันต์การขึ้นลูกเดียวแบบดิกๆมาจนได้ เจอทางราบค่อยสบายหน่อย .....ขอแวะจุดชมวิวหน่อยนะครับ....เสียงผม request ให้ คุณอำไพหยุดพักการเดินทาง เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่หลายๆคนใช้เป็นเนินแกะทากกัน ส่วนผมขอนอนพักสักพัก อิอิ ด้วยพลังแรงฮึดเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ จึงออกมาถึงทางสว่างข้างนอกได้ เวลา 4 โมงเย็นพอดี เหมือนหลุดออกจากนรกเลย ขานี่ตะคริวเกือบกินแนะ คิดตลอดทางว่า จะไม่มาที่นี่อีกแล้ว จริงๆ ครั้งเดียวก็เกินพอ สรุปแล้ว มีคณะผมคณะเดียวในวันนั้น แต่คุณอำไพบอกว่า เมื่อวานนี้ร่วม 100 คนแนะ คงวุ่นวายน่าดู สะบักสะบอมออกมาเลยขอคุณอำไพ ใจดีของเราอาบน้ำสักกะหน่อย แกบอกว่า น้ำนะอาบได้ น้องๆน้ำแข็งเลยนะ ผมไม่กลัวหรอก เพราะตอนนี้อาบเหงื่ออยู่ เสร็จจากอาบน้ำ เดิมทีอยากจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ทับเบิก แต่สภาพร่างกายเดินไม่ไหวแล้ว ไปกางเต้นท์แล้วหาอะไรกินแล้วนอนดีกว่า ไม่คิดเรื่องใดๆอีกแล้ว กลับมาที่ทำการกลาง ติดต่อ แล้วเตรียมกางเต้นท์ งานนี้ มีคนกางอยู่แล้ว 2 เต้นท์ ช่างเงียบเหงาเสียกระไรนี่ กองทัพนักท่องเที่ยวไปกันหมดแล้ว เย็นวันนี้ขอฉลองด้วยเมนูเด็ดที่ ร้านดวงใจสักหน่อย กองทัพเพิ่งกลับไป ทำให้ทุกอย่างในร้านหมดลง แครอท ไม่มี ปลากระป๋องก็หมด อดกินส้มตำแครอทเลย งานนี้ลองเมนูเด็ด ไข่เจียวพิเศษไทยพิซซ่า และ แกงเขียวหวานมาลองกัน อร่อยมากเลย อาหารจานค่อนข้างใหญ่เลย ราคาไม่แพงมากนัก อิ่มแล้วขอพักผ่อน งานนี้นอนตั้งแต่ทุ่มครึ่งกันเลย เพลียมากๆ

12 ธันวาคม 2543

เป็นวันที่สบายๆ ตื่นกัน 8 โมง เสร็จภารกิจแล้ว ไปติดต่อศุนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อดูข้อมูลสถานที่เที่ยววันนี้ วันนี้จะเป็นการเที่ยวภูหินร่องกล้าสักครึ่งวัน งานนี้ขอพึ่ง มาม่า+น้ำร้อน เป็นอาหารเช้าที่สะดวก ซื้อได้ที่ร้านสวัสดิการ มีน้ำร้อนบริการซะด้วย จากนั้นไปเป้าหมายแรกคือ หลุมหลบภัย นึกถึงขาก็ยังเดี้ยงอยู่เลย แต่มาไกลขนาดนี้แล้วต้องทนต่อ เดินกันเข้าไป หลบภัยหลบอะไร ซอกไหน เดินกันจนหมด แล้วต่อด้วยกังหันน้ำ ผลงานชิ้นสำคัญของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ 16 ตุลา ได้มาอยู่ที่นี่ และได้สร้างกังหันนี้ช่วยปั่นไฟ และตำข้าว จากการใช้พลังงานน้ำมาช่วย

