สำหรับผู้ใช้ และผู้สนใจ Chevrolet zafira
กลเม็ดเคล็ดไม่ลับ ในการใช้  และดูแลซาฟิร่าคันเก่ง...


คู่มือการขับรถอย่างปลอดภัย
 
1. ก่อนขับรถ
2. การขับรถ
3. ยางรถยนต์/กระทะล้อ
4. อุปกรณ์จำเป็นประจำรถ
5. ทัศนวิสัยและภัยธรรมชาติ
6. เหตุฉุกเฉิน
7. เกร็ดน่ารู้
 

1. ก่อนขับรถ

        1.1 กระจก/หน้าต่าง (windows)  ต้องใสทั้งด้านในและด้านนอก ถ้ามีรอยเปื้อนให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดให้สะอาด

        1.2 ประตู (door)  ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ประตูรถทุกบานปิดสนิทก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์

        1.3 เบาะนั่ง (seat)  ปรับเบาะนั่งให้สะดวกและถูกต้องในการขับ

        1.4 กระจกส่องหลัง (mirror)  ต้องใสสะอาดและปรับตั้งให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

        1.5 เข็มขัดนิรภัย (seat belt)  ให้ปฏิบัติจนเป็นนิสัยว่า ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์จะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยก่อนเสมอ

        1.6 การสตาร์ทเครื่องยนต์ (start engine)  ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ตรวจสอบว่า

                 - เบรคมือ (hand brake) ได้ขึ้นไว้
                 - เกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
                 - เหยียบคลัทซ์
                 - สตาร์ทเครื่องยนต์

               การสตาร์ทเครื่องยนต์ ให้บิดกุญแจสตาร์ทประมาณ 5 วินาที เพื่อติดเครื่องยนต์ หากไม่ติดให้ทิ้งช่วงห่าง ประมาณ 30 วินาที แล้วเริ่มสตาร์ทใหม่ ถ้าใช้โช้ค (choke) ให้ปิดโช้คทันทีเมื่องเครื่องติด เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง

       1.7 อุปกรณ์ต่าง ๆ (instrument)  เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วให้มองดูที่แผงหน้ารถ (dashboard) ว่าสัญญาณไฟต่าง ๆ ได้ดับหมดแล้ว อาทิเช่น ไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่อง ไฟสตาร์ท ไฟชาร์จ เป็นต้น และตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องด้วยว่ามีเพียงพอหรือไม่  และต้องมั่นใจว่าอ่านไฟสัญญาณเหล่านั้นออก ว่ามันทำหน้าที่ควบคุมส่วนใด

       1.8 พวงมาลัย  ควรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สามารถจับได้สะดวก โดยมือซ้ายที่10 นาฬิกา มือขวาที่ 2 นาฬิกา  และใช้พวงมาลัยแบบ PUSH & PULL ต้องไม่มีการไขว้มือกันในการขับขี่



2. การขับรถ

       2.1 ออกรถ (move off)  เมื่อตรวจสอบทุกอย่างดังกล่าวเรียบร้อยแล้วมองกระจกหลังหากปลอดภัยที่จะออกรถได้ ให้สัญญาณและออกรถทันที เมื่อออกไปได้สัก 3-4 เมตร ให้ท่านทดสอบระบบเบรคดูว่ามันทำงานได้ดีหรือไม่
             การออกรถ
                 - เข้าเกียร์ต่ำสุด
                 - ปลดเบรคมือ
                 - ออกรถ
           เพียงการตรวจสอบขั้นต้นเท่านี้ความปลอดภัยขั้นมูลฐานก็จะเกิดแก่ทุกท่านที่ปฏิบัติตามโดยทั่วกัน

       2.2 การเข้าโค้ง
                 เข้าให้ช้า และออกให้เร็ว(หากเข้าให้เร็วแล้วอาจจะไม่ได้ออกจากโค้งเพราะพังพาบอยู่ในโค้งนั่งเอง)

                "เข้าให้ช้า" หมายความว่า เมื่อเรามองเห็นโค้งข้างหน้าให้ลดความเร็วลง โดยถอนคันเร่งหรือแตะเบรคเบา ๆ แล้วแต่กรณีประเมิณโค้งดูว่าจะเข้าด้วยความเร็วเท่าใดจึงจะปลอดภัย และเปลี่ยนเกียร์ลงให้เหมาะสมกับความเร็วที่เราประเมิณได้ เช่น เราประเมิณว่าโค้งนี้ควรเข้าด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. จึงปลอดภัย เราก็จะแตะเบรคให้  ความเร็วเหลือ 50 กม./ชม. เปลี่ยนเกียร์ให้เป็นเกียร์ 3 แล้วให้เราล็อคคันเร่งให้คงที่ที่ความเร็วนั้น มือทั้งสองข้างจับ  อยู่บนพวงมาลัยอย่างมั่นคง ให้เข้าโค้งไปอย่างนุ่มนวล ขณะอยู่ในโค้งอย่าถอนคันเร่งให้ความเร็วลดลง หรืออย่าเร่งให้แรงขี้น เพราะทั้งสองกรณีนี้จะทำให้รถเสียหลักได้

