เส้นเลือด (blood vessel) ในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ระบบ
1. ระบบอาร์เทอรี (artery system)
2. ระบบเวน (venous system)
3. ระบบเส้นเลือดฝอย (capillary system)

ระบบอาร์เทอรี(arterial system) เป็นระบบของเส้นเลือดที่มีทิศทางออกจากหัวใจไปยังปอดและส่วนต่างๆของร่างกาย เส้นเลือดอาร์เทอรีเมื่อเรียงลำดับจากหัวใจต่อเนื่องกันไปจากขนาดใหญ่ไปเล็กตามลำดับ จะประกอบด้วย

1. เอออร์ตา (aorta) หรือขั้วหัวใจ มีขนาดใหญ่ที่สุด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว หรือ 2.5 เซนติเมตร มีความหนาของชั้นที่หุ้มเส้นเลือด 2 มิลลิเมตร

2. อาร์เทอรี (artery) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.4 เซนติเมตร มีชั้นที่หุ้มหนาราว 1 มิลลิเมตร

3. อาร์เทอรีโอล (arteriole) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ไมครอน และชั้นที่บุหนา 20 ไมครอน

ผนังของเส้นเลือดอาร์เทอร์รี ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ


เป็นชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มี fibrous material และจะมีเส้นเลือดวาซา วาโซรัม (vasa vasorum) มาเลี้ยงผนักของเส้นเลือดด้วย


เป็นชั้นกล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีไยอิลาสติก (elastic fibers) ทำให้มีความยืดหยุ่นดี


เป็นชั้นกล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีไยอิลาสติก (elastic fibers) ทำให้มีความยืดหยุ่นดี

โครงสร้างของระบบเส้นเลือดในระบบอาร์เทอรีจะมีความแตกต่างกันทางด้านโครงสร้างและองค์ประกอบอยู่บ้าง เช่นผนังของอาร์เทอรีขนาดเล็กและอาร์เทอริโอลจะมีเนื้อเยื่ออิลาสติกน้อยกว่าเส้นเลือดอาร์เทอรีขนาดใหญ่ แต่มีกล้ามเนื้อเรียบค่อนข้างมากทำให้ยืดหยุ่นได้ดีมาก

ระบบเส้นเลือดเวน (venous system) ทำหน้าที่นำเลือดจากปอดและส่วนต่างๆของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ ซึ่งเมื่อเรียงลำดับจากขนาดเล็กไปขนาดใหญ่สุด จะประกอบด้วยกลุ่มของเส้นเลือด

1. เวนูล (venule)

2. เวน (vein)

3. เวนาคาวา (venacava)

ผนังของเส้นเลือดในระบบเวน ประกอบด้วยผนัง 3 ชั้น เช่นเดียวกับในระบบอาร์เทอรี แต่มีลักษณะแตกต่างกันคือ

- เส้นเวนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่มากกว่าอาร์เทอรี

- ผนังของเส้นเลือดเวนจะบางกว่าของอาร์เทอรี เนื่องจากมีกล้ามเนื้อน้อยกว่า ผนังชั้นนอกของเส้นเวนจะหนาเป็น 2 - 5 เท่าของชั้นกลาง

- ท่อหรือช่องว่าง (lumen) ของเส้นเลือดเวนมีขนาดกว้างกว่าท่อของเส้นเลือดอาร์เทอรี

- ผนังของเส้นเวน จะมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า แรงดันของเลือดที่ไหลในเส้นเลือดเวนต่ำกว่าในเส้นเลือดอาร์เทอรี และจะมีแรงดันค่อนข้างสม่ำเสมอยิ่งใกล้หัวใจแรงดันของเลือดของเส้นเวนยิ่งต่ำลง เนื่องจากอยู่ห่างจากแรงบีบตัวของหัวใจ

- ผนังของเส้นเลือดเวนสามารถยืดขยายได้มาก ทำให้จุเลือดได้เป็นจำนวนมากกว่าในเส้นอาร์เทอรี ประมาณ 60 - 70 % ของเลือดทั้งหมดในร่างกายจะอยู่ในระบบเวน

- เส้นเวนขนาดใหญ่จะมีลิ้น (valve) กั้นอยู่ภายในเป็นระยะๆ เช่นเส้นเวนที่ท้องและขานี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ ทำให้เลือดถูกไล่ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ยกเว้นเส้นเลือดพัลโมนารีเวน (pulmonary vein) ที่นำเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดมาเข้าสู่เอเตรียมซ้ายจะไม่มีลิ้นกั้นอยู่ภายใน