ลานหินปุ่ม สวยประหลาดบริเวณลานเอนกประสงค์ผาชูธง

แล้วขับรถมาต่อที่ ลานหินปุ่ม ผาชูธง ลาอเนกประสงค์ ซึ่งต้องเดินเท้าอีก ประมาณ 3.2 กิโลเมตร โอ้โห เดินอีกแล้ว งานนี้พลาดไม่ได้ เพราะปุ่มหินที่นี่ สวยมากกกกกกกจริงๆ จากนั้นขอตัดลานหินแตกทิ้งจากโปรแกรมไป เพราะเดินมากแล้ว จะต้องออกไปเที่ยวน้ำตกต่อดีกว่า ระหว่างปีกขึ้นหินที่ผาชูธง เสียงดัง......แคว๊ก..... อะไรเกิดขึ้นนี่ อ้าว ยีนส์ตัวเก่งของเรามันขาดตรงเป้าไปประมาณ 3 นิ้วแนะ แฮะๆ พอทนเดินหนีบๆต่อไปได้ เนื่องจากชุดมีจำนวนจำกัด จึงขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยน แต่ใข้วิธีการหนีบไว้แทน 555555 ก่อนจากต้องขอสั่งลาด้วย ส้มตำแครอทสัก 2 จาน ที่ร้านดวงใจ สักกะหน่อย กินกันจนอิ่มแปร้

น้ำตกแก่งโสภามุมนี้ต้องเดินลงไปด้านล่าง

บ่าย 2 แล้วนี่ เราเลือกที่จะไปแวะ น้ำตกแก่งโสภา เป็นสถานที่ที่เดินเท้าน้อย และอยู่ไม่ไกลนัก แถวๆปากทางที่บ้านแยงเอง ระยะทางจากภูหินร่องกล้าไปน้ำตกนี้ก็ 57 กิโลเมตร เสียค่าธรรมเนียม คนละ 20 บาท และค่ารถเข้าไปอีกคันละ 30 บาท รวมเป็น 70 บาท น้ำตกนี่ขับรถเข้าไป 1.5 กิโลเมตร เดินต่ออีก 200 เมตร ก็จะเจอ น้ำตกใหญ่ สวยงามเช่นกัน ชั้นบนสุด เราเลือกที่จะลงไปดูมุมมองด้านล่าง เห็นหลายชั้น แต่ต้องลงบันไดชันดิกๆๆๆๆลงไปอีก ต้องทนอีกแล้ว เก็บภาพแล้วกลับมา เพื่อจะแวะหาข้อมูลต่อที่ อช.ทุ่งแสลงหลวง ระหว่างที่ใช้วิชาลิงปีนก้อนหินไปมาหามุมถ่ายภาพอยู่นั้น เสียง ...แคว๊ก...ดังอีกครั้ง งานนี้เพื่มเป็น 5 นิ้วเลย 55555 โอ๊ย เย็นจัง ว้า.... 4 โมงเย็นแล้ว ไปต่อดีกว่า อีกไม่กี่กิโล ตรง กม. ที่ 80 ก็เจอ อช. ทุ่งแสลงหลวง เข้าไปติดต่อหาข้อมูล ไดความว่า ตอนนี้ทุ่งหญ้าสะวันนา แห้งแล้ง วิวไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ กลางวันอากาศร้อน เราจึงขอบายเพื่อไปนอนที่น้ำหนาวดีกว่า ระหว่างทางขอแวะซื้อของฝากเป็นมะขามหวานเพชรบูรณ์สักกะหน่อย คุยกับแม่ค้า เขาเล่าว่า เมื่อคืนดูข่าว มีนักท่องเที่ยวจากสระบุรี 3 คน ขับรถเก๋งไปน้ำหนาวกลับมา เบรคไม่อยู่แหกโค้งหล่นเหวตายไป 3 ศพ หากไม่ชินเส้นทาง ขับรถระวังหน่อยนะ อุอุอุ น่ากลัว กำลังจะมืดเชียว ต้องรีบบึ่งแล้วละ เส้นทางสายนี้สวยจริงๆ แต่โค้งเยอะไปหน่อย ไต่ไปตามขุนเขา วิวสวยมาก จากน้ำตกแก่งโสภา ไปอีก 106 กิโลก็จะเจอน้ำหนาว เข้าเขต อช. น้ำหนาว เสียค่าธรรมเนียม คนละ 20 บาท ค่ารถอีก 30 บาท ปาเข้าไป 18.00 น. ติดต่อ จนท. ชำระค่ากางเต้นท์ อีกคนละ 30 บาท แล้วไปกางเองที่ๆจัดไว้ให้ ค่ำวันนี้ขอฝากท้องไว้ที่ร้านป้าแดง สั่งแกงจืดชามโตมากๆมากิน ราคากันเอง ไม่แพงมาก แล้วอาบน้ำให้ฉ่ำปอดอีกครั้ง และสุดท้ายต้องทิ้งกางเกงยีนส์ตัวเก่งไปซะ น่าเสียดาย ก่อนที่จะนอน ประมาณ 21.30 น.

