คู่มือการขับรถอย่างปลอดภัย
![]() |
1.
ก่อนขับรถ
2. การขับรถ 3. ยางรถยนต์/กระทะล้อ 4. อุปกรณ์จำเป็นประจำรถ 5. ทัศนวิสัยและภัยธรรมชาติ 6. เหตุฉุกเฉิน 7. เกร็ดน่ารู้ |
1.1 กระจก/หน้าต่าง (windows) ต้องใสทั้งด้านในและด้านนอก ถ้ามีรอยเปื้อนให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดให้สะอาด
1.2 ประตู (door) ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ประตูรถทุกบานปิดสนิทก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์
1.3 เบาะนั่ง (seat) ปรับเบาะนั่งให้สะดวกและถูกต้องในการขับ
1.4 กระจกส่องหลัง (mirror) ต้องใสสะอาดและปรับตั้งให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
1.5 เข็มขัดนิรภัย (seat belt) ให้ปฏิบัติจนเป็นนิสัยว่า ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์จะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยก่อนเสมอ
1.6 การสตาร์ทเครื่องยนต์ (start engine) ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ตรวจสอบว่า
- เบรคมือ (hand brake) ได้ขึ้นไว้/font>
การสตาร์ทเครื่องยนต์ ให้บิดกุญแจสตาร์ทประมาณ 5 วินาที เพื่อติดเครื่องยนต์
หากไม่ติดให้ทิ้งช่วงห่าง ประมาณ 30 วินาที แล้วเริ่มสตาร์ทใหม่ ถ้าใช้โช้ค
(choke) ให้ปิดโช้คทันทีเมื่องเครื่องติด เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง
1.7 อุปกรณ์ต่าง ๆ (instrument)
เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วให้มองดูที่แผงหน้ารถ (dashboard) ว่าสัญญาณไฟต่าง
ๆ ได้ดับหมดแล้ว อาทิเช่น ไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่อง ไฟสตาร์ท ไฟชาร์จ เป็นต้น
และตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องด้วยว่ามีเพียงพอหรือไม่ และต้องมั่นใจว่าอ่านไฟสัญญาณเหล่านั้นออก
ว่ามันทำหน้าที่ควบคุมส่วนใด
1.8 พวงมาลัย
ควรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สามารถจับได้สะดวก โดยมือซ้ายที่10 นาฬิกา มือขวาที่
2 นาฬิกา และใช้พวงมาลัยแบบ PUSH & PULL ต้องไม่มีการไขว้มือกันในการขับขี่
2.1 ออกรถ (move off)
เมื่อตรวจสอบทุกอย่างดังกล่าวเรียบร้อยแล้วมองกระจกหลังหากปลอดภัยที่จะออกรถได้
ให้สัญญาณและออกรถทันที เมื่อออกไปได้สัก 3-4 เมตร ให้ท่านทดสอบระบบเบรคดูว่ามันทำงานได้ดีหรือไม่
2.2 การเข้าโค้ง
"เข้าให้ช้า" หมายความว่า เมื่อเรามองเห็นโค้งข้างหน้าให้ลดความเร็วลง โดยถอนคันเร่งหรือแตะเบรคเบา
ๆ แล้วแต่กรณีประเมิณโค้งดูว่าจะเข้าด้วยความเร็วเท่าใดจึงจะปลอดภัย และเปลี่ยนเกียร์ลงให้เหมาะสมกับความเร็วที่เราประเมิณได้
เช่น เราประเมิณว่าโค้งนี้ควรเข้าด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. จึงปลอดภัย เราก็จะแตะเบรคให้
ความเร็วเหลือ 50 กม./ชม. เปลี่ยนเกียร์ให้เป็นเกียร์ 3 แล้วให้เราล็อคคันเร่งให้คงที่ที่ความเร็วนั้น
มือทั้งสองข้างจับ อยู่บนพวงมาลัยอย่างมั่นคง ให้เข้าโค้งไปอย่างนุ่มนวล
ขณะอยู่ในโค้งอย่าถอนคันเร่งให้ความเร็วลดลง หรืออย่าเร่งให้แรงขี้น เพราะทั้งสองกรณีนี้จะทำให้รถเสียหลักได้
"ออกให้เร็ว" เมื่อรถได้พ้นโค้งเข้าสู่ทางตรงแล้ว ให้เร่งเครื่องไปจนความเร็วสุดรอบของความเร็วรอบเครื่อง
แรงบิดสูงสุดประมาณ 3,500 รอบ/นาที แล้วเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น รถก็จะออกจากโค้งไปอย่างรวดเร็ว
การกระทำดังนี้จะไม่ทำให้การเดินทางของเราเสียเวลาเลยในการที่เราเข้าโค้งช้า
ๆ แต่จะชดเชยในการออกจากโค้งให้เร็ว
แต่มีบางครั้งเพราะพลั้งเผลอหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าโค้งไปด้วยความเร็วเกินกำหนด
ขั้นตอนที่จะบังคับรถเข้าโค้งโดยปลอดภัย ให้ปฏิบัติดังนี้
*สำหรับรถยนต์เกียร์ AUTO ควรใช้ OFF OVER DRIVE เพื่อควบคุมความเร็วและช่วยในการเกาะถนน
2.3 คติประจำใจ
2.4 การขับรถผ่าน 4 แยก
2.5 การเบรค
2.6 การแซง
- เกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
- เหยียบคลัทซ์
- สตาร์ทเครื่องยนต์
2.