- เส้นเลือดเวนใช้ในการเจาะเลือดหรือบริจาคเลือด แต่เส้นเลือดอาร์เทอรีไม่ใช้ในการเจาะเลือด เนื่องจากมีแรงดันเลือดมากซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจ

ระบบเส้นเลือดฝอย(capillarial system) เป็นระบบที่อยู่ระหว่างระบบอาร์เทอรีและเวน ซึ่งจะแทรกอยู่ตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย เส้นเลือดฝอยมีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 ไมโครเมตร ผนังบางมากซึ่งหนาเพียง 1 ไมโครเมตร เพราะประกอบไปด้วยเซลล์เอนโดทีเลียล (endothelial cell) เรียงตัว

กันเป็นชั้นเดียวไม่มีกล้ามเนื้อและเส้นใยอิลาสติก สานกันเป็นร่างแหอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เชื่อมต่อระหว่างเส้นเลือดอาร์เทอริโอล และ เวนูล ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ สารต่างๆและของเสียระหว่างเลือดกับเซลล์ของร่างกาย โดยก็าซออกซิเจนและอาหารจะแพร่ผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยเข้าสู่เซลล์และก็าซคาร์บอนไดออกไซด์กับของเสียต่างๆจากเซลล์จะแพร่ผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยเพื่อส่งไปกำจัดออกยังปอดและแหล่งขับถ่ายต่างๆในร่างกาย


มาร์เซลโล มัลพิกิ (Marcello Malpighi) นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูปอดกบ พบว่าเส้นเลือดฝอยเป็นบริเวณที่เชื่อมติดต่อระหว่างอาร์เทอรีและเวน เส้นเลือดฝอยมีความเหมาะสมในการทำหน้าที่เป็นบริเวณแลกเปลี่ยนสารระหว่างเลือดกับเซลล์เพราะ

1. มีพื้นที่ผิวมหาศาลโดยประมาณได้ว่าถ้านำเส้นเลือดฝอยทั้งหมดในร่างกายมาเรียงต่อกันให้มีความกว้าง 30 cm. จะได้ความยาวเท่ากับ 12 ไมล์ และถ้าม้วนแผ่นนี้ทางด้านกว้างไปตามความยาว 12 ไมล์ จะได้ขนาดแท่งเล็กว่าไส้ดินสอ แสดงว่าาเส้นเลือดฝอยมีพื้นที่ผิวมากมายจึงทำให้มีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนสารสูง

2. ผนังของเส้นเลือดฝอยไม่มีกล้ามเนื้อสำหรับดันเลือด เลือดจึงไหลอย่างช้าๆ ทำให้โอกาสแลกเปลี่ยนสารเกิดขึ้นได้อย่างดี

3. ผนังของเส้นเลือดฝอยบางมาก เนื่องจากประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวเป็นชั้นเดียว จึงทำให้การแลกเปลี่ยนสารเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว

สิ่งเปรียบเทียบ
เส้นเลือดอาร์เทอรี
เส้นเลือดเวน
เส้นเลือดฝอย
1. ทิศทางการไหลของเลือดในเส้นเลือด ไหลออกจากหัวใจ ไหลเข้าสู่หัวใจ รับเลือดจากอาร์เทอรีแล้วส่งให้เวน
2. ลักษณะของเลือดในเส้นเลือด มี O2 สูงยกเว้น เส้นเลือด pulmonary artery มี CO2 สูงยกเว้นในเส้นเลือด pulmonary vein มีทั้ง O2 สูง และCO2 สูง
3. ลิ้นในเส้นเลือด ไม่มี ยกเว้นที่ฐานของเส้นเลือด Pulmonary artery และ Aorta มี ยกเว้น ในเส้นเลือด Pulmonary vein ไม่มี
4. ความหนาของผนังเส้นเลือด หนาที่สุด บางกว่า บางที่สุด
5. ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อเส้นเลือด แคบกว่าเวน กว้างกว่าอาร์เทอรี แคบที่สุด
6. ปริมาณเลือดในเส้นเลือด 10 - 12% 60 - 70 % 4 - 5 %
7. การมองเห็นจากภายนอก ไม่เห็น เห็น ไม่เห็น
8. ความเร็วของกระแสเลือดในเส้นเลือด เร็วที่สุด ปานกลาง ช้าที่สุด
9. การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือด อาศัยการบีบตัวของหัวใจ อาศัยการบีบตัวของกล้ามเนื้อลายที่อยู่รอบๆ อาศัยการบีบตัวของหัวใจ
10. แรงดันเลือด สูงสุด ต่ำสุด ปานกลาง

