ความตื่นตัวของ
"ธุรกิจ" กับการสร้างโอกาสให้ "ผู้พิการ"
เมื่ออายุ 27 ปี "เจี๊ยบ"
"พิมพ์ประภา สาระบุตร" ประสบอุบัติเหตุและทำให้เธอกลายเป็น
ผู้พิการทางสายตา ไม่เพียงนำมาซึ่งความสิ้นหวัง หมดกำลังใจ
แต่โอกาสในการทำงานเพื่อดำรงชีพเช่นเดียวกับคนปกติก็หายไปพร้อมๆ
กัน
แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับสำหรับคนวัยหนุ่มสาว
แต่เธอก็พยายามปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกปัจจุบัน
จึงไม่แปลกที่วันนี้เมื่อมีโอกาสกลับมาทำงานเช่นเดียวกับคนปกติอีกครั้ง
จะทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจและขอบคุณกับโอกาสที่ได้รับ
โดยเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา
"พิมพ์ประภา" เริ่มเข้าทำงานเป็นพนักงาน call
center ผู้พิการทางสายตาของศูนย์ปฏิบัติการ call center
ซึ่งตั้งอยู่ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
จ.เชียงใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจาก บมจ. แอดวานซ์
อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นหลักหมื่น
"เจี๊ยบ"
อาจจะโชคดีกว่าใครหลายๆ คนที่มีโอกาสได้ทำงาน เพราะในความเป็นจริงของผู้พิการทางสายตาที่มีจำนวนกว่า
3 แสนคนทั่วประเทศ ที่แม้จะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี
รวมถึงระดับที่สูงกว่านั้น แต่โอกาสในการเข้าทำงานในองค์กรปกติแทบจะเป็นศูนย์
"ผู้พิการทางสายตาส่วนใหญ่ถึงแม้จะจบการศึกษาสูง
แต่เขาก็ต้องมานั่งขายลอตเตอรี่ อาชีพของคนตาบอดมีเพียงเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงหลายๆ คนมีศักยภาพที่จะสามารถทำงานได้มากกว่านั้น
แต่ก็ไม่มีโอกาสในการทำงานในองค์กรทั้งภาครัฐและธุรกิจ
"ทิพยวรรณ บุรีรัตน์" ผู้อำนวยการสำนักบริหารมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับ ผู้พิการทางสายตาบอกเล่ากับ
"ประชาชาติธุรกิจ" ในระหว่างไปร่วมงานเปิด
"ศูนย์ปฏิบัติการ call center" ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ
ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
"เอไอเอส"
เปิด call center เพื่อผู้พิการ
โครงการนี้นับเป็นการต่อยอดและพัฒนารูปแบบของการช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา
หลังจาก 1-2 ปีที่ผ่านมาเอไอเอสสร้างโอกาสด้านอาชีพให้ผู้พิการ
โดยรับเป็นพนักงานของบริษัทกว่า 22 คน โดยไม่เพียงทำงานที่
call center ของบริษัท อีกส่วนหนึ่งยังทำงานที่มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยฯ
กรุงเทพฯ ซึ่งมีนัยสำคัญ 2 ประการ ประการแรก การเป็นต้นแบบให้กับผู้มาเยี่ยมเยือนซึ่งจะมองเห็นศักยภาพคนพิการกลุ่มนี้
ขณะเดียวกันยังมีการสร้างความหวังและกำลังใจให้กับผู้พิการที่อยู่ในโรงเรียนเห็นตัวอย่างและเห็นโอกาสที่รออยู่ปลายทาง
ในวันนั้นคณะผู้บริหารจากเอไอเอสนำทีมโดย
"สมประสงค์ บุญยะชัย" หัวเรือใหญ่แห่ง "เอไอเอส"
