วิธีชนะมิตรและจูงใจคน
ของ
เดล คาร์เนกี

  หนังสือ "วิธีชนะมิตรและจูงใจคน" ของ เดล คาร์เนกี  เป็นหนังสือที่มีผู้อ่านมากเล่มหนึ่ง  ให้คติและข้อคิดอย่างดียิ่ง
ในการอยู่ร่วม กับผู้อื่นในครอบครัว ในชีวิตการทำงาน ในสังคม   หนังสือได้แบ่งออกเป็น 6 ตอน คือ
  ตอนที่ 1  เทคนิคสำคัญในการปฏิบัติต่อผู้อื่น
  ตอนที่ 2  วิธีปฏิบัติ 6 ประการเพื่อทำให้ผู้อื่นชอบท่าน
  ตอนที่ 3  วิธีปฏิบัติ 12 ประการ เพื่อจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามแนวความคิดของท่าน
  ตอนที่ 4  วิธีปฏิบัติ 9 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น โดยไม่ให้มีความรู้สึกบาดหมางหรือขุ่นเคือง
  ตอนที่ 5  จดหมายซึ่งบันดาลผลมหัศจรรย์
  ตอนที่ 6  วิธีปฏิบัติ 7 ประการ เพื่อทำให้ชีวิตในครอบครัวของท่านมีความสุขยิ่งขึ้น
     กระผมได้บันทึกสรุปย่อไว้ด้วยลายมือ ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนนายร้อย นานทีเดียวครับ ปฏิบัติตามแนวทางได้ก็หลาย ประการอยู่ และที่ปฏิบัติไม่ได้ก็ยังมีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน  ก็ต้องพยายามกันต่อไป ไม่ย่อหย่อน อ่อนกำลังครับ ...... ป้อง1930


ตอนที่ 1
เทคนิคสำคัญในการปฏิบัติต่อผู้อื่น
บทที่ 1 การตำหนิติเตียน

    - 99 ครั้งใน 100 ครั้งแห่งความผิดของมนุษย์ เขาจะไม่ตำหนิติเตียนตนเองแต่อย่างใด แม้ความผิดพลาดนั้นจะ ร้ายแรงสักขนาดไหนก็ตาม
    - การตำหนิติเตียน เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ เพราะจำต้องทำให้ผู้ถูกติเตียนแก้ตัวต่างๆ และพยายามที่จะเข้าข้างตนเอง การตำหนิติเตียนเป็นภัย เพราะมันสามารถทำให้จิตใจอันภาคภูมิของมนุษย์ได้รับความปวดร้าว ทำลายความรู้สึกแห่งการเป็นคนมีความสำคัญ และก่อให้เกิดโทสะ
    - ก่อนที่จะตำหนิติเตียนผู้อื่น แก้ไขวิพากวิจารณ์ผู้อื่น จงแก้ไขตัวของเราเองให้เรียบร้อยเสียก่อน
    - ในการติดต่อกับบุคคลทั่วๆไป เราจงจำไว้เสมอว่าเรามิได้ติดต่อกับบุคคลที่เพียบพร้อมด้วยเหตุผล แต่เราติดต่อกับบุคคลซึ่งเต็มไปด้วยความ ผันแปรแห่งอารมณ์ และห้อมล้อมอยู่ด้วยอคติ และจิตใจคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความหยิ่งทะนะ และทิฐิ
    - "ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวร้ายต่อผู้ใด จะกล่าวเฉพาะแต่ความดีเท่าที่ข้าพเจ้ารู้ของมนุษย์ทุกคน"
    - ควบคุมตนเอง-เข้าใจผู้อื่น-ยินดีให้อภัย  ค้นหาความจริงว่าทำไมเขาจึงได้กระทำลงไปอย่างที่เขาได้กระทำ  การเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง คือ การให้อภัยทุกสิ่งทุกอย่าง
    - ทำไม? เราจึงจะด่วนตัดสินผู้อื่นเร็วจนเกินไปเล่า

บทที่ 2  เคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่ในการติดต่อกับผู้อื่น

  - มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ใครต่อใครทำทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านเคยหยุดคิดเรื่องนี้บ้างไหม?  ถูกแล้ว มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น และนั่นคือ การทำให้บุคคลผู้นั้น "ต้องการ" ที่จะทำ  โปรดจำไว้ ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
    - มีอยู่ไม่กี่อย่างที่เรามนุษย์ธรรมดา มีความกระหายอยากได้ด้วยหัวใจที่จดจ่อ นั่นคือ มีสุขภาพสมบูรณ์อายุยืน อาหาร นอนหลับ  เงินและ สิ่งซึ่งจะซื้อได้ ความสุขในอนาคต ความเกษมสำราญในกามรมณ์ ลูกได้รับความสุขสวัสดี  และความรู้สึกเป็นคนสำคัญ
    - ความปรารถนาเพื่อจะเกิดความรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์ กับสัตว์เดียรัจฉาน
    - วิธีที่จะส่งวเสริมให้เขาเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นผู้ร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้เขามีความขยันหมั่นเพียรอย่างสูงสุด ก็คือ การยกย่องสรรเสริญและให้กำลังใจ
    - ไม่มีสิ่งใดจะทำลายความทะเยอทะยานของผู้น้อย ยิ่งไปกว่าการตำหนิติเตียนจากหัวหน้า
    - การยกย่องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ส่วนการเยินยอทำด้วยความไม่สุจริตใจ  อย่างหนึ่งออกมาจากหัวใจ  อีกอย่างหนึ่งออกมาจากไรฟัน อย่างหนึ่งปราศจากการเห็นแก่ตัว อีกอย่างหนึ่งเต็มด้วยการเห็นแก่ตัว อย่างหนึ่งให้โทษมหันต์
    - เลิกคิดถึงความคิดวิเศษวิโสของเรา ความต้องการโน่นนี่ของเรา   เราจงมาคิดถึงความดีประการต่างๆของผู้อื่นบ้าง  แต่อย่าได้ใช้คำเยินยอ ในการชมเชยเป็นอันขาด  หากจงใช้ คำยกย่องสรรเสริญด้วยความจริงใจและสุจริต   คำพูดของท่านจะฝังอยู่ในความทรงจำและเป็นสมบัติ อันล้ำค่าแก่อีกฝ่ายหนึ่งนานเท่านานจนตลอดชีวิต จะดำรงอยู่ให้เขาระลึกถึงมันเสมอเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าท่านเองอาจจะลืมเสียสิ้นแล้ว

บทที่ 3 จงปลุกความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดความต้องการอย่างแรงกล้า

  - การชักจูงความประพฤติของมนุษย์ สิ่งแรก จงปลุกความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดความต้องการอย่างแรงกล้า ผู้ที่สามารถทำได้เช่นนี้  โลกทั้งโลกอยู่ข้างเขา ผู้ที่ทำไม่ได้ จะเดินไปตามหนทางอันอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
    - วันพรุ่งนี้ ท่านอาจจะต้องการให้ใครสักคนหนึ่งทำการบางอย่าง  ก่อนท่านจะกล่าวคำพูดออกมา ท่านจงหยุด ถามตนเอง  "ฉันจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำให้เขาต้องการทำตามที่ฉันชักจูง?" คำถามนี้จะช่วยให้เรายั้งคิดแทนการผลีผลามไปพูดกับใครๆ ถึงความต้องการของเรา โดยปราศจากผล
    - "ถ้ามีเคล็ดลับอย่างใดอย่างหนึ่งส่งเสริมให้ไปสู่ความสำเร็จ เคล็ดลับอันนั้นก็คือความสามารถเข้าใจในแง่คิดเห็น ของอีกฝ่ายหนึ่ง และความสามารถมองสิ่งต่างๆในมุมของเขาได้ดีเท่าๆกับมุมของท่านเอง"
 
 


ตอนที่ 2   วิธีปฏิบัติ 6 ประการ
เพื่อทำให้ผู้อื่นชอบท่าน
บทที่ 1 จงปฏิบัติตามนี้ แล้วจะมีผู้ต้อนรับท่านทุกหนทุกแห่ง

  - การผูกมิตรกับผู้อื่นจะสำเร็จเรียบร้อยภายในเวลา 2 เดือน ด้วยการเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อเขาผู้นั้น ซึ่งจะได้ผลยิ่งกว่าการผูกมิตรซึ่งใช้ เวลาถึง 2 ปี แต่ด้วยความพยายามให้เขาผู้นั้นเอาใจใส่ต่อเรา
    - บุคคลใดที่ละเว้นการเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ไม่เพียงแต่เขาจะดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากความราบรื่น หากเขาจะเป็นมนุษย์ที่มี อันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้อื่นด้วย   มนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ห่างไกลจากความก้าวหน้า และความรุ่งเรืองในประการทั้งปวง
    - ฉะนั้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น  ขอเน้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น  ถ้าท่านต้องการให้ผู้อื่นชอบท่าน

บทที่ 2 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ผู้อื่นติดเนื้อต้องใจเมื่อแรกพบ