                "ออกให้เร็ว" เมื่อรถได้พ้นโค้งเข้าสู่ทางตรงแล้ว ให้เร่งเครื่องไปจนความเร็วสุดรอบของความเร็วรอบเครื่อง  แรงบิดสูงสุดประมาณ 3,500 รอบ/นาที แล้วเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น รถก็จะออกจากโค้งไปอย่างรวดเร็ว การกระทำดังนี้จะไม่ทำให้การเดินทางของเราเสียเวลาเลยในการที่เราเข้าโค้งช้า ๆ แต่จะชดเชยในการออกจากโค้งให้เร็ว
 แต่ในด้านความเปลอดภัยนั้น มั่นใจได้ว่าเราจะเข้าโค้งได้ทุกโค้ง และเมื่อเข้าแล้วได้ออกจากโค้งด้วยเหมือนกัน

                แต่มีบางครั้งเพราะพลั้งเผลอหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าโค้งไปด้วยความเร็วเกินกำหนด ขั้นตอนที่จะบังคับรถเข้าโค้งโดยปลอดภัย ให้ปฏิบัติดังนี้
                - แตะเบรคด้วยความแผ่วเบาอย่างถี่ ๆ หลายครัั้ง สลับกับการเร่งน้ำมันเล็กน้อย เพื่อให้เครื่องยนต์มีแรงฉุด  ถ่ายกำลังลงไปถึงล้อทำให้รถมีแรงเกาะถนน
                - มือต้องหมุนพวงมาลัยอย่างมั่นคงโดยช่วยประะคองพวงมาลัยทั้งสองมือ
                - ห้ามเหยียบคลัทช์ในทางโค้งอย่างเด็ดขาด
                - ห้ามเปลี่ยนเกียร์ในทางโค้งอย่างเด็ดขาด
                - ห้ามเหยียบเบรคแรง ๆ โดยเด็ดขาด เพราะจะทำำให้รถซึ่งกำลังเข้าโค้งเร็ว  ๆ อยู่แล้ว หลุดจากโค้งโดยทันที

            *สำหรับรถยนต์เกียร์ AUTO ควรใช้  OFF OVER DRIVE เพื่อควบคุมความเร็วและช่วยในการเกาะถนน

       2.3 คติประจำใจ
                - ดูกระจก (mirror)
                - ให้สัญญาณ (signal)
                - ปฏิบัติ (maneuver)

       2.4 การขับรถผ่าน 4 แยก
                - รู้ว่าจะไปทางไหน (know)
                - ชะลอความเร็ว (slow)>
                - ให้สัญญาณ เช่น แตร/ไฟหน้า (show)<
                - ไป (go)

       2.5 การเบรค
                - การขับรถที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ระยะที่เเบรคจนรถหยุดได้คือประมาณ 100 เมตร เพราะฉะนั้น ควรขับรถทิ้งห่างจากคันหน้าประมาณ 3 วินาที (ใช้วิธีการนับ 1,001-1,003 ซึ่งอาจใช้ระยะห่างของเสาไฟฟ้าเป็นหลักในการนับ  โดยให้รถคันหน้าถึงจุดที่เรายึดเป็นหลักและเริ่มนับ และดูว่ารถของเราวิ่งถึงจุดของรถคันหน้าห่างกี่วินาที)
 - ใช้เบรคมือทุกครั้งเมื่อจอดรถ เพราะจะทำให้ระบบเบรคทำงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ

       2.6 การแซง
                - เปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งอย่างน้อย 5 - 10 วินนาที ก่อนทำการแซง
                - มองกระจกส่องหลังและกระจกมองข้างทุกครั้ง ก่อนแซง
                - ควรดูรถข้างหน้าที่สวนมาว่าอยู่ห่าง พอที่่จะทำการแซงได้หรือไม่
                - กรณีที่แซงรถขณะรอบเครื่องต่ำ ให้ลดเกียร์์ลงเพื่อช่วยให้รถมีแรงในการพุ่งทยาน
                - กรณีที่มีรถวิ่งสวนมาขณะทำการแซง ให้เปิดไไฟหน้าเพื่อขอทาง


3. ยางรถยนต์/กระทะล้อ

       3.1 ควรตรวจสอบหน้ายางและแก้มยางเป็นประจำ   ตรวจสอบเพื่อดูว่ามีความเสียหายใด ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น รอยบาด แยก กระแทรกหรือฉีกขาดที่ดอกยาง หรือบริเวณแก้มยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีรอยบาดที่เห็นถึงชั้นโครงยาง ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า สามารถถอดมาซ่อมได้หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่

       3.2 ตรวจสอบสภาพของกระทะล้อและวาล็วเติมลมเป็นประจำ  ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพราะเป็นส่งนประกอบที่สำคัญของชุดกระทะล้อในยางประเภทไม่ใช้ยางใน

       3.3 ตรวจสอบบริเวณดอกยาง  บริเวณดอกยางจะมีสัญลักษณ์บอกระดับความลึกของร่องดอกยาง ว่ายางเส้นนี้หมดดอกแล้ว ซึ่งหมายถึง ดอกยางนั้นสึกจนเหลือน้อยที่สุดแล้ว ควรเปลี่ยนใช้ยางเส้นใหม่ได้ (สัญลักษณ์บอกระดับสูง 1.6 มม.)