และ "สุรวัตร ชินวัตร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท
แอดวานซ์คอนแท็คเซ็นเตอร์ เดินทางไปร่วมส่งมอบศูนย์ปฏิบัติการ
call center ภายใต้โครงการ "เอไอเอสสร้างอาชีพ
call center" ซึ่งถือเป็นโมเดลการให้ที่ใหม่ที่สุด
โดยมอบศูนย์ให้โรงเรียนเป็นผู้ดำเนินการและสามารถหารายได้โดยไม่เพียงที่จะรับงานจาก
"เอไอเอส" แต่ยังสามารถรับงานเอาต์ซอร์ซจากบริษัทอื่นๆ
ซึ่งจะทำให้ศูนย์สามารถหารายได้ ขยายอาชีพและเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยตัวเองได้ในระยะยาว
โดยเอไอเอสจะเข้าไปดูแลสนับสนุนการลงทุนพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการและอุปกรณ์ในการทำงานรวมถึงการอบรมให้ความรู้
(know how) ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อให้ ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตามีความรู้
ความชำนาญ และเข้าใจในวิธีการปฏิบัติงานในวิชาชีพ
"สมประสงค์"
กล่าวว่า "โครงการนี้จะสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ
และสร้างรายได้ที่ดีและมั่นคงกับผู้พิการทางสายตาให้สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวเพื่อจะดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างยั่งยืน
และเรามีความตั้งใจที่จะดำเนินโครงการในลักษณะเช่นเดียวกันอีกต่อเนื่องไปยังภูมิภาคอื่นๆ
พร้อมทั้งจะขยายไปยังกลุ่มผู้พิการหรือด้อยโอกาสในสังคมกลุ่มอื่นๆ
อีกด้วย"
ก้าวต่อไปเพื่อผู้พิการ
ผู้พิการกลุ่มอื่นที่เขาพูดถึง
หมายถึงกลุ่มคนหูหนวกที่ขณะนี้เอไอเอส กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาซอฟต์แวร์และทดลองให้ผู้พิการหูหนวกเข้ามาทำงาน
ซึ่งหากทำสำเร็จไม่เพียงจะเป็นการสร้างอาชีพให้ ผู้พิการ
ขณะเดียวกันถือเป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ในธุรกิจด้วยการให้บริการผ่านภาษาภาพ
ซึ่งเป็นอีกโครงการในอนาคตที่จะเห็นผลในเร็ววัน
"วิไล เคียงประดู่"
ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการส่วนงานประชาสัมพันธ์ บมจ.แอดวานซ์
อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) เล่าถึงโครงการเกี่ยวกับผู้พิการหูหนวกที่เพิ่งเริ่มดำเนินการว่า
"เรากำลังอยู่ในระหว่างการ
ทดลองดำเนินการเริ่มรับพนักงานกลุ่มนี้เข้ามา
โดยมีพนักงานเอไอเอสเป็นพี่เลี้ยง พนักงานเหล่านี้ต้องไปเรียนภาษามือเพื่อที่จะสามารถพูดคุยและอยู่ร่วมกับน้องๆ
ผู้พิการที่เข้ามาทำงาน เพื่อให้เขาไม่รู้สึกแปลกแยก"
การทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานปกติและพนักงานผู้พิการ
จึงเป็นอีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะไม่เพียงจะเป็นการเรียนรู้และยอมรับในความแตกต่าง
ในเวลาเดียวกันยังส่งผลถึงการพัฒนาตนเองของพนักงานในองค์กร
และสร้างให้ความรับผิดชอบต่อสังคมเกิดขึ้นจากจิตสำนึกของพนักงาน
ไม่เพียงแต่ถูกกำหนดอยู่ในนโยบาย
"แรกๆ เราก็ถูกตั้งคำถามจากพนักงานปกติ