  - ท่านไม่มีความรู้สึกที่จะยิ้มเลยหรือ? เมื่อเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?  มีอยู่ 2 ประการ  ประการแรกจงบังคับตัวท่านให้ยิ้ม
จนได้ ถ้าท่านอยู่ คนเดียว จงบังคับตัวของท่านให้ผิวปาก หรือทำเสียงหึ่มๆเป็นทำนองเพลง หรือร้องเพลง ท่านจงทำกิริยา
ท่าทางเหมือนหนึ่งท่านกำลังมีความสุข  และในที่สุด จะโน้มความรู้สึกของท่านให้มีความสุขจริงๆ
    - ความสุขมิได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายนอก แต่อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายในต่างหาก
    - ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ท่านมี หรือท่านอยู่ในฐานะใด หรือท่านอยู่ที่ไหน หรือท่านกำลังกระทำสิ่งใดที่ช่วยให้ท่านมีความสุข หรือปราศจาก ความสุข  มันอยู่ที่ท่านคิดถึงสิ่งเหล่านั้นต่างหาก  คนส่วนมากมีความสุขมากน้อยเพียงใด แล้วแต่จะทำใจให้รู้สึกเช่นนั้น
  - "ท่านจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวคิดถึงศัตรูของท่าน  จงพยายามตั้งใจให้แน่วแน่ มั่นคงในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะ
กระทำ  ครั้นแล้ว โดยปราศจากการลังเลหันเห ท่านจงมุ่งตรงไปสู่จุดหมายนั้น   จงทำใจของท่านให้จดจ่ออยู่เสมอว่า ความปรารถนาของท่านเพื่อกระทำสิ่งใดๆ จะประสบผลอันงามเลิศ  แล้วท่านจะพบว่าขณะวันและเวลาล่วงไป โอกาสจะเปิด ให้ท่านประสบความสำเร็จตามความปรารถนาโดยไม่รู้ตัว"
    - จงสร้างมโนภาพของท่าน ถึงบุคคลที่มีสมรรถภาพสูง เข้มแข็งเอาการเอางาน ซึ่งท่านประสงค์จะเป็นเช่นนั้นบ้าง และจากความนึกคิด ทุกๆชั่วโมงอันนี้เอง สามารถเปลี่ยนแปลงท่านให้เป็นบุคคลที่มีความเด่นเป็นพิเศษ..... ความคิด เป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด   จงดำรง รักษาจิตใจ แนวจิตไว้ให้อยู่ในท่าทีถูกต้องดีงาม ท่าทีแห่งความกล้าหาญบึกบึน แห่งความเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา และร่าเริงแจ่มใส  ความคิดอันถูกต้องดีงามจะนำไปสู่การสร้างสรรค์  ความสำเร็จสมดังปรารถนามาจากความตั้งใจจริง  เราจะเป็นอย่างไร แล้วแต่ใจเราคิด
    - มีภาษิตของจีนกล่าวไว้ว่า คนที่ใบหน้าไม่ยิ้ม อย่าเปิดร้านค้าขาย
        ฉะนั้น วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ผู้อื่นติดใจเมื่อแรกพบ ก็คือ "ยิ้ม"

บทที่ 3   ถ้าท่านไม่ทำตามนี้ ท่านจะบ่ายหน้าไปพบความยุ่งยาก

    - การให้เกียรติโดยการตั้งชื่อ
    - พยายามจดจำชื่อบุคคลที่เราพบปะให้ได้มากที่สุด
    - จงจำไว้ว่า ชื่อของบุคคลใดก็ตาม สำหรับบุคคลนั้น เป็น สำเนียงหวานที่สุด และสำคัญที่สุด ในภาษามนุษย์

บทที่ 4  หนทางง่ายๆ ที่จะเป็นนักสนทนาที่ดี

  - ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ  สนใจอย่างแท้จริง   ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะเป็นการแสดงความคารวะยิ่งไปกว่านี้
    - มีบุคคลอยู่เป็นอันมาก ประสบความล้มเหลวที่จะเป็นผู้ได้รับความนิยม เนื่องจากไม่ฟังผู้อื่นอย่างตั้งอกตั้งใจ
    - ความสามารถเป็นนักฟังที่ดีของมนุษย์เป็นสิ่งหายาก  เกือบจะยิ่งกว่านิสัยดีๆอื่นๆทั้งหลาย
    - จงตั้งคำถามในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งจะตอบด้วยความยินดี  สนับสนุนให้ผู้อื่นสนทนาถึงเรื่องของเขา และความสำเร็จของเขา
    - โปรดจำไว้เสมอว่า บุคคลที่ท่านสนทนาด้วย เป็นผู้สนใจตัวของเขาเอง ความต้องการของเขา และปัญหาของเขา ยิ่งกว่าจะสนใจในตัวท่าน และปัญหาของท่านตั้งร้อยเท่า
            จงเป็นนักฟังที่ดี จงสนับสนุนให้อีกฝ่ายหนึ่งคุยถึงเรื่องของเขา

บทที่ 5  วิธีทำให้ผู้อื่นสนใจ

    - ค้นหาความจริงว่าเขาสนใจในสิ่งใด และเขามีความสุขในการสนทนาถึงสิ่งใด
            สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งสนใจ

บทที่ 6  วิธีทำให้ผู้อื่นชอบท่านในทันที

    - จงทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ
    - จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ท่านต้องการจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน
    - คำพูดสั้นๆ เช่น "เสียใจมากที่ต้องรบกวน" ,  "โปรด",  "กรุณา",  "ขอบคุณ"    ความสุภาพอ่อนโยนเพียงเล็กน้อยจะช่วยปลอบใจ
อีกฝ่ายหนึ่งให้หายจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียจากงานประจำวัน
            จงทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ และ จงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
 
 


ตอนที่ 3  วิธีปฏิบัติ 12 ประการ เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน
บทที่ 1  ท่านไม่สามารถชนะการโต้แย้ง

    - มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะบันดาลให้การโต้แย้งเป็นสิ่งดีที่สุด  นั่นก็คือ หลบหลีกมันเสีย  จงหลบหลีกการโต้แย้ง เช่นเดียวกับท่านหลบหลีกงูพิษ
    - 9 ใน 10 ครั้งของการโต้แย้ง จะจบลงด้วยต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปกว่าเก่าว่า ตนเป็นฝ่ายถูกเต็มที่
    - "คนที่จำใจต้องเชื่อ ในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ  ความคิดเห็นของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง"
    - เบนจามิน แฟรงคลิน กล่าวไว้ว่า "ถ้าท่านโต้แย้ง พูดให้เจ็บใจ และ เถียง  ท่านอาจประสบชัยชนะในบางครั้ง แต่เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า ทั้งนี้ก็เพราะท่านไม่สามารถได้รับไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่ง"  ดังนั้นขอให้ท่านพิจารณาด้วยตนเองว่า ท่านต้องการชัยชนะในการโต้แย้ง หรือต้องการไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่ง?   น้อยนักที่จะได้รับทั้งสองอย่าง
    - "เป็นสิ่งสุดวิสัย ที่จะเอาชนะคนโง่เขลา เบาปัญญา ด้วยการโต้แย้ง"
    - พระพุทธเจ้าตรัส "เวร (ความเกลียด ความพยาบาท) ย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับด้วยความรัก"  และทำนองเดียวกัน ความไม่เข้าใจต่อกัน ย่อมจะไม่ระงับด้วยการโต้แย้ง แต่ด้วยความรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ความสุขุมรอบคอบ ความประนีประนอม และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นแง่คิดของอีกฝ่ายหนึ่งได้
    - ลินคอน กล่าว "บุคคลใดมีเจตนาที่จะได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อตัวเขาเอง  เขาจะไม่ใช้เวลาให้หมดไปโดยการโต้เถียงเป็น
อันขาด การโต้เถียงจะเป็นผลให้เกิดโทสะ และทำลายอำนาจบังคับตนเอง และจงยอมจำนนต่อการโต้เถียงในเรื่องใหญ่ ซึ่งผลที่ท่านจะได้รับ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอวดตนว่าท่านไม่แพ้ใคร  และจงยอมจำนนต่อการโต้เถียงในเรื่องเล็ก แม้ท่านมีสิทธิ์ที่จะกระทำอย่างเต็มที่ จงให้ทางแก่หมาแทนที่ท่านจะต่อสู้กับมัน เพื่อรักษาสิทธิ์ของท่านจนท่านถูกมันกัดเอา แม้ท่านจะฆ่าหมาตัวนั้นเสีย แต่ท่านก็ยังคงมีแผลถูกกัดอยู่นั่นเอง
    - ฉะนั้น กฎข้อที่ 1 มีดังนี้
                วิธีระงับการโต้แย้ง หรือโต้เถียง ที่ดีที่สุดก็คือ จงหลีกเลี่ยงเสีย