การขับรถ
การออกรถ
- เข้าเกียร์ต่ำสุด
- ปลดเบรคมือ
- ออกรถ
เพียงการตรวจสอบขั้นต้นเท่านี้ความปลอดภัยขั้นมูลฐานก็จะเกิดแก่ทุกท่านที่ปฏิบัติตามโดยทั่วกัน
เข้าให้ช้า และออกให้เร็ว(หากเข้าให้เร็วแล้วอาจจะไม่ได้ออกจากโค้งเพราะพังพาบอยู่ในโค้งนั่งเอง)
แต่ในด้านความเปลอดภัยนั้น
มั่นใจได้ว่าเราจะเข้าโค้งได้ทุกโค้ง และเมื่อเข้าแล้วได้ออกจากโค้งด้วยเหมือนกัน
- แตะเบรคด้วยความแผ่วเบาอย่างถี่ ๆ หลายครัั้ง สลับกับการเร่งน้ำมันเล็กน้อย
เพื่อให้เครื่องยนต์มีแรงฉุด ถ่ายกำลังลงไปถึงล้อทำให้รถมีแรงเกาะถนน
- มือต้องหมุนพวงมาลัยอย่างมั่นคงโดยช่วยประะคองพวงมาลัยทั้งสองมือ
- ห้ามเหยียบคลัทช์ในทางโค้งอย่างเด็ดขาด
- ห้ามเปลี่ยนเกียร์ในทางโค้งอย่างเด็ดขาด/font>
- ห้ามเหยียบเบรคแรง ๆ โดยเด็ดขาด เพราะจะทำำให้รถซึ่งกำลังเข้าโค้งเร็ว
ๆ อยู่แล้ว หลุดจากโค้งโดยทันที
- ดูกระจก (mirror)
- ให้สัญญาณ (signal)
- ปฏิบัติ (maneuver)
- รู้ว่าจะไปทางไหน (know)
- ชะลอความเร็ว (slow)>
- ให้สัญญาณ เช่น แตร/ไฟหน้า (show)<
- ไป (go)
- การขับรถที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ระยะที่เเบรคจนรถหยุดได้คือประมาณ 100 เมตร
เพราะฉะนั้น ควรขับรถทิ้งห่างจากคันหน้าประมาณ 3 วินาที (ใช้วิธีการนับ 1,001-1,003
ซึ่งอาจใช้ระยะห่างของเสาไฟฟ้าเป็นหลักในการนับ โดยให้รถคันหน้าถึงจุดที่เรายึดเป็นหลักและเริ่มนับ
และดูว่ารถของเราวิ่งถึงจุดของรถคันหน้าห่างกี่วินาที)
-
ใช้เบรคมือทุกครั้งเมื่อจอดรถ เพราะจะทำให้ระบบเบรคทำงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ
- เปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งอย่างน้อย 5 - 10 วินนาที ก่อนทำการแซง
- มองกระจกส่องหลังและกระจกมองข้างทุกครั้ง ก่อนแซง
- ควรดูรถข้างหน้าที่สวนมาว่าอยู่ห่าง พอที่่จะทำการแซงได้หรือไม่
- กรณีที่แซงรถขณะรอบเครื่องต่ำ ให้ลดเกียร์์ลงเพื่อช่วยให้รถมีแรงในการพุ่งทยาน
- กรณีที่มีรถวิ่งสวนมาขณะทำการแซง ให้เปิดไไฟหน้าเพื่อขอทาง
3.1 ควรตรวจสอบหน้ายางและแก้มยางเป็นประจำ ตรวจสอบเพื่อดูว่ามีความเสียหายใด ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น รอยบาด แยก กระแทรกหรือฉีกขาดที่ดอกยาง หรือบริเวณแก้มยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีรอยบาดที่เห็นถึงชั้นโครงยาง ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า สามารถถอดมาซ่อมได้หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่
3.2 ตรวจสอบสภาพของกระทะล้อและวาล็วเติมลมเป็นประจำ ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพราะเป็นส่งนประกอบที่สำคัญของชุดกระทะล้อในยางประเภทไม่ใช้ยางใน
3.3 ตรวจสอบบริเวณดอกยาง บริเวณดอกยางจะมีสัญลักษณ์บอกระดับความลึกของร่องดอกยาง ว่ายางเส้นนี้หมดดอกแล้ว ซึ่งหมายถึง ดอกยางนั้นสึกจนเหลือน้อยที่สุดแล้ว ควรเปลี่ยนใช้ยางเส้นใหม่ได้ (สัญลักษณ์บอกระดับสูง 1.6 มม.)