ซึ่งเราก็พยายามทำความเข้าใจ แต่ถึงตอนนี้เมื่อเขามีโอกาสอยู่ร่วมกัน
ทำงานด้วยกันแล้ว สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติ เพราะผู้พิการทางสายตานอกจากจะสามารถทำงานได้ตามมาตรฐานเดียวกับคนปกติ
บางครั้งก็สามารถทำงานได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ
ที่เขาทำได้ดี เช่น การขาย คอลลิ่งเมโลดี้ ซึ่งเขาแนะนำอย่างตั้งอกตั้งใจ
ร้องเพลงให้ฟังถ้าลูกค้าจำชื่อเพลงไม่ได้ และนั่นทำให้พนักงานในศูนย์บางคนพัฒนาตัวเองมากขึ้นโดยที่เราไม่ได้ไปบอก
แต่เขาได้เห็นและเรียนรู้ว่าขนาดคนพิการยังทำงานได้ดี
ฉะนั้นเขาก็ต้องปรับปรุงตัวเอง นี่อาจจะเป็นผลทางอ้อมที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ"
วิไลกล่าวในที่สุด
ให้ในสิ่งที่เขาต้องการ
ปัญหาอย่างหนึ่งของการให้
หรือการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม ในช่วงที่ผ่านมาภายใต้ธงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร
(CSR) และขององค์กรธุรกิจจำนวนไม่น้อยในวันนี้ นอกจากบางครั้งการให้จะไม่ตกถึงมือผู้รับ
การให้ในหลายๆ ครั้งยังไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของ
"ผู้รับ" อย่างแท้จริง ในประเด็นของการให้ความช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา
"ทิพยวรรณ"
เล่าให้ฟังว่า "ตอนนี้มีคนและองค์กรเข้ามาช่วยเหลือมูลนิธิจำนวนมาก
สิ่งที่เป็นที่นิยมตอนนี้คือการบริจาคกระดาษรีไซเคิลที่นำมาให้นักเรียนผู้พิการใช้ในการเขียนอักษรเบรลล์
แต่ตอนนี้เข้ามามากจนเราเองก็แทบจะไม่มีที่เก็บ สิ่งที่อยากบอกองค์กรธุรกิจวันนี้โดยเฉพาะธุรกิจที่ทำเรื่อง
CSR เราคิดว่าการให้ที่ดีที่สุดที่คนพิการทางสายตาต้องการนั่นคือ
โอกาส และเราต้องการให้องค์กรต่างๆ มองเห็นจุดนี้ หลายคนอาจจะกังวลว่าต้องทำสิ่งที่รองรับแต่เราเห็นแล้วว่าที่ผ่านมาผู้พิการทางสายตาสามารถทำงานอยู่ร่วมกับคนปกติได้"
ฝันที่เป็นจริง เมื่อเด็กตาบอดขี่ม้า
ความต้องการของ "ผู้รับ"
จึงเป็นโจทย์สำคัญในทุกๆ ครั้งของการดำเนินกิจกรรม CSR
ขององค์กร เช่นเดียวกับการออกแบบกิจกรรมเพื่อสังคมลำดับที่
7 ภายใต้โครงการไอ-ดรีม (I-dream) กิจกรรมอาสาสมัครเพื่อสังคมของพนักงานธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
(ไทย) ซึ่งพาน้องๆ จากมูลนิธิบ้านเด็กตาบอดและพิการซ้ำซ้อนในกรุงเทพฯ
และ จ.ลพบุรีกว่า 32 ชีวิตมาขี่ม้าที่กองพลทหารม้าที่
2 รักษาพระองค์ เมื่อไม่นานมานี้ที่เกิดขึ้นจากการสอบถามความต้องการไปยังน้องๆ
ที่มูลนิธิ และพบว่ากิจกรรมขี่ม้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เด็กอยากทำมากที่สุด
โดยคัดเลือกเด็กที่พอจะสามารถควบคุมตัวเองได้ขึ้นบนหลังม้า
ขณะที่เด็กที่มีขีดจำกัดก็ให้มีโอกาสมาดูม้าและมีโอกาสสัมผัสม้าด้วยตัวเอง
หลังจากที่ผ่านมาได้เคยไปทำกิจกรรมร่วมกันมาแล้ว อย่างการพาเด็กพิการซ้ำซ้อนจากบ้านเฟื่องฟ้าไปเที่ยวซาฟารีเวิลด์
"เราเริ่มต้นจากการสอบถามไปยังเด็กๆ