       3.4 เขี่ยก้อนกรวดเล็ก ๆ หรือตะปูที่ติดค้างในร่องดอกออกให้หมด  ควรเขี่ยก้อนกรวดเล็ก ๆ หรือตะปูที่ติดออกให้หมด เพราะสิ่งเหล่านั้นจะค่อย ๆ เบียดตัวลึกลงไปทำให้ยางแตก หรือรั่วซึมได้ในที่สุด

       3.5 ตรวจสอบคราบน้ำมัน  น้ำมันทุกชนิดจะทำให้ดอกยางบวม สึกเร็วผิดปกติและไม่เกาะถนน ให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่เท่านั้น

       3.6 ตรวจสอบการสึกหรอของหน้ายาง  ตรวจดูการสึกหรือของหน้ายางว่าผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีก็อาจเป็นปัญหาที่เกิดกับระบบส่งกำลัง ระบบเบรค  ลูกปืน และศูนย์ล้อ ควรปรึกษาช่างเพื่อทำการซ่อมแซมแก้ไข

       3.7 ความลึกของดอกยาง  ความลึกของดอกยางต้องเหลือไม่น้อยกว่า 2 มม. เพื่อให้สมรรถนะของยางในการยึดเกาะถนนยังคงเดิม

       3.8 การเข้าโค้ง  การเข้าโค้งอย่างรุนแรง ออกรถแบบพุ่งกระโจน หรือวิ่งบนถนนไม่ดีเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ยางสึกเร็ว

       3.9 ตรวจสอบฝาวาล์ว  ตรวจสอบฝาวาล์วของยางแต่ละเส้นว่าปิดสนิทดีแล้วและอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกัน  ไม่ให้ลมรั่วซึมออกมาได้

       3.10 ลมยางอะไหล่  ควรเติมลมยางอะไหล่ให้สูงกว่าที่กำหนด 3-4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เมื่อนำมาใช้จึงค่อยปล่อยลมให้เหลือเท่าที่กำหนด

       3.11 เมื่อรถเสียต้องลากจูง  เมื่อรถเสียต้องลากจูงให้เพิ่มลมที่ล้อหลัง 3-4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว

       3.12 ตรวจหรือเติมลมยาง  การตรวจหรือเติมลมยางจะต้องทำในขณะที่ยางเย็นอยู่เสมอ

       3.13 อายุการใช้งาน  อายุการใช้งานของยางอยู่ที่ 40,000 กม. หรือ 24-30 เดือน

ค  ว  า  ม  ดั  น  ล  ม  ย  า  ง

 อัตราสูบลมที่ถูกต้องหมายถึง
…ความปลอดภัย
…ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
…ใช้งานได้นานกว่า
…ขับขี่นุ่มนวล

ข้อควรระวัง
 อย่าปล่อยลมขณะยางร้อนและอย่าลืมขันฝาวาล์วไว้ทุกล้อเช่นเดิม

       การสลับยางสำหรับรถยนต์นั่งและรถปิกอัพ

        การสลับยางเป็นวิธีการดูแลรักษายางที่สำคัญ เพราะจะช่วยรักษาคุณสมบัติของยางให้คงอยู่และยืด  อายุการใช้งานให้ยาวนาน การสลับยางจะต้องทำอย่างถูกวิธี ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม  โดยทำตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถหรือยาง เต่ยางบางประเภท เช่น Asymmetric Tyre หรือยางที่มีลายดอกยางสองข้างแตกต่างกัน  และ Unidirectional Tyre หรือยางที่ใช้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน จะมีวิธีสลับยางที่แตกต่างจากยางทั่วไป จึงควรปรึกษาบริษัทผู้ผลิตถึงวิธีการสลับยางที่ถูกต้อง
        วิธีการสลับยางของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวถนน สภาพภูมิอากาศ และภูมิประเทศในเขตนั้น ๆ

        ผลการวิจัยทำให้กำหนดได้ว่า การสลับยางครั้งแรกเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยรถขับเคลื่อนล้อหน้า ควรจะสลับยางครั้งแรกที่ 7,000 กม. และครั้งที่สอง จะสลับเมื่อล้อหน้าผ่านการใช้งานไปแล้ว 50% หรือใกล้เคียง (สลับยางครั้งที่สอง ที่ระยะทางประมาณ 15,500 กม.) รถขับเคลื่อนล้อหลัง และรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ควรสลับยางเพียงครั้งเดียวคือ ที่ 7,000 กม. แรก และหมั่นตรวจเช็คศูนย์ล้ออย่างสม่ำเสมอ