บทที่ 2  หนทางอันแน่นอนที่จะสร้างศัตรู และวิธีหลีกเลี่ยง

    - ท่านจะกล่าวหาผู้อื่นว่าทำผิด ด้วยสายตา ด้วยสำเนียง หรือด้วยอากัปกิริยาใดก็ตาม ย่อมมีความหมายทำนองเดียวกับ ท่านลั่นวาจาออกไป
    - การกล่าวหาของท่านเปรียบเสมือนท่านชกกร้วมเข้าที่สติปัญญาของเขา ดุลยพินิจของเขา ความภาคภูมิใจของเขา และความเคารพตนเองของเขา  ผลก็คือ จะทำให้เขาผู้นั้นต้องการจะตอบโต้บ้าง
    - อย่าเริ่มคำพูดด้วยประโยค "ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้" เป็นวาจาที่ไม่สมควรเลย เป็นวาจาที่ส่อ ความหมายว่า  "ผมวิเศษกว่าคุณ"
    - ถ้าท่านต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม จงอย่าให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวเป็นอันขาด จงกระทำอย่าง
มีชั้นเชิง อย่างมีไหวพริบ โดยไม่มีใครรู้สึกว่าท่านได้กระทำลงไป  "มนุษย์จะต้องสอนเหมือนกับท่านมิได้สอน และ สิ่งใดที่เขา
ไม่รู้ จงเสนอแก่เขา เหมือนหนึ่งเขาลืมไป"
  - Lord Chesterfield  รัฐบุรุษ-นักปราชญ์อังกฤษ ค.ศ.1694-1737 สอนลูกชายว่า "เจ้าจงเป็นผู้ฉลาดกว่าผู้อื่น  ถ้าเจ้า สามารถเป็นเช่นนั้นได้ แตอย่าได้บอกให้เขารู้ว่าเจ้าฉลาดกว่าเขา"
  - คำพูดเช่น "ผมอาจจะผิดไปก็ได้"  "ผมมักจะผิดเสมอ"  "เรามาพิจารณาข้อเท็จจริงกันดีกว่า" เป็นคำพูดซึ่งมีอำนาจวิเศษอย่างแท้จริงใน อันที่จะทำความพอใจให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
    - ด้วยการยอมรับว่าท่านอาจจะเป็นผู้ผิด ท่านจะไม่มีเรื่องกับใครเป็นอันขาด เพราะการพูดเช่นนี้จะยุติการถกเถียงลงอย่าง
สิ้นเชิง  และ "จูงใจให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความยุติธรรม และใจกว้างเหมือนท่าน"
    - จากหนังสือ "การสร้างจิตใจ" ของ ศ.เยมส์ อาร์วีย์ รอบินซัน :-
        "ในบางครั้งเราจะพบว่า เราเปลี่ยนใจของเราอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีเรื่องขัดใจ หรือเกิดความสะเทือนใจอันรุนแรง
ใดๆ  แต่ถ้ามีใคร มาบอกว่าเราผิด เราจะรู้สึกฉิวในคำกล่าวหานั้น และใจของเราจะเกิดอาการกระด้างกระเดื่องขึ้นมา  เราต่างเป็นคนที่ไม่สู้จะเอาใจใส่เลยว่า ความเชื่อถือของเราอยู่ในลักษณะใดบ้าง แต่ถ้าหากมีใครมาข่มเหงน้ำใจเรา เราจะเกิดความเชื่อในสิ่งที่เราเชื่ออย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ไม่ใช่ ความคิดของเราหรอกที่เราหวงแหนนัก แต่เราหวงแหน ความนับถือตนเองโดยจะไม่ยอมให้ถูกข่มขู่ต่างหาก"
    - เมื่อเราทำผิด เราอาจจะยอมรับผิดกับตัวของเราเอง  ถ้าผู้อื่นรู้จักปฏิบัติต่อเราด้วยวิธีอันละมุนละไม และถูกกาละเทศะ เราอาจจะยอมรับผิด กับผู้นั้นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาโดยปราศจากความสะทกสะท้าน  แต่เราจะไม่ยอมรับผิดเป็นอันขาด ถ้ามีใครมาบังคับขู่เข็ญให้เราพูด ความจริง
    - ละเว้นการคิดค้านโต้แย้งให้ผู้อื่นได้รับความสะเทือนใจ หรือกล่าวยืนยันอย่างหนึ่งอย่างใดว่าข้าพเจ้าถูก และข้าพเจ้า จะไม่ยอมใช้คำพูด ใดๆ ที่บ่งไปโดยชัดแจ้งว่าข้าพเจ้ามีความคิดเห็นอย่างแน่นแฟ้นมั่นคง เป็นต้นว่า "แน่ทีเดียว" ,  "ไม่มีอะไรที่ควรสงสัย"  ฯลฯ  ข้าพเจ้าใช้คำพูด แทนว่า "ฉันนึกว่า" ,  "ฉันเข้าใจว่า"  หรือ "ฉันคิดว่า" จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
หรือ "เท่าที่ปรากฎเวลนี้ดูเหมือน"    เบนจามิน แฟรงคลิน นัก การทูตชั้นยอดของสหรัฐฯ  กล่าวไว้ว่า"เมื่ออีกฝ่ายหนึ่ง ยืนยันบางประการ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเขาผิด  ข้าพเจ้าไม่ยอมถือเป็นของสนุกที่จะขัดคอเขาทันที หรือแสดง กิริยาอย่างหนึ่งอย่างใดไปในทางเยาะเย้ยความเข้าใจของเขา"
    - การถ่อมตนในการแสดงความคิดเห็น ช่วยให้คู่สนทนายอมรับความคิดเห็นของเราง่ายยิ่งขึ้น และมีการโต้เถียงน้อยลง ถ้าเราผิดก็จะไม่ รู้สึกอับอายขายหน้ามากมาย   เมื่อเราถูก เราจะสามารถจูงใจอีกฝ่ายหนึ่งให้ยอมแพ้อย่างง่ายดาย และมีความคิดเห็นคล้อยตามเรา
    - พระเยซูพูด "จงคล้อยตามปรปักษ์ของท่านโดยเร็ว" หรืออีกนัยหนึ่งคือ อย่าโต้แย้งลูกค้าของท่าน ภรรยาของท่าน หรือปรปักษ์ของท่านอย่าบอกว่าเขาผิด อย่ายั่วให้เขาเกิดโทสะ แต่จงใช้ชั้นเชิงบ้างสักเล็กน้อย
    - จงมี "ชั้นเชิง" อย่าช่วยให้เราได้ชัยชนะ
        ดังนั้น ถ้าท่านต้องการจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามแนวความคิดของท่าน  กฎข้อที่ 2 มีดังนี้
      "จงเคารพความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่าบอกผู้ใดว่าเขาผิดเป็นอันขาด"