ว่าเขาต้องการอะไร เราไม่ได้เป็นคนคิดเผื่อเขา แต่เราอยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจริง
เพราะโจทย์ในโครงการไอ-ดรีมเราไม่ได้เน้นเรื่องทรัพย์สินเงินทอง
แต่เราเน้นการที่พนักงานจะได้มีโอกาสไปสัมผัสเด็ก และมอบความอบอุ่นและสิ่งที่จะทำให้เขาได้
และการที่พนักงานได้มีโอกาสมาดูแลเด็กระหว่างวันที่ทำกิจกรรมเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของเด็กก็จะรู้สึกดีและภาคภูมิใจที่ตัวเองได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม"
วิภา หฤษวงค์กูร หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งไอ-ดรีมเล่าให้ฟัง
โครงการไอ-ดรีมเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
และเป็นกิจกรรมที่จะจัดขึ้นทุกเดือน โดยในเดือนสิงหาคมนี้จะไปร่วมกิจกรรมกับน้องๆ
ที่บ้านทานตะวัน โดยจัดงานวัดย่อมๆ เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมที่สนุกสนานโดยงบประมาณทุกบาทในการดำเนินโครงการเป็นเงินบริจาคที่ได้จากพนักงานของธนาคาร
ถึงวันนี้แม้ว่าโครงการจะเริ่มต้นมาได้เพียง 6 เดือน
แต่ปัจจุบันพนักงานกว่า 6% จากจำนวน 2,000 คนของธนาคารได้มีโอกาสมาเข้าร่วมกิจกรรมนี้
คาดว่าแนวโน้มจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดการสื่อสารแบบปากต่อปากที่ทำให้เกิดกระแสการทำดีอย่างรวดเร็วในองค์กร
ปลุกจิตอาสาพนักงาน
มาร์ค เดวาเดสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
ในภาพรวมธนาคารทั่วโลกให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมในเรื่อง
"ให้ดวงตา ให้ชีวิต" (Seeing is Beliving)
ที่ให้ความสำคัญกับผู้พิการทางสายตา นอกจากนี้ยังรวมถึงประเด็นทางสังคมในเรื่องผู้ติดเชื้อเอชไอวี
และสิ่งแวดล้อม
เขากล่าวด้วยว่า แม้กิจกรรมเพื่อสังคมจะมีทั่วโลก
แต่โครงการไอ-ดรีมถือเป็นสิ่งพิเศษสำหรับประเทศไทย ที่เกิดจากการที่พนักงานมีส่วนร่วมจริงๆ
ในการร่วมเติมความฝันให้เด็กด้อยโอกาสในสังคม และความพิเศษที่พบจากพนักงานในไทยคือทุกคนทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยหัวใจจริงๆ
โดยไม่ได้มีการบังคับ และในอนาคตจะมีการเผยแพร่บทเรียนจากโครงการไอ-ดรีมให้กับสาขาของธนาคารทั่วโลกให้สามารถปฏิบัติตามได้
"ทุกวันนี้ธนาคารเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเป็นอาสาสมัครได้โดยไม่มีวันลาปีละ
2 วัน การที่เรามีพนักงานอยู่ทั่วโลกกว่า 75,000 คน
ถ้าทุกคนทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมปีละ 2 ครั้ง เราก็จะมีวันที่ทำดีเพิ่มขึ้นทั่วโลกกว่า
250,000 วัน เฉพาะพนักงานของไทยก็จะมีคนทำดีถึงเกือบ
5,000 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก" เขากล่าวในที่สุด
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นหลากมุมมอง
หลายมิติในการให้ "โอกาส" กับ "ผู้พิการ"
เป็น "โอกาส" ที่มีคุณค่ามากกว่าแค่การให้
"เงิน" !!
|