ภาษาสร้างชาติ
"ราชบัณฑิตยสถาน" ผลักดันนโยบายสื่อสารสมานฉันท์
...เราสังเกตได้ว่า คนไทยมีภาษาไทย ซึ่งภาษาไทยมีความหมายแตกต่างจากภาษาต่างประเทศ
ที่น่าสังเกต คนไทยเห็นภาษาไทยไม่ใช่ของสำคัญ ดูท่าทางเหมือนว่า
เมืองไทยมีภาษาไทยเหมือนกับให้ล้าสมัย อันนี้น่าเสียดาย
เพราะภาษาไทยมีความสำคัญในการปฏิบัติงาน...
ความตอนหนึ่งของพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสให้คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย เฝ้าฯ
รับพระราชทานพระบรมราโชวาท ที่พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่
27 พ.ค. 2551
ทั้งยังทรงพระกรุณาฯ พระราชทานข้อคิดด้านภาษา ให้กับคณะบุคคลต่างๆ
ที่เข้าเฝ้าฯ ในหลายๆโอกาส
นั่นจึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายภาษาแห่งชาติ
และ คณะกรรมการจัดทำนโยบายภาษาแห่งชาติ โดย ราชบัณฑิตยสถาน
ซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบด้านการดูแลการใช้ภาษาของคนไทย
รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ เพื่อวิจัยและกำหนดทิศทางการใช้ภาษาให้ชัดเจน
และจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาล
ศ.ดร.อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ ราชบัณฑิต และประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายภาษาแห่งชาติ
กล่าวว่า ประเทศไทยมีนโยบายด้านภาษาที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกในสมัย
จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2483 โดยเป็นประกาศรัฐนิยมว่า
ภาษาไทยเป็นภาษาของชาติ จากนั้นก็ไม่มีการระบุ หรือให้ความสำคัญในระดับนโยบายชาติอีกเลย
ในขณะที่นานาประเทศ ซึ่งมีถึง 125 ประเทศ กำหนดให้มีภาษาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย
ก็มีนโยบายชาติด้านภาษา ซึ่งทำให้แต่ละภาษาได้รับการพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปได้ด้วยดี
ประเทศไทย เรารับรู้กันว่า มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ
และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ แต่ก็พบปัญหาว่าคนไทยใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง
เด็กไทยผันวรรณยุกต์ไม่เป็น ส่วนภาษาอังกฤษก็เรียนหลายปีแต่ก็ยังพูดและใช้งานไม่ได้ดี
แต่ก็ยังต้องการเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เพิ่มเติม
ในขณะที่ภาษาถิ่นต่างๆ ก็ถูกละเลย หากรัฐบาลมีนโยบายภาษา
ก็น่าจะส่งผลดีต่อประเทศ ทั้งภาษาเศรษฐกิจที่เราใช้ในการติดต่อด้านการค้า
การลงทุน ก็จะได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์
หรือภาษาท้องถิ่น ก็ได้รับการดูแล ให้เกียรติยกย่อง
ได้รับสิทธิทางภาษาเท่าเทียมกับภาษาอื่นๆ จะทำให้กลุ่มชนต่างๆที่อาศัยในประเทศไทย
ก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ ยินดีที่สังคมให้การยอมรับ เป็นการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
โดยเฉพาะปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องยอมรับว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน
ศ.ดร.อุดม ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่ต้องมีการจัดทำนโยบายภาษาแห่งชาติ
ขณะที่ความสำคัญของภาษากลุ่มชาติพันธุ์นั้น ศ.ดร.สุวิไล
เปรมศรีรัตน์ รองประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายภาษาแห่งชาติ