การหมุนเวียนเลือดในร่างกาย แบ่งเป็น 2 ระบบ คือ


เป็นการไหลเวียนของเลือดจากเอเตรียมขวาลงสู่เวนตริเคิลขวาของหัวใจแล้วส่งไปยังปอดเพื่อปล่อย CO2 และรับ O2 กลายเป็นเลือดที่มี O2 สูง (Oxygenated blood) เลือดออกจากปอดทางเส้นเลือดพัลโมนารีเวนเพื่อส่งเข้าสู่เอเตรียมซ้าย


เป็นการไหลเวียนของเลือดจากเอเตรียมซ้ายลงสู่เวนตริเคิลซ้ายแล้วเลือดส่งเข้าอาร์เทอรี ซึ่งจะนำเลือดที่มี O2 สูงและอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วเลือดจะไหลกลับเข้าสู่ระบบเวนเพื่อส่งกลับเข้าสู่หัวใจเอเตรียมขวา

การหมุนเวียนของเลือดทั้ง 2 วงจรนี้ จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันแบบอนุกรมและมีหัวใจเปรียบเสมือนศูนย์กลางโยงระหว่างการหมุนเวียนเลือดภายในร่างกาย

บางคนอาจแบ่งให้มีอีกระบบ คือ Portal system เป็นระบบของเส้นเลือดเวนที่รับเลือดเสียจากเส้นเลือดฝอยแล้วรวมเป็นเส้นเลือดใหญ่ และแตกเป็นเส้นเลือดฝอยอีกครั้งหนึ่ง ตัวอย่างเช่น

- hetatic portal system เกิดจากเส้นเลือดฝอยรับเลือดมาจากทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ แล้วรวมเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่มีชื่อว่า hetatic portal vein จากนั้นจึงแตกเป็นเส้นเลือดฝอยเข้าตับ เพื่อสกัดสารพิษจากอาหาร และสร้างยูเรีย

- ระบบ portal อีกระบบหนึ่งอยู่ที่ไต เรียกว่า renal portal vein

การหมุนเวียนเลือดผ่านหัวใจสรุปได้ดังนี้

- หัวใจห้องเอเตรียมขวา จะรับเลือดที่มี O2 ต่ำ (Oxygenated blood) จากเส้นเวนขนาดใหญ่ชื่อ ซูพีเรีย เวนาคาวา (Superior vena cava) ซึ่งนำเลือดมาจากศีรษะและแขน และรับเลือดจากเส้นเวนที่ชื่อ อินฟีเรีย เวนาคาวา (Inferior vena cava) ซึ่งนำเลือดมาจากส่วนล่างของลำตัว คืออวัยวะภายในและขาเข้าสู่หัวใจด้วย

- เอเตรียมขวาบีบตัวทำให้เลือดไหลผ่านลิ้นไตรคัสปิดลงสู่เวนตริเคิลขวา

- เวนตริเคิลขวาจะบีบตัวทำให้เลือดถูกส่งผ่านลิ้นพัลโมนารีหรือเซมิลูนาร์ เข้าสู่เส้นเลือดพัลโมนารี อาร์เทอรี (Pulmonary artery) ซึ่งจะนำเลือดไปยังปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซโดยปล่อย CO2 ให้แก่ปอด และรับ O2 จากปอดกลายเป็นเส้นเลือดที่มี O2 สูง

- เลือดที่มี O2 สูงไหลเข้าสู่พัลโมนารี เวน (Pulmonary vein) เข้าสู่ห้องหัวใจเอเตรียมซ้าย

- เมื่อหัวใจห้องเอเตรียมซ้ายบีบตัว ซึ่งเกิดในจังหวะเดียวกับเอเตรียมขวา จะทำให้เลือดไหลผ่านลงสู่ลิ้นไมตรัล หรือลิ้นไบคัสปิดลงสู่หัวใจห้องเวนตริเคิลซ้าย

- เมื่อเวนตริเคิลซ้ายบีบตัวจะดันให้เลือดไหลผ่านลิ้นเอออร์ติก หรือเซมิลูนาร์ เข้าสู่เอออร์ตา จากเอออร์ตาจะแตกแขนงเป็นอาร์เทอรี อาร์เทอริโอลแยกไปยังส่วนต่างๅของร่างกาย