4. อุปกรณ์จำเป็นประจำรถ

        4.1 เครื่องดับเพลิง/ที่ทุบกระจก
        4.2 เครื่องวัดลามยาง/เครื่องเติมลมยาง
        4.3 สายพ่วงแบตเตอรี่
        4.4 เข็มแยงรู้น้ำฉีดกระจก
        4.5 แว่นเหลืองใส่ขับรถกลางคืน (ถ้ามี)
        4.6 เครื่องมือประจำรถ เช่น แม่แรง/ประแจถอดน็อตล้อ ฯลฯ



5. ทัศนวิสัยและภัยธรรมชาติ

       5.1 การขับรถเวลากลางคืน
        อุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเวลากลางคืน เพราะยามค่ำคืนมีอุปสรรคมากมาย กลางวันนั้น เราสามารถมองเห็นได้ไกล เท่าที่สายตาของเราจะมองเห็น ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และรอบข้าง ส่วนเวลากลางคืนนั้น เราจะมองเห็นได้เฉพาะเท่าที่แสงไฟหน้ารถส่องไปถึงเท่านั้น
        ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว ควรงดเว้นการขับรถในเวลากลางคืน แต่ถ้าเกิดความจำเป็นต้องขับรถในเวลากลางคืนล่ะ ควรจะทำอย่างไร

            - เตรียมรถให้พร้อม
            - ตรวจระบบไฟต่าง ๆ
            - ฟิวส์ไฟฟ้าที่ใช้กับรถขนาดต่าง ๆ
            - ไฟฉายขนาดเล็ก 1 อัน>

        สภาพร่างกายทั้งด้านจิตใจและสายตาต้องพร้อมอยู่เสมอ  พักผ่อนให้พอ  จิตใจจะได้สบายไม่หงุดหงิด สายตาต้องสู้ไฟและคุ้นกับแสงไฟ สามารถมองเห็นทัศนวิสัยได้รวดเร็ว เมื่อมีรถส่องไฟสวนมา ขณะขับรถ บางคนจะมองจุดแบ่งถนนที่เป็นจุด ๆ ไปตลอด ทำให้เกิดอาการง่วงซึมก็ควรเลี่ยง โดยการใช้สายตากวาดไปมาแบบเรดาร์(radar) จะทำให้อาการเหล่านี้หายไป

        5.2 การขับรถขณะฝนตก
        นักขับรถในเมืองไทย คงไม่มีใครที่ไม่เคยขับรถฝ่าสายฝน ลุยน้ำท่วม หรือฝนตกพรำ ๆ ถนนลื่นมันปลาบเป็นแน่  เพื่อลดอุบัติเหตุอันจะเกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของท่าน และผู้อื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ดังนั้นก่อนจะขับรถในหน้าฝนนี้ ข้อปฏิบัติที่ควรจะต้องตรวจตราให้รอบครอบก่อนคือ
            - เบรกทำงานได้ดีหรือไม่
            - ยางยังมีดอกคงสภาพใช้สอยสมบูรณ์ดีหรือไม่<
            - ลมยางถูกต้องตามเกณฑ์ทั้ง 4 ล้อ หรือเปล่าา
            - ไฟหน้า ไฟหลัง ไฟเบรค ทำงานครบถ้วนไหม
            - ใบปัดน้ำฝนใช้ได้ดี ปัดสะอาดหรือไม่
            - น้ำล้างกระจกในที่เก็บสำรองมีอยู่หรือไม่<

        เมื่อขึ้นนั่งต้องปฏิบัติดังนี้
            - ปรับกระจกส่งหลัง - ตั้งให้เข้าที่>
            - ปรับที่นั่งให้สะดวกสบายและถนัด
            - ตรวจเบรคมือ
            - ตรวจสวิทว์สัญญาณต่าง ๆ
            - คาดเข็มขัดนิรภัย

        เมื่อตรวจความเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราลองมาคุยกันถึงการขับรถฝ่าสายฝนกันบ้าง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อฝนตกถนนลื่นมาก การเกาะจับพื้นจราจรมีอุปสรรคมากมาย ดังนั้นสิ่งแรกก็คือ ต้องลดความเร็วลงให้มากกว่าปกติ ขับช้าไว้ย่อมปลอดภัยกว่า และเพื่อเพิ่มการเกาะจับถนนให้มากขึ้น ควรจะใช้เกียร์ต่ำกว่าปกติ 1 เกียร์ เช่น  เคยใช้เกียร์ 5 ก็ให้ขับเกียร์ 4 แทน จะทำให้รถเกาะจับถนนดียิ่งขึ้น และอีกประการหนึ่ง ไม่ควรบรรทุกของหนักขณะฝนตกถนนลื่น เพราะจะควบคุมการขับขี่ได้ยาก

       *ขณะฝนตกถนนลื่นควรขับรถห่างจากคันหน้าอย่างน้อย 4 วินาทีขึ้นไป แต่ถ้าเกิน 100 กม./ชม. ให้คูณ 2

        5.3 การขับรถลุยน้ำ(ท่วม)
        การขับรถลุยน้ำท่วมนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่นักขับขี่ยวดยานจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อให้สามารถนำรถให้พ้นน้ำด้วยความปลอดภัย ทั้งแก่ตนเองและผู้ร่วมใช้ถนน
        ในกรณีที่รู้ตัวก่อนว่าจะต้องขับรถลุยน้ำท่วม ทั้งนี้หมายถึงว่าจะต้องรู้ล่วงหน้า และรู้ด้วยว่าน้ำนั้นลึกพอจะลุยผ่านไปได้ด้วยให้เตรียมตัวดังนี้

