กระแส
"พาราลิมปิคฟีเวอร์" ยกระดับคนพิการในจีน
โดย ภมรศรี ไพบูลย์รวมศิลป์
"พาราลิมปิคเกมส์
2008 " ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนจบลงไปแล้ว
แม้ว่าในประเทศไทยจะไม่มีการถ่ายทอดสดให้คนไทย
โดยเฉพาะญาติพี่น้อง รวมทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหายของนักกีฬาที่สู้อุตส่าห์เพียรซ้อมอยู่นานเป็นปีๆ
เพื่อเข้าชิงชัยในห้วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ได้ร่วมลุ้นและให้กำลังใจแก่กันเหมือนการแข่งขันโอลิมปิค
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่น่ายินดียิ่งได้เกิดขึ้นพร้อมกับการแข่งขันพาราลิมปิค
ครั้งที่ 13 นี้ก็คือ ความเท่าเทียมในการได้รับการปฏิบัติระหว่างนักกีฬาคนพิการกับนักกีฬาปกติ
พาราลิมปิคเกมส์ จัดขึ้นมาแล้ว
12 ครั้ง นับตั้งแต่การจัดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่กรุงโรม
ประเทศอิตาลี เมื่อ 48 ปีก่อน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในการแข่งขันบนเวทีคนพิการระดับโลก
ที่นักกีฬาคนพิการกับนักกีฬาปกติต้องถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการโอลิมปิคสากลกับคณะกรรมการจัดงานพาราลิมปิคสากล
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2001 เพื่อเป็นหลักประกันว่า
นับตั้งแต่ปี 2008 ปักกิ่งเกมส์เป็นต้นไป จะต้องมีการแข่งขันพาราลิมปิคเกมส์ต่อจากโอลิมปิคเกมส์โดยเร็ว
และนักกีฬาของทั้งโอลิมปิคและพาราลิมปิคจะได้พักในหมู่บ้านเดียวกัน
ใช้สนามกีฬาหรืออาคารเดียวกัน ได้รับการบริการที่เท่ากัน
แม้กระทั่งการขายบัตรเข้าชมการแข่งขัน
และการเดินทางก็ต้องใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกัน
เหตุผล คือเพื่อให้ความแตกต่างระหว่างคนปกติและคนพิการแคบลงนั่นเอง
ในเวทีแข่งขันกีฬาคนพิการโลก
นับว่า "จีน" เจ้าภาพการจัดงานในปีนี้ ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้
เพราะนอกจากภายในบริเวณสนามกีฬาที่เอื้อต่อคนพิการแล้ว
เรียกได้ว่าแทบจะทุกจุดของกรุงปักกิ่ง ทางการจีนได้วางระบบต่างๆ
ไว้รองรับและอำนวยความสะดวกต่อผู้พิการไว้ก่อนหน้านี้แล้วทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะตามสวนสาธารณะ สถานที่ราชการ โรงพยาบาล หรือแม้แต่ทางเท้าสาธารณะทั่วไป
ล้วนมีทางลาด สัญลักษณ์ทางเท้าสำหรับผู้พิการทางสายตา
มีราวจับ มีห้องน้ำและลิฟต์สำหรับผู้พิการโดยเฉพาะ
เริ่มจากการสำรวจ
โรงพยาบาลถง เหยิน อี เยี่ยน โรงพยาบาลของรัฐที่มีชื่อเสียงที่สุดด้านการรักษาสายตา
บรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานทั้งหลายสำหรับคนพิการมีให้อย่างครบครัน
อาทิ ทางลาดสำหรับรถเข็น ที่จอดรถ ห้องน้ำ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ
ซึ่งติดตั้งในระดับที่ผู้พิการที่ใช้รถเข็นสามารถใช้ได้
รวมไปถึงช่องการจ่ายยาสำหรับคนพิการ
ขณะที่บริเวณป้ายรถเมล์
หรือทางเท้าตามจุดต่างๆ ของกรุงปักกิ่ง ยังได้ทำทางลาดที่เชื่อมต่อระหว่างถนนกับทางเท้าสำหรับผู้พิการที่ต้องใช้รถเข็น
รวมไปถึงการวางสัญลักษณ์ทางเท้าเพื่อบอกทางให้กับผู้พิการทางสายตา
ไม่เพียงในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
นานา จีนยังปลุกกระแสให้คนในชาติเห็นความสำคัญของผู้พิการ
ด้วยการให้คนพิการในประเทศเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิคด้วย
งานนี้จึงเห็นว่ามีทั้งนักข่าวคนพิการทำหน้าที่รายงานสดจากภาคสนาม
รวมทั้งถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาคนพิการโลกตามสถานที่ต่างๆ
ทำให้คนในชาติได้ร่วมเชียร์ร่วมลุ้นกับการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย
ทำให้บรรยากาศของพาราลิมปิคที่กรุงปักกิ่งเป็นไปอย่างคึกคักไม่น้อย
นายหลู่ หง ลู่ อดีตตำรวจ
วัย 75 ปี อาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่ง เล่าว่า เพิ่งรู้จักกีฬาพาราลิมปิคเป็นครั้งแรกเมื่อจีนได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันว่า
เป็นกีฬาสำหรับผู้พิการ แม้ว่าการจัดงานครั้งนี้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมการแข่งขัน
แต่ได้ทราบข่าวจากทางโทรทัศน์อยู่ตลอด ทำให้รู้สึกดีใจเมื่อคนจีนได้เหรียญจากการชนะการแข่งขันเป็นจำนวนมาก
สำหรับทัศนคติของคนจีนที่มีต่อ
"ความพิการ" อดีตนายตำรวจของจีนผู้นี้มองว่า
"คนพิการก็เหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่ง แม้ว่าการทำงานระหว่างคนพิการกับคนปกติจะไม่เหมือนกัน