3.4 เขี่ยก้อนกรวดเล็ก ๆ หรือตะปูที่ติดค้างในร่องดอกออกให้หมด ควรเขี่ยก้อนกรวดเล็ก ๆ หรือตะปูที่ติดออกให้หมด เพราะสิ่งเหล่านั้นจะค่อย ๆ เบียดตัวลึกลงไปทำให้ยางแตก หรือรั่วซึมได้ในที่สุด
3.5 ตรวจสอบคราบน้ำมัน น้ำมันทุกชนิดจะทำให้ดอกยางบวม สึกเร็วผิดปกติและไม่เกาะถนน ให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่เท่านั้น
3.6 ตรวจสอบการสึกหรอของหน้ายาง ตรวจดูการสึกหรือของหน้ายางว่าผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีก็อาจเป็นปัญหาที่เกิดกับระบบส่งกำลัง ระบบเบรค ลูกปืน และศูนย์ล้อ ควรปรึกษาช่างเพื่อทำการซ่อมแซมแก้ไข
3.7 ความลึกของดอกยาง ความลึกของดอกยางต้องเหลือไม่น้อยกว่า 2 มม. เพื่อให้สมรรถนะของยางในการยึดเกาะถนนยังคงเดิม
3.8 การเข้าโค้ง การเข้าโค้งอย่างรุนแรง ออกรถแบบพุ่งกระโจน หรือวิ่งบนถนนไม่ดีเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ยางสึกเร็ว
3.9 ตรวจสอบฝาวาล์ว ตรวจสอบฝาวาล์วของยางแต่ละเส้นว่าปิดสนิทดีแล้วและอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกัน ไม่ให้ลมรั่วซึมออกมาได้
3.10 ลมยางอะไหล่ ควรเติมลมยางอะไหล่ให้สูงกว่าที่กำหนด 3-4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เมื่อนำมาใช้จึงค่อยปล่อยลมให้เหลือเท่าที่กำหนด
3.11 เมื่อรถเสียต้องลากจูง เมื่อรถเสียต้องลากจูงให้เพิ่มลมที่ล้อหลัง 3-4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว
3.12 ตรวจหรือเติมลมยาง การตรวจหรือเติมลมยางจะต้องทำในขณะที่ยางเย็นอยู่เสมอ
3.13 อายุการใช้งาน อายุการใช้งานของยางอยู่ที่ 40,000 กม. หรือ 24-30 เดือน
ค ว า ม ดั น ล ม ย า ง
อัตราสูบลมที่ถูกต้องหมายถึง
ความปลอดภัย
ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ใช้งานได้นานกว่า
ขับขี่นุ่มนวล
ข้อควรระวัง
อย่าปล่อยลมขณะยางร้อนและอย่าลืมขันฝาวาล์วไว้ทุกล้อเช่นเดิม
การสลับยางสำหรับรถยนต์นั่งและรถปิกอัพ
การสลับยางเป็นวิธีการดูแลรักษายางที่สำคัญ เพราะจะช่วยรักษาคุณสมบัติของยางให้คงอยู่และยืด
อายุการใช้งานให้ยาวนาน การสลับยางจะต้องทำอย่างถูกวิธี ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม
โดยทำตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถหรือยาง เต่ยางบางประเภท เช่น Asymmetric Tyre
หรือยางที่มีลายดอกยางสองข้างแตกต่างกัน และ Unidirectional Tyre หรือยางที่ใช้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน
จะมีวิธีสลับยางที่แตกต่างจากยางทั่วไป จึงควรปรึกษาบริษัทผู้ผลิตถึงวิธีการสลับยางที่ถูกต้อง
วิธีการสลับยางของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวถนน
สภาพภูมิอากาศ และภูมิประเทศในเขตนั้น ๆ
ผลการวิจัยทำให้กำหนดได้ว่า การสลับยางครั้งแรกเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยรถขับเคลื่อนล้อหน้า
ควรจะสลับยางครั้งแรกที่ 7,000 กม. และครั้งที่สอง จะสลับเมื่อล้อหน้าผ่านการใช้งานไปแล้ว