            - ใช้กระสอบ กระดาษแข็ง ๆ หรือที่ดีที่สุดก็็คือยางปูพื้นกันฝุ่น ปิดที่กระจังหน้ารถเพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าจานจ่าย
            - ควรใช้สายยางโต ๆ ครอบปลายท่อไอเสียและยกขขึ้นให้เหนือน้ำ เพื่อให้หายใจ แล้วรถก็สามารถวิ่งลุยน้ำไปได้

           ในกรณีที่ไม่มีเพื่อร่วมทาง ขับรถไปคนเดียวโดด ๆ จงอย่าเดาสุ่มมุดน้ำไปเป็นอันขาด จอดรถใส่เบรคมือไว้  แล้วลงไปลุยดูร่องการจราจรเอง หมายตาไว้ระยะใกล้ ๆ พอจำได้แล้วก็ขับไปจนถึงที่ ๆ สำรวจไว้ แต่ถ้าเกิดเครื่องยนต์ดับ ถ้ามีน้ำยา SONAX ให้ฉีดลงไปที่หัวเทียน หรือถ้าไม่มีให้ใช้ผ้าเช็คบริเวณหัวเทียนจนแห้ง

        5.4 เมื่อรถตกน้ำ
        ควรตั้งสติให้ดีแล้วปฏิบติดังนี้

            - ปลด safety belt ออกทุก ๆ คน รวมทั้งผู้โดดยสารด้วย
            - อย่าออกแรงใด ๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจจ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
            - ให้ยกส่งส่วนศีรษะ ให้สูงเหนือระดับน้ำที่่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในรถ
            - ปลดล็อคประตูรถทุกบาน
            - หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถ เพื่อปรับความมดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน มิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก
            - เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้ว ให้ผลักบานปประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกนอกห้องโดยสารของรถได้
            - จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือนน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้

           นอกจากนั้นก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็ก ๆ อาจจะหนีบเด็ก ๆ นั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ถ้าปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ ชีวิตก็จะปลอดภัย แต่วิธีที่ดีที่สุดคือระวังในการใช้รถใช้ถนนให้มาก อย่าให้รถตกลงไปในน้ำได้นั่นแแหละดีที่สุด การใช้รถใช้ถนนควรยึดถือสโลแกนที่ว่า "รอบคอบเป็นนิจ ชีวิตปลอดภัย"

        5.5 การขับรถฝ่าหมอก
        มีหลาย ๆ วิธีที่เป็นวิธีหลักสำหรับนำไปปฏิบัติเมื่อขับรถฝ่าหมอก

        ไฟ  ให้เปิดไฟทันทีเมื่อทัศนวิสัยแย่ลง เปิดไฟใหญ่ต่ำ ไม่ใช้ไฟหรี่ ทั้งนี้เพื่อให้คนอื่นมองเห็นเรา หากมีไฟตัดหมอก ให้เปิดทั้งไฟหน้าและไฟหลัง เพื่อผู้ใช้ถนนร่วมกับเรา จะได้เห็นเราในระยะไกลขึ้นกว่าธรรมดา หากขับฝ่าหมอกในระยะไกล ๆ ต้องหมั่นทำความสะอาดกระจกโคมไฟด้วย

        ความเร็ว ลดความเร็วลงให้เหมาะสมกับสภาวะในขณะนั้นทั้งนี้มีหลักง่าย ๆ สำหรับความเร็วที่เหมาะสมว่า  ท่านจะต้องสามารถหยุดรถได้ทันในระยที่ท่านมองเห็น ไม่ควรจะขับเร็วเกินกว่า 10 กม./ชม. และหลักง่าย ๆ ก็คือ ขับให้อยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นไฟของรถคันหน้าได้และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยพอเหมาะ

        การเลี้ยวรถ การเลี้ยวขวาในขณะขับรถฝ่าหมอก นับว่าเป็นการปฏิบัติที่อันตรายมาก หากหลีกเลี้ยงได้ควรหลีกเลี่ยง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ให้สัญญาณล่วงหน้าอย่างชัดเจนและเหมาะสม ระมัดระวังอย่าหนีจากผู้ร่วมใช้การจราจรร่วมกับเรา ควรเปิดหน้าต่างรถด้วย เพื่อใชัหูฟังเสียงสิ่งอยู่รอบตัวเราในขณะนั่นเพื่อช่วย  "ตา"  อีกทางหนึ่ง  และการเปิดหน้าต่างนั้น  จะช่วยลดละอองฝ้าที่จับตามกระจกรอบ ๆ รถ ทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์ มองไม่เห็นทางและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เปิดไฟแวบหน้า หรือบีบแตรให้มากกว่าปกติที่เคยสักเล็กน้อย เพื่อให้รถที่อยู่ข้างหน้าหรือสวนทางได้มองเห็นเรา