บทที่ 3  ถ้าท่านผิด จงสารภาพ

    - ถ้าเรารู้ตัวว่าเราทำผิด จะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะกล่าวถึงความผิดของเราก่อนอีกฝ่ายหนึ่งจะแย้มปาก?  "การตำหนิติเตียน
ตนเอง ย่อมจะน่าฟังกว่าให้คนแปลกหน้า หรือคนอื่นมาตำหนิติเตียนเรา"
    - ท่านจงปรักปรำลงโทษตัวของท่านในประการต่างๆ ถ้าหากท่านรู้ตัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิด หรือต้องการจะพูด หรือตั้งใจจะพูด
อย่างไร และ ท่านจงพูดก่อนอีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสแย้มปาก ซึ่งเป็นการลดความโมโหโทโสของเขาให้สงบลงได้ จากการกระทำ
เช่นนี้ ท่านมีโอกาสอัน งดงามที่จะจูงใจให้เขาเป็นคนใจกว้าง เปลี่ยนท่าทีโอนอ่อนไปในทางให้อภัย  และจะเห็นความผิด ของท่านเป็นสิ่งเล็กน้อย
    - คนโง่มักจะแก้ตัวเมื่อได้กระทำผิด และคนโง่ส่วนมากปฏิบัติเช่นนี้   แต่ด้วยการสารภาพผิดอย่างน่าชื่นตาบาน ไม่เพียงจะทำให้คนเรา กลายเป็นผู้อยู่เหนือกว่าฝูงสัตว์ หากจะทำให้มีใจสูงขึ้นด้วย
    - เมื่อเราเป็นฝ่ายถูก เราจงชักจูงอีกฝ่ายหนึ่งให้มาสู่แนวทางแห่งความคิดของเราอย่างสุภาพและนิ่มนวล   และเมื่อเราเป็นฝ่ายผิด ถ้าเรามีใจ เที่ยงตรง เราจะพบความจริงว่าเราเป็นฝ่ายผิดบ่อยๆ เราจงยอมรับผิดโดยเร็ว และด้วยความร้อนกระวนกระวาย  วิธีรับผิดนี้ไม่เพียงแต่จะนำ ผลอันน่าพิศวงมาให้เท่านั้น หากท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยการใช้วิธีเดียวกันนี้ จะทำให้เราเกิดอารมณ์สนุกยิ่งกว่าพยายามแก้ตัว
    - สุภาษิตเก่า "ด้วยการต่อสู้ ท่านจะมิได้รับผลเป็นที่พอใจ  แต่ด้วยการยอมจำนน ท่านจะได้รับมากกว่าที่ท่านหวัง
ดังนั้นกฎข้อที่ 3 :-
            ถ้าท่านผิด จงรับผิดโดยอย่าได้รอช้า และ รับด้วยเสียงหนักแน่น

บทที่ 4  หนทางอันเลิศที่จะเข้าถึงเหตุผลของผู้อื่น

    - "ถ้าหากท่านถูกยั่วให้เกิดโทสะ และท่านพูดใส่หน้าอย่างไม่อั้นต่อผู้ยั่วโทสะท่านสักประโยคสองประโยค ท่านจะสบายใจที่ได้ระบาย ความเดือดดาลของท่าน  แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเล่า?  เขามีส่วนร่วมสบายใจเหมือนท่านหรือเปล่า   การเอะอะโผงผางของท่าน กิริยาท่าทีตั้งท่าเป็น ศัตรูของท่าน ท่านคิดว่าเป็นของง่ายที่จะชักนำให้เขามีความเห็นสอดคล้องกับท่านกระนั้นหรือ?"
    - วูดโรว์ วิลสัน กล่าว "ถ้าท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยการกำหมัด ข้าพเจ้าขอรับรองว่า หมัดของข้าพเจ้าจะกำแน่นยิ่งไปกว่า
ของท่าน แต่ถ้าท่าน มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า "เรามานั่งลงปรึกษาหารือกันดีกว่า และถ้าหากว่าความคิดเห็นของเราขัดแย้งกัน เรามาทำความเข้าใจกันว่าเหตุใดเรา จึงมีความเห็นไม่ตรงกัน และอะไรเป็นแง่ในปัญหานั้น"  เราจะพบความจริงว่าเรา กลายเป็นกันเอง และความเห็นขัดแย้งกันในแง่ต่างๆ จะมี อยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อย ในเมื่อแง่ที่มีความเห็นสอดคล้องกันมีอยู่มาก และถ้าเราเป็นคนรู้จักมีน้ำอดน้ำทน พูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และ มีเจตนาที่จะสมัครสมานซึ่งกันและกัน เราจะผ่อนสั้น ผ่อนยาวเข้าหากัน"
    - ถ้าบุคคลใดมีใจปวดร้าวอยู่ด้วยความขุ่นแค้นและโกรธเคืองท่าน  ท่านจะไม่สามารถจูงใจเขาให้คล้อยตามแนวความคิด ของท่านเป็นอันขาด แม้จะใช้หลักตรรกวิทยาที่มีอยู่ทั้งหมดในโลก   พ่อแม่ที่ชอบดุด่า และนายหรือสามีที่ชอบใช้อำนาจ หรือภรรยาที่ชอบจู้จี้ ควรจะรู้ความจริงว่า จากการปฏิบัติดังกล่าว จะไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความต้องการที่จะเปลี่ยนใจ    ท่านและข้าพเจ้าสามารถบังคับบีบคั้นให้บุคคลใดมีความคิดเห็นสอดคล้องกับเราได้ ถ้าเราใช้วิธีสุภาพอ่อนโยนอย่างกันเอง เราจะสามารถ จูงใจเขาเหล่านั้นให้คล้อยตามแนวความคิดของเราได้
    - ลินคอล์น กล่าว "น้ำผึ้งเพียงหยดเดียว จับแมลงวันได้มากกว่าน้ำบอระเพ็ด 1 แกลลอน"  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านต้องการจูงใจผู้อื่นให้เห็น ดีเห็นชอบในวัตถุประสงค์ของท่าน  สิ่งแรกที่สุดที่ท่านจะต้องปฏิบัติก็คือ ทำให้เขาเชื่อถือว่าท่านเป็นมิตรสุจริตของเขา ด้วยเหตุนี้เองถ้าท่านจะใช้น้ำผึ้งสักหยดหนึ่งเหยาะลงในหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่ง
ให้ชื่นฉ่ำ ซึ่งท่านจะพูดอะไรแก่เขาก็ตาม จะเป็นทางอันล้ำเลิศที่จะดึง เหตุผลของเขาให้หันมาสอดคล้องกับของท่าน
    - ติดต่อฉันมิตร เห็นอกเห็นใจ และ ขอร้องในอาการยกย่อง
    - ความสุภาพอ่อนโยน และไมตรีจิต จะต้องมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด และการใช้กำลังบังคับเสมอ
        สรุป เมื่อท่านต้องการจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน   กฎข้อที่ 4 :-
                จงเริ่มต้นด้วยมิตรไมตรี