50% หรือใกล้เคียง (สลับยางครั้งที่สอง ที่ระยะทางประมาณ 15,500 กม.) รถขับเคลื่อนล้อหลัง
และรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ควรสลับยางเพียงครั้งเดียวคือ ที่ 7,000 กม. แรก และหมั่นตรวจเช็คศูนย์ล้ออย่างสม่ำเสมอ
4.1 เครื่องดับเพลิง/ที่ทุบกระจก
4.2 เครื่องวัดลามยาง/เครื่องเติมลมยาง
4.3 สายพ่วงแบตเตอรี่
4.4 เข็มแยงรู้น้ำฉีดกระจก
4.5 แว่นเหลืองใส่ขับรถกลางคืน (ถ้ามี)
4.6 เครื่องมือประจำรถ เช่น แม่แรง/ประแจถอดน็อตล้อ ฯลฯ
5.1 การขับรถเวลากลางคืน
อุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเวลากลางคืน เพราะยามค่ำคืนมีอุปสรรคมากมาย
กลางวันนั้น เราสามารถมองเห็นได้ไกล เท่าที่สายตาของเราจะมองเห็น ทั้งด้านหน้า
ด้านหลัง และรอบข้าง ส่วนเวลากลางคืนนั้น เราจะมองเห็นได้เฉพาะเท่าที่แสงไฟหน้ารถส่องไปถึงเท่านั้น
ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว ควรงดเว้นการขับรถในเวลากลางคืน แต่ถ้าเกิดความจำเป็นต้องขับรถในเวลากลางคืนล่ะ
ควรจะทำอย่างไร
- เตรียมรถให้พร้อม
สภาพร่างกายทั้งด้านจิตใจและสายตาต้องพร้อมอยู่เสมอ พักผ่อนให้พอ
จิตใจจะได้สบายไม่หงุดหงิด สายตาต้องสู้ไฟและคุ้นกับแสงไฟ สามารถมองเห็นทัศนวิสัยได้รวดเร็ว
เมื่อมีรถส่องไฟสวนมา ขณะขับรถ บางคนจะมองจุดแบ่งถนนที่เป็นจุด ๆ ไปตลอด ทำให้เกิดอาการง่วงซึมก็ควรเลี่ยง
โดยการใช้สายตากวาดไปมาแบบเรดาร์(radar) จะทำให้อาการเหล่านี้หายไป
5.2 การขับรถขณะฝนตก
เมื่อขึ้นนั่งต้องปฏิบัติดังนี้
เมื่อตรวจความเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราลองมาคุยกันถึงการขับรถฝ่าสายฝนกันบ้าง
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อฝนตกถนนลื่นมาก การเกาะจับพื้นจราจรมีอุปสรรคมากมาย
ดังนั้นสิ่งแรกก็คือ ต้องลดความเร็วลงให้มากกว่าปกติ ขับช้าไว้ย่อมปลอดภัยกว่า
และเพื่อเพิ่มการเกาะจับถนนให้มากขึ้น ควรจะใช้เกียร์ต่ำกว่าปกติ 1 เกียร์
เช่น เคยใช้เกียร์ 5 ก็ให้ขับเกียร์ 4 แทน จะทำให้รถเกาะจับถนนดียิ่งขึ้น
และอีกประการหนึ่ง ไม่ควรบรรทุกของหนักขณะฝนตกถนนลื่น เพราะจะควบคุมการขับขี่ได้ยาก
*ขณะฝนตกถนนลื่นควรขับรถห่างจากคันหน้าอย่างน้อย 4 วินาทีขึ้นไป แต่ถ้าเกิน
100 กม./ชม. ให้คูณ 2
5.3 การขับรถลุยน้ำ(ท่วม)
- ใช้กระสอบ กระดาษแข็ง ๆ หรือที่ดีที่สุดก็็คือยางปูพื้นกันฝุ่น ปิดที่กระจังหน้ารถเพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าจานจ่าย
ในกรณีที่ไม่มีเพื่อร่วมทาง ขับรถไปคนเดียวโดด ๆ จงอย่าเดาสุ่มมุดน้ำไปเป็นอันขาด
จอดรถใส่เบรคมือไว้ แล้วลงไปลุยดูร่องการจราจรเอง หมายตาไว้ระยะใกล้
ๆ พอจำได้แล้วก็ขับไปจนถึงที่ ๆ สำรวจไว้ แต่ถ้าเกิดเครื่องยนต์ดับ ถ้ามีน้ำยา
SONAX ให้ฉีดลงไปที่หัวเทียน หรือถ้าไม่มีให้ใช้ผ้าเช็คบริเวณหัวเทียนจนแห้ง
5.4 เมื่อรถตกน้ำ
- ปลด safety belt ออกทุก ๆ คน รวมทั้งผู้โดดยสารด้วย
นอกจากนั้นก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็ก ๆ อาจจะหนีบเด็ก ๆ นั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน
ถ้าปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ ชีวิตก็จะปลอดภัย แต่วิธีที่ดีที่สุดคือระวังในการใช้รถใช้ถนนให้มาก
อย่าให้รถตกลงไปในน้ำได้นั่นแแหละดีที่สุด การใช้รถใช้ถนนควรยึดถือสโลแกนที่ว่า
"รอบคอบเป็นนิจ ชีวิตปลอดภัย"
5.5 การขับรถฝ่าหมอก
ไฟ
ให้เปิดไฟทันทีเมื่อทัศนวิสัยแย่ลง เปิดไฟใหญ่ต่ำ ไม่ใช้ไฟหรี่ ทั้งนี้เพื่อให้คนอื่นมองเห็นเรา
หากมีไฟตัดหมอก ให้เปิดทั้งไฟหน้าและไฟหลัง เพื่อผู้ใช้ถนนร่วมกับเรา จะได้เห็นเราในระยะไกลขึ้นกว่าธรรมดา
หากขับฝ่าหมอกในระยะไกล ๆ ต้องหมั่นทำความสะอาดกระจกโคมไฟด้วย
ความเร็ว
ลดความเร็วลงให้เหมาะสมกับสภาวะในขณะนั้นทั้งนี้มีหลักง่าย ๆ สำหรับความเร็วที่เหมาะสมว่า
ท่านจะต้องสามารถหยุดรถได้ทันในระยที่ท่านมองเห็น ไม่ควรจะขับเร็วเกินกว่า
10 กม./ชม. และหลักง่าย ๆ ก็คือ ขับให้อยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นไฟของรถคันหน้าได้และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยพอเหมาะ
การเลี้ยวรถ
การเลี้ยวขวาในขณะขับรถฝ่าหมอก นับว่าเป็นการปฏิบัติที่อันตรายมาก หากหลีกเลี้ยงได้ควรหลีกเลี่ยง
แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ให้สัญญาณล่วงหน้าอย่างชัดเจนและเหมาะสม
ระมัดระวังอย่าหนีจากผู้ร่วมใช้การจราจรร่วมกับเรา ควรเปิดหน้าต่างรถด้วย
เพื่อใชัหูฟังเสียงสิ่งอยู่รอบตัวเราในขณะนั่นเพื่อช่วย "ตา"
อีกทางหนึ่ง และการเปิดหน้าต่างนั้น จะช่วยลดละอองฝ้าที่จับตามกระจกรอบ
ๆ รถ ทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์ มองไม่เห็นทางและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก
เปิดไฟแวบหน้า หรือบีบแตรให้มากกว่าปกติที่เคยสักเล็กน้อย เพื่อให้รถที่อยู่ข้างหน้าหรือสวนทางได้มองเห็นเรา
การหยุดรถกลางหมอกควัน จุดนี้จัดได้ว่าอันตรายอย่างใหญ่หลวงทีเดียว
เพราะรถที่ตามาหรือสวนทางจะมองไม่เห็นรถเรา ที่จอดขวางทางเขาอยู่ ดังนั้น
จึงต้องจอดให้พ้นทางเดินรถให้มากที่สุด หากจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้สร้างเครื่องกีดขวาง
หรือสัญญาณเตือนผู้ร่วมใช้ถนนอื่น ๆ ให้รู้ตัวล่วงหน้าในระยะห่างที่ปลอดภัย
และถ้ามีไฟสัญญาณเตือนฉุกเฉินให้เปิดไว้ตลอดเวลา หากมีเครื่องหมายแบบสากล
คือสามเหลี่ยมสะท้อนแสง สีแดง ให้ตั้งห่างจากรถที่จำเป็นต้องจอดอยู่กลางหมอกประมาณ
100-150 ฟุต และต้องจอดโดยทันที หากหมอกควันหนาทึบมาก และต้องปฏิบัติตามกฎดังกล่าวแล้วในบางครั้งก็จะต้องจอดเป็นระยะ
ๆ เช็ดกระจกหน้าและไฟหน้า ไฟท้าย ให้สะอาดทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
การขับรถฝ่าหมอกเป็นเวลานาน ๆ ร่างกายจะอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
และควรลดความเร็วลง และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการชนท้ายรถคันหน้า ควรขับห่างคันหน้าอย่างน้อย
8 วินาที
6.1 ยางระเบิดขณะขับรถ
- อายุการใช้งานของยางประมาณ 40,000 - 45,0000 กม.
ถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะดูแลดีที่สุดแล้ว โอกาสที่จะเกิดยางระเบิดก็มีอยู่บ้าง
เช่น วิ่งไปทับเรือใบหรือตะปูย้ำสะพานที่ตัวโต ๆ จนทำให้ยางฉีกขาดเป็นแผลฉกรรจ์หรือ
ขณะเดิทนทางไกลนาน ๆ ยางค่อย ๆ ซึมออกจนลมอ่อนกว่าพิกัด และเกิดความร้อนขึ้นจนเกิดระเบิดขึ้น
ดังนั้น ก็มีข้อแนะนำหากเกิดกรณีฉุกเฉิน ขณะที่กำลังขับอยู่ว่าจะทำอย่างไร
จึงจะปลอดภัย
1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
ขอสรุปอีกครั้งว่า ยางระเบิดเราป้องกันได้ถ้าเราไม่ประมาท และหากมันจะเกิดถ้าเราขับไม่เร็วจนเกินไปนักก็แก้ไขได้
6.2 ขับรถประสานงา
อะไรที่ทำให้รถวิ่งเฉไฉออกนอกลู่นอกทาง ไปวิ่งอยู่ในช่องทางเดินรถของชาวบ้านเขาจนเกิดเรื่องขึ้นมา
น่าจะพอสรุปได้ดังนี้
1. ผู้ขับเสียสมาธิจากการขับรถปล่อยให้รถวิ่งไปตามเรื่องตามราว ส่วนคนขับนั้นมัวทะเลาะกับผู้โดยสารบ้าง
ทะเลาะกับลูก ๆ เสียบ้าง มัวทำ sweet กับคนที่นั่งข้าง ๆ เสียบ้าง เหล่านี้เป็นต้น
สมมุติว่าเราทำได้สำเร็จแน่นอน เราจะไม่เป็นตัวก่ออุบัติเหตุ แต่ผู้ใช้ถนนร่วมกับเราอีกร้อยแปดจำพวก
ซึ่งเราจะประกันได้อย่างไรว่า เขาจะไม่ขับรถเซเข้ามาในทางของเรา หรือแม้แต่รถที่แซงชนิดที่เรียกันว่า
"แซงผ่าหมาก" สามารถพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในบ้านเรา เราจะแก้ไขอย่างไร
เพราะ Defensive Driving บอกว่า "เราต้องไม่ทำผิด (ในการขับรถ) และเมื่อผู้อื่นทำผิดมาเกี่ยวข้องกับเรา
เราต้องแก้ไขให้ปลอดภัยให้ได้"
ดังนั้น จึงมีกฎง่าย ๆ สำหรับตั้งรับเมื่อมีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น ดังนี้
1. ให้ลดความเร็วลง เปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม
- ลดความเร็วให้มาก เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์์กำลังมากที่สุด ตามสภาพความเร็ว
เช่น เกียร์ 2 หรือ 3
* ข้อควรระวัง คือ "เกียร์" นั้นจะต้องอยู่ในเกียร์กำลังสูงเสมอเพราะเป็นการสร้าง
footwork ให้แก่รถ
6.3 การเบรคฉุกเฉิน
ประการแรก รถจะพุ่งไปในแนวทางที่วิ่งไปเพราะแรงเฉื่อย ที่ผลักตามรถอยู่ตลอดเวลา
ในแนวทิศทางตรง จะหักพวงมาลัยหลบหลีกอย่างใด รถจะพุ่งไปในแนวตรงเสมอเพราะ
"ล้อถูกจับตาย"
ประการที่สอง การที่ล้อจับตายทั้งสี่ล้อนั้น ถ้ามีล้อใดล้อหนึ่งจับผิวถนนไม่เสมอกัน
เช่น มีใบไม้แห้ง แอ่งน้ำ ทราย หรือถุงพลาสติก ในล้อใดล้อหนึ่ง รถก็จะหมุนทันทีและไม่สามรถบังขับรถให้ตรงทิศทางได้
ประการที่สาม การเบรคจนล้อตายทั้งสี่ล้อนั้น ถ้าถนนลาดเอียงไปทางใด รถนั้นก็จะแฉลบลงไปทางนั้นและทำให้บังคับรถไม่ได้
ขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยที่จะต้องปฏิบัติมีดังนี้ คือ
*ข้อควรระวัง อย่างไปพะวงในเรื่องใช้เกียร์ช่วย หรือกระทำอย่างอื่นใด
7.1 ขับรถให้ประหยัดและปลอดภัย
7.2 การใช้เบรคมือ
7.3 ปัญหาเครื่องร้อน
ขั้นตอนในการตรวจสอบและป้องกันเครื่องร้อน
เอื้อเฟื้อข้อมูลเพื่อสมาชิก
โดยคุณ NC (Z 061)
- ตรวจระบบไฟต่าง ๆ
- ฟิวส์ไฟฟ้าที่ใช้กับรถขนาดต่าง ๆ/font>
- ไฟฉายขนาดเล็ก 1 อัน>
นักขับรถในเมืองไทย คงไม่มีใครที่ไม่เคยขับรถฝ่าสายฝน ลุยน้ำท่วม หรือฝนตกพรำ
ๆ ถนนลื่นมันปลาบเป็นแน่ เพื่อลดอุบัติเหตุอันจะเกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของท่าน
และผู้อื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ดังนั้นก่อนจะขับรถในหน้าฝนนี้ ข้อปฏิบัติที่ควรจะต้องตรวจตราให้รอบครอบก่อนคือ
- เบรกทำงานได้ดีหรือไม่
- ยางยังมีดอกคงสภาพใช้สอยสมบูรณ์ดีหรือไม่<
- ลมยางถูกต้องตามเกณฑ์ทั้ง 4 ล้อ หรือเปล่าา
- ไฟหน้า ไฟหลัง ไฟเบรค ทำงานครบถ้วนไหม