กล่าวว่า นโยบายภาษาจะช่วยในการรักษาภูมิปัญญา สร้างความสมานฉันท์และความมั่นคงให้เกิดขึ้นในชาติ
เมื่อเรายกย่องให้เกียรติภาษาถิ่น ซึ่งก็คือภาษาแม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
ผู้คนก็จะรู้สึกดี และพร้อมที่จะเรียนรู้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาทางราชการต่อไป
ความเข้าใจกันก็จะเกิดขึ้น และหากเราช่วยกันทำนุบำรุงภาษาถิ่นต่างๆ
เราก็จะรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ ซึ่งก็จะมีวิธีคิดแก้ไขปัญหาที่หลากหลายขึ้น
การกำหนดนโยบายภาษาแห่งชาติ ก็จะทำให้ภาษาไทยจะได้รับการฟื้นฟู
ภาษาถิ่นก็จะกลับคืนมา เป็นการให้พื้นที่กับภาษาซึ่งไม่ว่าจะเป็นภาษาที่มาจากตระกูลภาษาไทยหรือไม่ก็ตาม
เมื่อเรารักภาษาแม่ของเรา เราก็จะรักภาษาแม่ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของคนอื่นด้วย
นางจินตนา พันธุฟัก เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า
ราชบัณฑิตยสถานได้ทำวิจัยมาตั้งแต่ 2550 เพื่อผลักดันให้เกิดนโยบายภาษาแห่งชาติในอนาคต
รวมไปถึงนโยบายภาษาไทยสำหรับนักเรียนไทย คนไทย นโยบายภาษาไทยถิ่นของคนไทย
นโยบายภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ นโยบายภาษาเศรษฐกิจ เช่น
อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เกาหลี นโยบายภาษาสำหรับผู้ที่เข้ามาหางานทำในประเทศไทย
นโยบายภาษาสำหรับผู้พิการทางสายตาและพิการทางหู นโยบายภาษาสำหรับการแปล
ล่ามแปล และล่ามภาษามือ ซึ่งปัจจุบันพบว่า อาชีพล่าม
สามารถทำรายได้และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง
และเพื่อเปิดมิติใหม่ในการขับเคลื่อนนโยบายภาษาแห่งชาติให้เป็นรูปธรรม
รวมถึงการพยายามที่จะมองหาความสมดุลระหว่างภาษาประจำชาติ
ภาษาถิ่น ภาษากลุ่มชาติพันธุ์ ภาษาต่างประเทศ ซึ่งบางคนมองว่า
ความหลากหลายของภาษาเป็นอุปสรรค แต่คนอีกจำนวนไม่น้อยก็มองว่า
ความร่ำรวยทางภาษาของไทยคือ ขุมทรัพย์ ราชบัณฑิตยสถานจึงจัดประชุมนานาชาติเรื่อง
นโยบายภาษาแห่งชาติ : ความหลากหลายของภาษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ
(National Language Policy : Language Diversity for
National Unity) วันที่ 4-5 ก.ค.นี้ ที่โรงแรมเดอะ ทวิน
ทาวเวอร์ โดยระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนภาษาจากนานาชาติ
ให้ ผู้เชี่ยวชาญไทยได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การทำวิจัย
จัดทำข้อเสนอแนะนโยบายภาษาต่อรัฐบาล ซึ่งอาจจะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
หรือเป็นมติคณะรัฐมนตรี หรือกฎกระทรวงนั้น ทางราชบัณฑิตยสถาน
จะทำการวิจัยเพื่อเสนอต่อรัฐบาลต่อไป
ทีมการศึกษา เห็นด้วยเต็มร้อย ว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทยจะต้องมีนโยบายภาษาแห่งชาติ
เพราะงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ประเทศไทยมีภาษาต่างๆกว่า
70 ภาษา และสูญหายหรือตายไปแล้ว 10 กว่าภาษา การฟื้นฟูภาษาที่ตายแล้ว
เป็นภารกิจที่ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
ที่สำคัญ หากนโยบายภาษาแห่งชาติ จะมีส่วนช่วยสลายความขัดแย้งในทุกภาคส่วนของชาติ
โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้
ยิ่งเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคน ควรจะร่วมมือร่วมใจกันผลักดันให้เกิดผลขึ้นโดยเร็ว.
ทีมการศึกษา
|