บทที่ 5  เคล็ดลับของโซเครตีส

    - ในการสนทนากับผู้อื่น อย่าได้เริ่มต้นพูดในเรื่องที่ท่านไม่เห็นพ้องด้วย  แต่จงเริ่มต้นด้วยการเน้นคำพูดให้หนักแน่น และเน้นคำพูดนี้ อยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่ท่านเห็นพ้องด้วย
    - จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพูด "ใช่" , "ใช่แล้ว",  "ครับ" ,  "ถูก"  ,  "ถูกแล้ว"  เมื่อเริ่มต้นการสนทนา    ถ้าสามารถทำได้ จงอย่าให้อีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวคำปฏิเสธ  "ไม่ใช่"  ,  "เปล่า"  เป็นอันขาด
    - ยิ่งเราสามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวคำพูดรับคำได้มากเท่าใดในการเปิดฉากการสนทนา  ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ จะชักจูงให้อีก ฝ่ายหนึ่งยอมตกลงใจตามจุดประสงค์ของเรามากยิ่งขึ้นเท่านั้น
    - ในการเปิดฉากสนทนา พวกเรามักจะคิดถึงแต่ความยิ่งใหญ่ของตนเอง  ผลก็คือ ทำให้เกิดตั้งข้อเข้าหากันตั้งแต่แรกเริ่ม
    - โซเครตีสจะตั้งคำถามชนิดที่แม้ศัตรูของเขาก็ต้องรับคำ  คำถามของเขาจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งตอบว่า "ใช่"  จนกระทั่งเขา ได้รับคำรับรองอย่าง เหลือเฟือ  ครั้นแล้วในที่สุด เขาจะตั้งคำถามประโยคสำคัญ ซึ่งปรปักษ์ของเขาแทบไม่รู้สึกตัว ได้กล่าวรับรองทั้งๆก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตั้งใจที่ จะยืนกรานปฏิเสธ
    - สุภาษิตเก่าๆของจีน "ผู้ก้าวอย่างละมุนละไม จะเดินได้ไกล"
       สรุปกฎข้อที่ 5  จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง ตอบรับคำว่า "ครับ", "ใช่",  "ถูก"ฯลฯ ในทันทีเมื่อเริ่มสนทนา

บทที่ 6  วิธีกำจัดความไม่สมหวัง

    - ในบางครั้ง การปล่อยให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายพูด จะนำประโยชน์อย่างล้ำค่ามาให้
    - ผู้ประสบความสำเร็จเกือบทุกคน ชอบระลึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนในอดีต (ใช้ในเทคนิคการพูด สนทนากับผู้ที่มีความสำเร็จในชีวิต)
    - มีความจริงอยู่ว่า มิตรสหายทั้งหลายของเราพอใจที่จะคุยกับเราถึงเรื่องความสำเร็จต่างๆของเขา ยิ่งกว่าที่จะฟังเราโม้ถึงเรื่องของเรา
    - "ถ้าท่านต้องการศัตรู จงเป็นคนเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าเพื่อนของท่าน  แต่ถ้าท่านต้องการมิตร  จงให้เพื่อนของท่าน เก่งกล้าสามารถ เหนือไปกว่าท่าน" เพราะว่าเมื่อเพื่อนของเราเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าเรา เขาจะเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ   แต่ถ้าเราเก่งกล้าสามารถเหนือ กว่าเขา เขาจะเกิดความรู้สึกต่ำต้อย และก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา
    - ชาวเยอรมันมีสุภาษิตอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ความปิติยินดีอย่างแท้จริงก็คือ ความปิติยินดีซึ่งเราได้รับจากเคราะห์กรรมของผู้อื่น"  แน่นอน เพื่อนบางคนของท่านอาจจะรู้สึกพอใจในเคราะห์กรรมของท่าน ยิ่งไปกว่าชัยชนะของท่านก็ได้
    - เพราะฉะนั้น เราจง "อย่าฟุ้งซ่าน โอ้อวดในความสำเร็จของเรา"  แต่เรา "จงถ่อมตน"  เอาไว้ถึงจะได้รับความนิยม ชมชอบอย่างแท้จริงจากผู้อื่น
    - เราควรถ่อมตัวของเรา ทั้งนี้ก็เพราะเมื่อสรุปแล้วท่านและข้าพเจ้าก็ไม่วิเศษวิโสกว่ากัน จากนี้ไปอีกหนึ่งศตวรรษ ท่านและ ข้าพเจ้าต่างจะ ไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และจะไม่มีใครรู้จัก ชีวิตเป็นของสั้นจนเกินไป เพราะฉะนั้น  อย่าปล่อยให้ชีวิตอันสั้น ของเราสร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น ด้วยการคุยโอ้อวดถึงความสำเร็จขี้ปะติ๋วของเรา  เราจงส่งเสริมให้ผู้อื่นคุยเสียบ้างเถิด    โปรดคิดดูให้ดี ท่านมิได้มีอะไรวิเศษมากมายที่จะคุย อวดโดยไม่รู้จักจบรู้จักสิน้นเสียที  ดังนั้น กฎข้อที่ 6
                จงปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้พูดเป็นส่วนมาก

