Skip Navigation


 

โลกของคนหูหนวก


English Version หน้าแรก Thai Version

ยิ้มสู้ เพื่อคนตาบอด

โรงเรียนวชิราวุธอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนตาบอดนักเคยจัดงานที่เชิญให้นักเรียนตาบอดมาร่วม เพื่อที่นักเรียนวชิราวุธจะได้มีโอกาสได้พบเพื่อนๆ ต่างโรงเรียน และได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นที่สนุกสนานกันทั้งสองฝ่าย วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๒ เป็นวันเกิดของมูลนิธิสงเคราะห์คนตาบอดแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยคนพิการแห่งแรกในประเทศของเรา เมื่อเดือนพฤษภาคมมาถึง จึงอยากมาชวนให้คุณผู้อ่านไปทำบุญที่โรงเรียนคนตาบอด

จากหนังสือประมวลบทเพลงพระราชนิพนธ์ ซึ่งโรงเรียนจิตรลดาจัดพิมพ์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เมื่อครั้งทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ทำให้ทราบว่า เพลงพระราชนิพนธ์ "ยิ้มสู้" ที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Smile นี้ ชาวไทยได้ฟังครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๙๕ ที่มาของเพลงคือ หลังจากเสด็จฯไปทรงเยี่ยมโรงเรียนสอนคนตาบอด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเมตตาพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงนี้ขึ้นเพื่อ "กล่อมจิตใจคนตาบอดให้เบิกบานยินดี" คำร้องที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ประพันธ์ก็มีความหมายง่ายๆ แต่เป็นสัจธรรม…"ใฝ่กระทำความดีให้มีจิตโสภา สร้างแต่ความเมตตาหาความสุขสันต์ไป จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ เฝ้าแต่ยิ้มสู้ไปแล้วใจชื่นบาน"

โรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งในปัจจุบันมีชื่อเต็มๆ ว่า "โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ" นั้น อยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ คนไทยจะรู้สึกอย่างไรกับคนอเมริกันในปัจจุบันก็ตามที แต่ในอดีต คนอเมริกันเป็นผู้ให้การศึกษาสมัยใหม่แก่คนไทยมากที่สุดมาก่อนใครๆ เหล่ามิชชันนารีอเมริกันสอนในวังหลวงมานานปี ก่อนแหม่มแอนนาจะมาถึงเมืองไทย และยังเปิดสถานศึกษาสำหรับชาวบ้านที่มีฐานะยากจนก่อนฝรั่งชาติอื่นๆ ด้วย แม้ในการให้การศึกษาแก่คนตาบอดในประเทศไทย ก็เริ่มจากคนอเมริกันคือมิสเจเนวิฟ คลอฟีลด์ (Genevieve Caufield) คำว่า ma"am (ออกเสียงว่า "แมม") ในภาษาอังกฤษนั้นรับมาจากคำว่า madame ในภาษาฝรั่งเศส เป็นคำเรียกหรือตอบรับที่ใช้อย่างให้เกียรติสตรี ส่วนใหญ่มักใช้กับสตรีที่แต่งงานแล้ว แต่คนไทยใช้คำนี้เรียกผู้หญิงฝรั่งว่า "แหม่ม" ไม่ว่าจะเป็นนางหรือนางสาว หากว่าจะใช้คำว่า "แหม่ม" อย่างยกย่องเหมือนของเดิมแล้ว เห็นจะเหมาะมากที่จะใช้เรียกคนที่มีคุณงามความดีอย่างแหม่มเจเนวิฟ คลอฟีลด์

ตามประวัติ ตัวแหม่มเจเนวิฟนั้นตาบอดเนื่องจากอุบัติเหตุตั้งแต่อายุ ๓ เดือน แต่ก็มีโอกาสได้ร่ำเรียนสูงจนจบด้านการศึกษาจากโคลัมเบีย และมีความตั้งใจจริงที่จะให้การศึกษาแก่เยาวชนอย่างไม่เลือกเผ่าพันธุ์ ชาติหรือศาสนา หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เธอจึงเดินทางไปสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นนานถึง ๑๗ ปี แต่เมื่อรู้สึกว่าญี่ปุ่นเริ่มรุกรานประเทศใกล้เคียงหนักข้อขึ้นทุกที และมีท่าว่าจะคิดทำสงครามใหญ่ แหม่มเจเนวิฟจึงเลือกที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศไทย นับว่าเป็นโชคดีของคนพิการในประเทศเรา เมื่อแหม่มพบว่าประเทศไทยยังไม่มีโรงเรียนสำหรับคนตาบอด เธอจึงเป็นตัวตั้งตัวตีขอความช่วยเหลือจากชาวต่างชาติและบรรดาคนไทยที่มีใจกุศล จนสามารถตั้งโรงเรียนสอนการอ่านเขียนแบบเบรลล์แก่คนตาบอดได้ ณ บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งแถวศาลาแดง โรงเรียนนี้เปิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๒ ใช้ชื่อว่าโรงเรียนสอนคนตาบอด นับเป็นโรงเรียนที่สอนเด็กพิการแห่งแรกในประเทศไทย ส่วนนักเรียนคนแรกของโรงเรียนคือ หม่อมเจ้าหญิง พวงมาศผกา ดิศกุล การที่มี "ลูกเจ้าลูกนาย" สนใจเข้ามาเรียน พลอยทำให้คนไทยส่วนใหญ่ที่เคยอับอายในความไม่สมประกอบของลูกหลาน เปลี่ยนทัศนคติไปในทางที่ดี ต่อมาได้บุคคลมีจิตกุศลทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ สนับสนุนช่วยเหลือตั้งเป็นมูลนิธิสงเคราะห์คนตาบอด แห่งประเทศไทย ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๒ นับเป็นมูลนิธิช่วยคนพิการแห่งแรกในประเทศเรา เมื่อมีนักเรียนเพิ่มมากขึ้น โรงเรียนต้องย้ายจากบ้านเล็กๆ แห่งแรก ไปหาที่เหมาะสมใหม่อยู่เรื่อยๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะลำบากในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งนักเรียนและครูอยู่ในสภาพต้องเร่ร่อนจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งอยู่ร่วมสิบปี จนถึง พ.ศ.๒๔๙๒ รัฐบาลสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม จึงอนุมัติให้เช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เนื้อที่ ๘ ไร่เศษ ณ สี่แยกตึกชัย ถนนราชวิถี เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนคนตาบอด จนมาถึงปัจจุบัน

รูปประภาคารในเครื่องหมายของโรงเรียนสอนคนตาบอดนั้น คือกระโจมไฟที่ให้แสงสว่างแก่ผู้เดินทางในทะเลกว้าง เปรียบเสมือนกับโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพที่ให้แสงสว่างและความหวังแก่นักเรียนตาบอด แต่กระโจมไฟจะสว่างไสวอยู่ได้ ก็เพราะมีผู้ส่งเสบียงกรังและสิ่งจำเป็นต่างๆ จากแผ่นดินใหญ่ไปให้ เหมือนกันกับที่โรงเรียนสอนคนตาบอดจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาผู้มีจิตกุศล ไม่ว่าจะด้วยกำลังเงินหรือกำลังงาน ล้วนแต่มีประโยชน์แก่โรงเรียนทั้งนั้น

มติชนออนไลน์ คอลัมน์ For a Song ของนักเรียนวชิราวุธ โดย ศุภาศิริ สุพรรณเภสัช ๑๑ พค. ๒๕๕๑

กลับไปหน้าแรก