        การหยุดรถกลางหมอกควัน จุดนี้จัดได้ว่าอันตรายอย่างใหญ่หลวงทีเดียว เพราะรถที่ตามาหรือสวนทางจะมองไม่เห็นรถเรา ที่จอดขวางทางเขาอยู่ ดังนั้น จึงต้องจอดให้พ้นทางเดินรถให้มากที่สุด หากจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้สร้างเครื่องกีดขวาง หรือสัญญาณเตือนผู้ร่วมใช้ถนนอื่น ๆ ให้รู้ตัวล่วงหน้าในระยะห่างที่ปลอดภัย และถ้ามีไฟสัญญาณเตือนฉุกเฉินให้เปิดไว้ตลอดเวลา หากมีเครื่องหมายแบบสากล  คือสามเหลี่ยมสะท้อนแสง สีแดง ให้ตั้งห่างจากรถที่จำเป็นต้องจอดอยู่กลางหมอกประมาณ 100-150 ฟุต และต้องจอดโดยทันที  หากหมอกควันหนาทึบมาก และต้องปฏิบัติตามกฎดังกล่าวแล้วในบางครั้งก็จะต้องจอดเป็นระยะ ๆ เช็ดกระจกหน้าและไฟหน้า  ไฟท้าย ให้สะอาดทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย

        การขับรถฝ่าหมอกเป็นเวลานาน ๆ ร่างกายจะอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และควรลดความเร็วลง และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการชนท้ายรถคันหน้า  ควรขับห่างคันหน้าอย่างน้อย 8 วินาที



6. เหตุฉุกเฉิน

        6.1 ยางระเบิดขณะขับรถ
        ปัญหายางระเบิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าท่านใช้ยางชนิดมียางใน (tube tyre) เหตุจะทำให้เกิดยางระเบิดมีมากมายและง่ายครับ แต่ถ้าใช้ยาง tubeless แล้วโอกาสระเบิดน้อยมาก หากท่านเอาใจใส่ดูแลยางด้วยตัวเองตามข้อพึงระวัง ดังนี้

            - อายุการใช้งานของยางประมาณ 40,000 - 45,0000 กม.
            - ยางนั้นมีอายุการใช้งานของตัวเอง (ควรเลืออกซื้อยางใหม่ ๆ โดยดูที่มีปีการผลิต)
            - ยางทุกชนิดจะมีพิกัดความเร็ว เช่น ที่ขอบยยางจะเขียนไว้ว่า SR./HR./VR. (ควรศึกษา/สอบถามจากบริษัทยาง)
            - ยางทุกเส้น มีขีดจำกัดในการบรรทุก ขึ้นอยูู่กับคุณลักษณะของยางที่นำมาใช้
            - ยางแต่ละเส้นนั้นจะมีพิกัดแรงดันลม เช่น บบอกว่าสูบลมไม่เกิน 32 ปอนด์/ตารางนิ้ว (ให้ปฏิบัติตามนั้น)
            - สูบลมยางน้อยเกินไป ขณะรถวิ่งลมภายในยางจะะเสียดสีกันมาก ทำให้เกิดความร้อนสูงยางอาจระเบิดได้
            - ยางที่สึกหรอมากจนบางแม้จะใช้น้อย หรือยางงที่มีบาดแผลชอกช้ำ อาจเกิดการระเบิดได้เสมอ

           ถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะดูแลดีที่สุดแล้ว โอกาสที่จะเกิดยางระเบิดก็มีอยู่บ้าง เช่น วิ่งไปทับเรือใบหรือตะปูย้ำสะพานที่ตัวโต ๆ จนทำให้ยางฉีกขาดเป็นแผลฉกรรจ์หรือ ขณะเดิทนทางไกลนาน ๆ ยางค่อย ๆ ซึมออกจนลมอ่อนกว่าพิกัด และเกิดความร้อนขึ้นจนเกิดระเบิดขึ้น ดังนั้น ก็มีข้อแนะนำหากเกิดกรณีฉุกเฉิน ขณะที่กำลังขับอยู่ว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลอดภัย

           1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
           2. ถอนคันเร่งออก
           3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจ มองกระจกหลังเพื่อดูว่ามีรถใดตามมาบ้าง
           4. แตะเบรคอย่างแผ่วเบาและถี่ ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
           5. ห้ามเหยียบคลัทช์โดยเด็ดขาด เพราะถ้าเหยียบคลัช์รถจะไม่เกาะถนน รถจะลอยตัว บังคับได้ยากยิ่งขึ้น
           6. ห้ามดึงเบรคมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
           7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้ว ให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
           8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

        ขอสรุปอีกครั้งว่า ยางระเบิดเราป้องกันได้ถ้าเราไม่ประมาท และหากมันจะเกิดถ้าเราขับไม่เร็วจนเกินไปนักก็แก้ไขได้