13 ธันวาคม 2543

ตื่นกันอีกครั้ง หลังจากที่อากาศด้านนอกหนาวมาก น้ำค้างจัด ตื่นกันตอนตี 5 ล้างหน้าแปรงฟัน แล้ว ขับรถออกไป ณ จุดชมวิว ที่ห่างออกไปอีก 5 กม. มืดมาก การขับรถต้องใช้ผ้าเช็ดกระจกที่ขึ้นฝ้าอย่างหนาด้านหน้าตลอดทาง เดินขึ้นไปอีก 400 ม. ก็ถึงเนินที่รอชมพระอาทิตย์ขึ้น เมฆเยอะพอควร ระหว่างรอ ได้ยินช้างเดินเล่น หักกิ่งไผ่ด้านล่าง

มุมยอดฮิตดวงอาทิตย์แรงกล้าทะเลหมอกยามเช้า

ถ่ายรูปกันพอควร ก็เดินทางกลับมา ทานข้าวต้มจานยักษ์ชนิด อิ่มได้ 2 วัน ที่ร้านป้าแดง เจ้าเดิม แล้ว เริ่มเดินป่าชมนกชมไม้ บนเส้นทาง 3 กิโลเมตร กว่าจะได้เดินทางก็ 9 โมงเช้า เจอนกมากมายแต่ไม่รู้จัก เพราะไม่สันทัด กลับออกมาก็ 11 โมง จากนั้นขอตัวกลับกรุงเทพฯเลยดีกว่า เพราะเจนเริ่มเวียนหัว ไม่สบายแล้ว จึงออกเดินทางกลับกรุงเทพฯผ่านเมืองเพชรบูรณ์ตามเส้นทางหมายเลข 203 ก่อนเข้าเมืองเพชรบูรณ์ขอท้าพิสูจน์ เนินมห้ศจรรย์ จอดรถบนเนินแล้ว รถสามารถถอยหลังขึ้นเนินได้ มหัศจรรย์จริงๆ อยู่บนถนนหมาายเลข 2258 ที่แยกออกจากเส้นทาง 203 มุ่งหน้า เขาค้อ ไปประมาณ 17.5 กิโลเมตร จากนั้นขอหิ้วท้องไปกินไก่ย่างแสนอร่อย คือ ไก่ย่างวิเชียรบุรี โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ร้าน เปิปพิศดาร ไก่ย่างตาแปะ ถึง 3 แยกวิเชียรบุรี มองหาไม่เจอ จึงเลี้ยวซ้ายเข้าไป 50 เมตร เจอร้านด้านซ้าย ...โชคดีที่สุ่มหาเจอ งานนี้มากับดวง อิอิ สั่งไก่ย่าง ส้มตำ ลาบเป็ด แหม!!! ไก่ของเขาอร่อยดีจริงๆ นี่ก็บ่าย 3 โมงครึ่งแล้ว กลับ กทม. ดีกว่า จึงตีรถยาวต่อมาเรื่อยๆ จนมาเจอรถติดใน กทม. อีก กว่าจะถึงบ้าน ปาเข้าไป 1 ทุ่ม ทริปนี้ 1,194 กม. จบ....

หมายเหตุ :

- งานนี้ขาเดี้ยงเดินแบบขางอไม่ได้ไป 2 วัน ต้องนวดยากันยกใหญ่

- รองเท้าตัวดี กัดซะไม่มีเหลือเลย เล็บเท้านิ้วโป้งซ้ายสาหัส อาการสีม่วงช้ำ สงสัยจะถอดเล็บแน่ๆ เป็นเพราะจิกเดินด้วยปลายเท้า บ่อยมาก แถมนิ้วนางขวาก็เป่งจนแตกดังโพละไปแล้ว เหลือแต่รอยอาลัยสีแดงกลมให้แสบเล่น

- กางเกงยีนส์ตัวโปรด ทำงานหนักจนต้องสละทิ้งไป น่าเสียดาย

- น่าสงสารทากตัวน้อยที่ไม่ได้รับบริจาคเลือดจากพวกเรา

- ขอบคุณเจ้างูสีน้ำตาลและตะขาบใหญ่สีสวยที่ออกมาหยอกล้อเล่นกัน

- ขอบคุณ เจ้าหน้าที่อำไพ ที่ดูแลเราเป็นอย่างดี

 

! MAIN ! น้ำตกหมันแดง !

1