- ใบปัดน้ำฝนใช้ได้ดี ปัดสะอาดหรือไม่
- น้ำล้างกระจกในที่เก็บสำรองมีอยู่หรือไม่<
- ปรับกระจกส่งหลัง - ตั้งให้เข้าที่>
- ปรับที่นั่งให้สะดวกสบายและถนัด
- ตรวจเบรคมือ
- ตรวจสวิทว์สัญญาณต่าง ๆ
- คาดเข็มขัดนิรภัย
การขับรถลุยน้ำท่วมนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่นักขับขี่ยวดยานจำเป็นต้องเรียนรู้
เพื่อให้สามารถนำรถให้พ้นน้ำด้วยความปลอดภัย ทั้งแก่ตนเองและผู้ร่วมใช้ถนน
ในกรณีที่รู้ตัวก่อนว่าจะต้องขับรถลุยน้ำท่วม ทั้งนี้หมายถึงว่าจะต้องรู้ล่วงหน้า
และรู้ด้วยว่าน้ำนั้นลึกพอจะลุยผ่านไปได้ด้วยให้เตรียมตัวดังนี้
- ควรใช้สายยางโต ๆ ครอบปลายท่อไอเสียและยกขขึ้นให้เหนือน้ำ เพื่อให้หายใจ
แล้วรถก็สามารถวิ่งลุยน้ำไปได้
ควรตั้งสติให้ดีแล้วปฏิบติดังนี้
- อย่าออกแรงใด ๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจจ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
- ให้ยกส่งส่วนศีรษะ ให้สูงเหนือระดับน้ำที่่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในรถ
- ปลดล็อคประตูรถทุกบาน
- หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถ เพื่อปรับความมดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน มิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก
- เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้ว ให้ผลักบานปประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกนอกห้องโดยสารของรถได้
- จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือนน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้
มีหลาย ๆ วิธีที่เป็นวิธีหลักสำหรับนำไปปฏิบัติเมื่อขับรถฝ่าหมอก
6.
เหตุฉุกเฉิน
ปัญหายางระเบิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าท่านใช้ยางชนิดมียางใน (tube tyre) เหตุจะทำให้เกิดยางระเบิดมีมากมายและง่ายครับ
แต่ถ้าใช้ยาง tubeless แล้วโอกาสระเบิดน้อยมาก หากท่านเอาใจใส่ดูแลยางด้วยตัวเองตามข้อพึงระวัง
ดังนี้
- ยางนั้นมีอายุการใช้งานของตัวเอง (ควรเลืออกซื้อยางใหม่ ๆ โดยดูที่มีปีการผลิต)
- ยางทุกชนิดจะมีพิกัดความเร็ว เช่น ที่ขอบยยางจะเขียนไว้ว่า SR./HR./VR. (ควรศึกษา/สอบถามจากบริษัทยาง)
- ยางทุกเส้น มีขีดจำกัดในการบรรทุก ขึ้นอยูู่กับคุณลักษณะของยางที่นำมาใช้
- ยางแต่ละเส้นนั้นจะมีพิกัดแรงดันลม เช่น บบอกว่าสูบลมไม่เกิน 32 ปอนด์/ตารางนิ้ว
(ให้ปฏิบัติตามนั้น)
- สูบลมยางน้อยเกินไป ขณะรถวิ่งลมภายในยางจะะเสียดสีกันมาก ทำให้เกิดความร้อนสูงยางอาจระเบิดได้
- ยางที่สึกหรอมากจนบางแม้จะใช้น้อย หรือยางงที่มีบาดแผลชอกช้ำ อาจเกิดการระเบิดได้เสมอ
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจ มองกระจกหลังเพื่อดูว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรคอย่างแผ่วเบาและถี่ ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัทช์โดยเด็ดขาด เพราะถ้าเหยียบคลัช์รถจะไม่เกาะถนน รถจะลอยตัว
บังคับได้ยากยิ่งขึ้น
6. ห้ามดึงเบรคมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้ว ให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ
การชนแบบประสานงา หรือ head - on collision นั้น เป็นการชนที่นับได้ว่า
ร้ายแรงที่สุดในเรื่องอุบัติเหตุรถชนกัน เพราะเกิดจากความเร็วของรถทั้งสองฝ่าย
วิ่งเข้าบวกกันแรงกระแทรกจึงเกิดเป็นทวีคูณ ผลที่ตามมาจึงมักรุนแรงเสมอ
2. อาการป่วยไข้ อดนอน ร่างกายอ่อนเพลีย สุขภาพจิตไม่ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้ผู้ขับขี่รถเสียสมาธิไปจากการขับรถ
อาจจะทำให้รถวิ่งในช่องทางเดินรถของผู้อื่น และชนกันแบบประสานงาได้