        6.2 ขับรถประสานงา
        การชนแบบประสานงา หรือ  head - on collision นั้น  เป็นการชนที่นับได้ว่า ร้ายแรงที่สุดในเรื่องอุบัติเหตุรถชนกัน เพราะเกิดจากความเร็วของรถทั้งสองฝ่าย วิ่งเข้าบวกกันแรงกระแทรกจึงเกิดเป็นทวีคูณ ผลที่ตามมาจึงมักรุนแรงเสมอ

        อะไรที่ทำให้รถวิ่งเฉไฉออกนอกลู่นอกทาง ไปวิ่งอยู่ในช่องทางเดินรถของชาวบ้านเขาจนเกิดเรื่องขึ้นมา น่าจะพอสรุปได้ดังนี้

          1. ผู้ขับเสียสมาธิจากการขับรถปล่อยให้รถวิ่งไปตามเรื่องตามราว ส่วนคนขับนั้นมัวทะเลาะกับผู้โดยสารบ้าง ทะเลาะกับลูก ๆ เสียบ้าง มัวทำ sweet กับคนที่นั่งข้าง ๆ เสียบ้าง เหล่านี้เป็นต้น
          2. อาการป่วยไข้ อดนอน ร่างกายอ่อนเพลีย สุขภาพจิตไม่ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้ผู้ขับขี่รถเสียสมาธิไปจากการขับรถ อาจจะทำให้รถวิ่งในช่องทางเดินรถของผู้อื่น และชนกันแบบประสานงาได้
          3. ผลข้างเคียงจากยากดประสาทต่าง ๆ ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้  แก้หวัด ซึ่งบนฉลากยาหรือแพทย์ผู้สั่ง จะเตือนไว้เสมอว่าผลของยาออกฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม ไม่ควรขับรถ เช่นนี้เป็นต้น ในข้อนี้รวมเอาจำพวกยาม้า ยาเสพติดอื่น ๆ และสุราเข้าไว้ด้วย
          4. ปวดท้อง ไม่ว่าหนักหรือเบา ผู้ขับรถใจคอวอกแวก เสียสมาธิได้ทั้งสิ้น ผู้ขับรถจึงควรปลดเปลื้องให้เรียบร้อยก่อนออกรถ
          5. การหิวเกินไป ทำให้ใจคอไม่ปกติหงุดหงิด อิ่มเกินไปทำให้ง่วงนอนและตามมาด้วยอาการหลับใน

          สมมุติว่าเราทำได้สำเร็จแน่นอน เราจะไม่เป็นตัวก่ออุบัติเหตุ แต่ผู้ใช้ถนนร่วมกับเราอีกร้อยแปดจำพวก  ซึ่งเราจะประกันได้อย่างไรว่า เขาจะไม่ขับรถเซเข้ามาในทางของเรา  หรือแม้แต่รถที่แซงชนิดที่เรียกันว่า "แซงผ่าหมาก"  สามารถพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในบ้านเรา เราจะแก้ไขอย่างไร เพราะ Defensive Driving บอกว่า "เราต้องไม่ทำผิด (ในการขับรถ) และเมื่อผู้อื่นทำผิดมาเกี่ยวข้องกับเรา เราต้องแก้ไขให้ปลอดภัยให้ได้"

          ดังนั้น จึงมีกฎง่าย ๆ สำหรับตั้งรับเมื่อมีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น ดังนี้

          1. ให้ลดความเร็วลง เปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม
          2. ให้ไฟสัญญาณหน้าใหญ่ (ไฟแว้บ) เตือน หากคู่กรณียังไม่ตอบสนองใด ๆ คงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเข้ามาในทางของเรา นั่นแสดงว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่รู้ตัวแน่แล้ว จุดวิกฤตเกิดขึ้นแล้วต้องปฏิบัติดังนี้อย่างเคร่งครัด

            - ลดความเร็วให้มาก เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์์กำลังมากที่สุด ตามสภาพความเร็ว เช่น เกียร์ 2 หรือ 3
            - บังคับรถให้อยู่ริมซ้ายสุด<
            - เมื่อใกล้อันตรายถึงที่สุด ให้หักรถหลบออกก "ซ้าย" ข้อนี้พึงระวังให้จงหนักต้องหักหลบออกซ้ายเสมอ
            - เมื่อพ้นจุดวิกฤตแล้ว ให้ค่อย ๆ หักรถกลับบคืนสู่ผิวจราจร อย่าหักรุนแรงหรือรีบกลับด้วยความตกใจ

            * ข้อควรระวัง คือ "เกียร์" นั้นจะต้องอยู่ในเกียร์กำลังสูงเสมอเพราะเป็นการสร้าง footwork ให้แก่รถ

        6.3 การเบรคฉุกเฉิน
        การเบรคฉุกเฉินนั้นหมายความว่า ไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวมาก่อนว่าจะต้องเบรค อาจจะขับรถใจลอยคิดเรื่องต่าง ๆ นานา หรือมีสิ่งต่าง ๆ มาตัดหน้ารถขณะขับ ก็จะเหยียบเบรคอย่างฉุกเฉินหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "กระทืบเบรค" ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมื่อเผชิญเหตุการณ์ดั่งกล่าวข้างต้นนั้น ส่วนมากเกือบ 99% จะต้องกระทืบเบรค
 แน่นจนเบรคตาย เพราะอาจตกใจกลัวจะชน แต่การที่กระทืบเบรคอย่างรุนแรง และไม่ปล่อยเลย จะทำให้เบรคนั้นจับล้อตายสนิททั้งสี่ล้อ เมื่อล้อตายสนิททั้งสี่ล้อ อะไรจะเกิดขึ้น

