Skip Navigation


 

โลกของคนหูหนวก


English Version หน้าแรก Thai Version

สเต็มเซลล์รักษาโรคหูหนวก ความหวังใหม่ทางการแพทย์

นพ.โอบจุฬ ตราชู อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า โรคหูหนวกเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่สามารถรับสัญญาณเสียงต่างๆ ได้ ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยปัจจุบันยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกเพศทุกวัย จากข้อมูลล่าสุดพบว่า เด็กไทย 1-2 คน จาก 1,000 คนมีอาการหูหนวก เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรมกว่าร้อยละ 50 นอกนั้นอาจมาจากความเสื่อมตามอายุขัย ปัญหาการติดเชื้อ การอยู่ภายในสภาวะแวดล้อมที่เสียงดังมากและติดต่อกันเป็นเวลานาน อาทิ การทำงานภายในโรงงานอุตสาหกรรม ล่าสุดคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ ทำการศึกษาและวิจัยเรื่อง "การพัฒนาสเต็มเซลล์รักษาโรคหูหนวก"

นพ.โอบจุฬกล่าวว่า ทีมวิจัยได้ทำการกระตุ้นสเต็มเซลล์จากหูให้สามารถเจริญเติบโต และเปลี่ยนเป็นเซลล์ประสาทหูทดแทนเซลล์ประสาทที่เสื่อมสภาพ เพื่อรักษาอาการหูหนวก โดยนำยาในกลุ่มสลายลิ่มเลือดหัวใจ ซึ่งเคยมีการทดลองในประเทศอิตาลี พบว่าผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจที่รับประทานยาดังกล่าวกลับมีความสามารถในการได้ยินเพิ่มขึ้น ทีมวิจัยจึงนำยาชนิดนี้มากระตุ้นสเต็มเซลล์ในหูของสัตว์ทดลอง พบว่าผลเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากเซลล์ตอบสนองต่อการกระตุ้นดังกล่าว และมีแนวโน้มพัฒนาเป็นเซลล์ประสาทหูได้ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องวิจัยและพัฒนาต่อไป คาดว่าภายใน 4-5 ปีจะสามารถนำมาทดลองในระดับคลีนิคได้

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสมาคมแพทย์ในสหรัฐอเมริกาและกระทรวงการต่างประเทศ จัดการประชุมวิชาการทางการแพทย์เฉลิมพระเกียรติ และให้บริการตรวจสุขภาพฟรีสำหรับประชาชน ระหว่างวันที่ 30 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์ประจำสาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้การวิจัยและรักษาโรคโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดได้ผลและเป็นที่ยอมรับเฉพาะการปลูกถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษาโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดเท่านั้น ส่วนโรคอื่นๆ เช่น ด้านสมอง ที่สถานพยาบาลต่างๆ โฆษณาประชาสัมพันธ์ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัย ส่วนการเก็บสายสะดือทารกแรกเกิดที่คิดราคาประมาณ 1-3 แสนบาท และมีค่าบำรุงอีกหลายหมื่นบาท เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์กับเจ้าของสายสะดือในอนาคตนั้นสายสะดือดังกล่าวจัดเก็บได้นานเพียง 7-8 ปี หากเกินกว่านั้นจะไม่ได้ผล

หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10880 หน้า 5

กลับไปหน้าแรก