3. ผลข้างเคียงจากยากดประสาทต่าง ๆ ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ แก้หวัด
ซึ่งบนฉลากยาหรือแพทย์ผู้สั่ง จะเตือนไว้เสมอว่าผลของยาออกฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม
ไม่ควรขับรถ เช่นนี้เป็นต้น ในข้อนี้รวมเอาจำพวกยาม้า ยาเสพติดอื่น ๆ และสุราเข้าไว้ด้วย
4. ปวดท้อง ไม่ว่าหนักหรือเบา ผู้ขับรถใจคอวอกแวก เสียสมาธิได้ทั้งสิ้น ผู้ขับรถจึงควรปลดเปลื้องให้เรียบร้อยก่อนออกรถ
5. การหิวเกินไป ทำให้ใจคอไม่ปกติหงุดหงิด อิ่มเกินไปทำให้ง่วงนอนและตามมาด้วยอาการหลับใน
2. ให้ไฟสัญญาณหน้าใหญ่ (ไฟแว้บ) เตือน หากคู่กรณียังไม่ตอบสนองใด ๆ คงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเข้ามาในทางของเรา
นั่นแสดงว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่รู้ตัวแน่แล้ว จุดวิกฤตเกิดขึ้นแล้วต้องปฏิบัติดังนี้อย่างเคร่งครัด
- บังคับรถให้อยู่ริมซ้ายสุด<
- เมื่อใกล้อันตรายถึงที่สุด ให้หักรถหลบออกก "ซ้าย" ข้อนี้พึงระวังให้จงหนักต้องหักหลบออกซ้ายเสมอ
- เมื่อพ้นจุดวิกฤตแล้ว ให้ค่อย ๆ หักรถกลับบคืนสู่ผิวจราจร อย่าหักรุนแรงหรือรีบกลับด้วยความตกใจ
การเบรคฉุกเฉินนั้นหมายความว่า ไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวมาก่อนว่าจะต้องเบรค
อาจจะขับรถใจลอยคิดเรื่องต่าง ๆ นานา หรือมีสิ่งต่าง ๆ มาตัดหน้ารถขณะขับ
ก็จะเหยียบเบรคอย่างฉุกเฉินหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "กระทืบเบรค" ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมื่อเผชิญเหตุการณ์ดั่งกล่าวข้างต้นนั้น
ส่วนมากเกือบ 99% จะต้องกระทืบเบรค
แน่นจนเบรคตาย
เพราะอาจตกใจกลัวจะชน แต่การที่กระทืบเบรคอย่างรุนแรง และไม่ปล่อยเลย จะทำให้เบรคนั้นจับล้อตายสนิททั้งสี่ล้อ
เมื่อล้อตายสนิททั้งสี่ล้อ อะไรจะเกิดขึ้น
1. มือทั้งสองจะต้องจับอยู่บนพวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. กระทืบเบรคโดยแรงแล้วปล่อยและกรทืบอีกสลับกันเป็นจังหวะ (สังเกตจากจังหวะใบปัดน้ำฝนปกติ)
3. กรณีที่ระบบเบรคเป็น ABS ให้เยียบเบรคแช่ไว้ ห้าม เยียบปล่อย ๆ เป็นอันขาด
7.
เกร็ดน่ารู้
- ใช้แกียร์ให้ถูกต้อง>
- เปิดแอร์เท่าที่จำเป็น
- ตรวจสอบลมยาง
- กำหนดเส้นทาง
- ตรวจสภาพรถ
- ใช้รถร่วม
- รักษากฎจราจร
- ให้สัญญาณ
- อย่าขับรถเร็ว
- ระวังถนนลื่น
- ใช้เกียร์ช่วยบังคับ>
- พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ/font>
- ให้ไฟให้ถูกต้อง
- จะมีอันตรายเมื่อถูกชนท้าย ถ้าไม่ขึ้นเบรคคมือไว้
- ป้องกันรถลื่นไถล ป้องกันความเสียหาย จึงคควรขึ้นเบรคมือ
- ในจังหวะติดไฟแดง รอเลี้ยว ขึ้นเบรคมือไว้้อย่าประมาท
- ขึ้นเบรคมือไว้เมื่อหยุดรถในที่ลาดชัน
- ขึ้นเบรคมือทุกครั้งที่จอดรถในที่จอด
- ใช้เบรคมือช่วยเบรคในกรณีฉุกเฉิน "เบรคแตกก"
- ถ้าไม่ใช่มืออาชีพ อย่าใช้เบรคมือช่วยในกาารเลี้ยวรถหรือกลับรถ
สำหรับผู้ที่ใช้รถด้วยกันแล้ว ปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ร้อนจัด ดูจะเป็นที่หวาดวิตก
หวั่นแกรงกันไม่น้อยอันที่จริง ก็น่าจะหวั่นกลัวกัน เพราะปัญหาเครื่องร้อนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
แก้ไขปัญหาไม่ทันท่วงทีแล้ว ปัญหานี้จะทำให้ผู้ใช้รถหนาวยะเยือกได้ เมื่อต้องเข็นรถเข้าอู่
และถ้าไปเจอเอาศูนย์บริการ หรือ อู่ซ่อมประเภทหิวโซเข้าแล้ว
ก็ถึงกับกระเป๋าฉีกกันทีเดียวละ
1. ตรวจสอบน้ำในหม้อน้ำทุกครั้งก่อนเดินทาง
2. ตรวจสอบน้ำและน้ำยาแอร์อย่างสม่ำเสมอ
3. ตรวจสอบเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ (โดยเฉพาะการเผาไหม้ของเชื่อเพลิง)