        ประการแรก รถจะพุ่งไปในแนวทางที่วิ่งไปเพราะแรงเฉื่อย ที่ผลักตามรถอยู่ตลอดเวลา ในแนวทิศทางตรง  จะหักพวงมาลัยหลบหลีกอย่างใด รถจะพุ่งไปในแนวตรงเสมอเพราะ "ล้อถูกจับตาย"

        ประการที่สอง การที่ล้อจับตายทั้งสี่ล้อนั้น ถ้ามีล้อใดล้อหนึ่งจับผิวถนนไม่เสมอกัน เช่น มีใบไม้แห้ง แอ่งน้ำ  ทราย หรือถุงพลาสติก ในล้อใดล้อหนึ่ง รถก็จะหมุนทันทีและไม่สามรถบังขับรถให้ตรงทิศทางได้

        ประการที่สาม การเบรคจนล้อตายทั้งสี่ล้อนั้น ถ้าถนนลาดเอียงไปทางใด รถนั้นก็จะแฉลบลงไปทางนั้นและทำให้บังคับรถไม่ได้

        ขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยที่จะต้องปฏิบัติมีดังนี้ คือ
           1. มือทั้งสองจะต้องจับอยู่บนพวงมาลัยอย่างมั่นคง
           2. กระทืบเบรคโดยแรงแล้วปล่อยและกรทืบอีกสลับกันเป็นจังหวะ (สังเกตจากจังหวะใบปัดน้ำฝนปกติ)
           3. กรณีที่ระบบเบรคเป็น ABS ให้เยียบเบรคแช่ไว้ ห้าม เยียบปล่อย  ๆ เป็นอันขาด

           *ข้อควรระวัง อย่างไปพะวงในเรื่องใช้เกียร์ช่วย หรือกระทำอย่างอื่นใด



7. เกร็ดน่ารู้

        7.1 ขับรถให้ประหยัดและปลอดภัย
            - ใช้แกียร์ให้ถูกต้อง>
            - เปิดแอร์เท่าที่จำเป็น
            - ตรวจสอบลมยาง
            - กำหนดเส้นทาง
            - ตรวจสภาพรถ
            - ใช้รถร่วม
            - รักษากฎจราจร
            - ให้สัญญาณ
            - อย่าขับรถเร็ว
            - ระวังถนนลื่น
            - ใช้เกียร์ช่วยบังคับ>
            - พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
            - ให้ไฟให้ถูกต้อง

        7.2 การใช้เบรคมือ
            - จะมีอันตรายเมื่อถูกชนท้าย ถ้าไม่ขึ้นเบรคคมือไว้
            - ป้องกันรถลื่นไถล ป้องกันความเสียหาย จึงคควรขึ้นเบรคมือ
            - ในจังหวะติดไฟแดง รอเลี้ยว ขึ้นเบรคมือไว้้อย่าประมาท
            - ขึ้นเบรคมือไว้เมื่อหยุดรถในที่ลาดชัน
            - ขึ้นเบรคมือทุกครั้งที่จอดรถในที่จอด
            - ใช้เบรคมือช่วยเบรคในกรณีฉุกเฉิน "เบรคแตกก"
            - ถ้าไม่ใช่มืออาชีพ อย่าใช้เบรคมือช่วยในกาารเลี้ยวรถหรือกลับรถ

        7.3 ปัญหาเครื่องร้อน
        สำหรับผู้ที่ใช้รถด้วยกันแล้ว ปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ร้อนจัด ดูจะเป็นที่หวาดวิตก หวั่นแกรงกันไม่น้อยอันที่จริง  ก็น่าจะหวั่นกลัวกัน เพราะปัญหาเครื่องร้อนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แก้ไขปัญหาไม่ทันท่วงทีแล้ว ปัญหานี้จะทำให้ผู้ใช้รถหนาวยะเยือกได้ เมื่อต้องเข็นรถเข้าอู่  และถ้าไปเจอเอาศูนย์บริการ  หรือ  อู่ซ่อมประเภทหิวโซเข้าแล้ว  ก็ถึงกับกระเป๋าฉีกกันทีเดียวละ

        ขั้นตอนในการตรวจสอบและป้องกันเครื่องร้อน
          1. ตรวจสอบน้ำในหม้อน้ำทุกครั้งก่อนเดินทาง
          2. ตรวจสอบน้ำและน้ำยาแอร์อย่างสม่ำเสมอ
          3. ตรวจสอบเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ (โดยเฉพาะการเผาไหม้ของเชื่อเพลิง)


เอื้อเฟื้อข้อมูลเพื่อสมาชิก โดยคุณ NC (Z 061)

myzafira@yahoo.com

>BACK<