แต่คนพิการมีความมั่นใจมากกว่าคนปกติ เพราะการที่เขาจะลุกขึ้นทำอะไรบางอย่าง
แสดงว่าใจเขาชนะไปแล้ว"
กับสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการตามสถานที่ต่างๆ
ของกรุงปักกิ่งนั้น นายหลู่ หง ลู่ บอกว่า รัฐบาลจีนได้วางระบบเรื่องนี้มานานแล้ว
ควบคู่ไปกับการวางผังเมือง ตามถนนสายต่างๆ ทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน
หรือสถานที่สาธารณะทั่วไป จึงมีระบบรองรับสำหรับผู้พิการ
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับคนปกติในสังคม
และที่น่าตื่นตาตื่นใจ
คือ "รถแท็กซี่สำหรับคนพิการ" ที่เพิ่งมีขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันพาราลิมปิค
2008 ปีนี้เป็นการเฉพาะ
หน้าตาก็เหมือนกับแท็กซี่ป้ายดำที่วิ่งให้บริการทั่วไปในกรุงปักกิ่ง
เพียงแต่มีสัญลักษณ์รูปคนพิการติดอยู่ที่ด้านข้างประตูรถ
พอเปิดประตูปั๊บจะมีทางลาดลงสำหรับรถเข็น และมีราวจับพร้อมทั้งเข็มขัดนิรภัยสำหรับล็อคไว้กับรถเข็นเพื่อความปลอดภัย
ส่วนรถขนส่งมวลชนสาธารณะสำหรับผู้พิการก็เช่นกันคือ
จะมีสัญลักษณ์รูปคนพิการ ซึ่งนอกจากจะมีทางลาดให้ขนเข็นเข้าเทียบ
จากนั้นระบบไฮดรอลิกส์ซึ่งบังคับได้จากที่นั่งคนขับจะทำหน้าที่ยกรถขึ้น
รวมทั้งมีระบบเสียงแจ้งสถานีที่จอดในแต่ละสถานีเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตาเช่นกัน
ทางด้าน พญ.วัชรา
ริ้วไพบูลย์ ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการในสังคมไทย
ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะนักกีฬาไทยที่เดินทางไปร่วมการแข่งขันพาราลิมปิคที่จัดผ่านไปให้ทรรศนะว่า
คนพิการนั้นมีหลายประเภท
มีทั้งความพิการทางร่างกาย พิการทางการมองเห็น การได้ยิน
สติปัญญา จิตใจและพฤติกรรม แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็น "คน"
ที่ควรได้รับสิทธิเหมือนกับคนอื่นๆ สิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่สาธารณะและสถานที่ราชการ
จึงเป็นสิ่งจำเป็นรัฐบาลจำเป็นต้องจัดหาให้สำหรับผู้พิการ
ยกตัวอย่างเช่น ห้องน้ำที่ต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการหมุนตัวของรถเข็น
เส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร โถส้วมต้องสูงระหว่าง
45-50 เซนติเมตร ทางลาดจะต้องมีความชันไม่เกินอัตราที่กำหนด
ต้องมีลิฟต์ หรือตู้โทรศัพท์ก็ต้องติดตั้งในระดับที่เหมาะสม
ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงผู้พิการทางสายตา
อย่างบนทางเท้าจำเป็นต้องมีสัญลักษณ์สำหรับผู้พิการทางสายตา
รวมทั้งต้องมีสัญญาณไฟจราจรเสียง
สำหรับในประเทศไทยนั้นที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้ทุกโรงพยาบาลของรัฐต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ
โดยเฉพาะทางลาด
และที่น่ายินดีคือ
ปัจจุบันมีความร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการบนถนนราชดำริ
สำนักงานเขตปทุมวัน และเครือข่ายคนพิการ ปรับทางเท้าตลอดสองข้างทางสำหรับผู้พิการ
และผู้สูงอายุ โดยมีสัญลักษณ์ทางเท้า และสัญญาณไฟจราจรเสียง
สำหรับผู้พิการทางสายตา ทางลาดสำหรับผู้พิการทางร่างกายและผู้สูงอายุ
"แม้ว่าประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มมีสิ่งรองรับผู้พิการ
แต่ก็ถือเป็นจุดหนึ่งเท่านั้น และยังไม่เพียงพอ เพราะการให้คนพิการออกสู่สังคมปกติได้
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องวางระบบสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะสำหรับผู้พิการอย่างเป็นระบบ
และทุกพื้นที่เพื่อให้คนพิการสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้
เช่นเดียวกับคนปกติ" พญ.วัชราบอก
การปรับปรุงพัฒนาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนพิการในกรุงปักกิ่งของรัฐบาลจีนที่ถือเอาฤกษ์ยามของการจัดกีฬาพาราลิมปิคเป็นการเริ่มต้น
นับเป็นสิ่งน่าสนใจและน่าเอาเยี่ยงอย่าง เพราะหากจะว่าไปแล้วประเทศไทยผ่านมาไม่รู้กี่รัฐบาลที่มีหน่วยงานด้านคนพิการพยายามผลักดันเรื่องนี้
แต่ไม่เคยได้รับความสนใจ ไม่ว่าจะมีกีฬาพาราลิมปิคหรือไม่มีก็ตาม
แค่เริ่มต้นจากสถานีรถไฟฟ้าที่บังคับให้เปิดใช้ลิฟต์สำหรับคนพิการได้ทำหน้าที่เพื่อคนพิการจริงๆ
และมีให้ครบทุกสถานี เพื่อว่าคนพิการจะสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้
แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้เลย
|