บทที่ 7  วิธีที่จะได้รับความร่วมมือ

    - ท่านรู้สึกเลื่อมใสในความคิดที่ท่านค้นพบด้วยตนเองยิ่งไปกว่าความคิดซึ่งผู้อื่นค้นพบ และใส่จานเงินยื่นส่งให้ท่านหรือเปล่า?  ถ้าเช่นนั้นจริง เป็นของแน่เหลือเกินที่ท่านจะต้องพยายามผลักดันความคิดของท่านให้คนอื่นรับไว้ ใช่ไหม?   มันจะไม่เป็นการ
ฉลาดกว่าหรือ?  ถ้าเพียงแต่หารือความคิดของท่านกับอีกฝ่ายหนึ่ง และให้อีกฝ่ายหนึ่งใคร่ครวญดูเพื่อการตัดสินใจของเขาเอง
    - "การปรึกษาหารือ" กับเขาถึงความปรารถนาของเขา จึงเป็นสิ่งที่ถูกใจเขาที่สุด
    - การปรึกษาหารือกับผู้อื่น และเคารพต่อคำแนะนำนั้น จะได้รับผลอันงดงาม
    - เมื่อ 25 ศตวรรษมาแล้ว เล่าจื๊อ นักปราชญ์จีนได้กล่าววาทะบางอย่างซึ่งควรจะนำมาปฏิบัติในปัจจุบัน : "เหตุที่แม่น้ำลำคลอง และทะเลทั้งหลายสามารถจะต้อนรับสายน้ำหลายร้อยสายจากภูเขาได้เนื่องจากแม่น้ำลำคลองและทะเลเหล่านั้นอยู่ต่ำกว่าสายน้ำ
จากภูเขา เพราะฉะนั้น แม่น้ำลำคลองและทะเลจึงเก่งเหนือไปกว่าสายน้ำจากภูเขา โดยที่สามารถรับกระแสน้ำทั้งหมดไว้ได้ ผู้ที่เฉลียวฉลาด ถ้าปรารถนาจะอยู่เหนือ ผู้อื่น ต้องถ่อมตนให้อยู่ต่ำกว่าผู้อื่น  ถ้าปรารถนาจะอยู่หน้าผู้อื่น จะต้องถ่อมตนให้
อยู่หลังผู้อื่น แต่เขาจะไม่หยิ่งผยอง  และถือว่าตนเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาจะมีบุญวาสนานำหน้าผู้อื่น เขาจะไม่อวดเด่นให้
บาดใจผู้อื่น
    ฉะนั้น กฎข้อที่ 7  จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าความคิดเป็นของเขา

บทที่ 8  สูตรซึ่งจะบันดาลผลมหัศจรรย์แก่ท่าน

    - อย่าลืมว่าบุคคลใดก็ตาม อาจจะทำผิดอย่างไม่มีทางแก้ตัว แต่บุคคลนั้นจะคิดว่าเขาไม่ผิดเลย  ท่านจงอย่าปรักปรำลงโทษเขาผู้นั้น เพราะการ กระทำเช่นนั้น คนโง่ทุกคนย่อมทำได้  ท่านจงพยายามเข้าใจเขาให้ถี่ถ้วน
ถ่องแท้ เพราะการพยายามเข้าใจการกระทำของผู้ผิด  คนฉลาด คนมี น้ำอดน้ำทน และคนที่มีคุณสมบัติเป็นพิเศษเท่านั้น จึงจะสามารถปฏิบัติได้
    - จงพยายามอย่างสุจริตใจที่จะสมมุติตัวท่านเป็นตัวของเขา
    - ถ้าหากท่านจะบอกตนเองว่า "ถ้าฉันอยู่ในฐานะเดียวกับเขา ฉันจะรู้สึกอย่างไร และจะปฏิบัติอย่างใร?"  ท่านจะไม่เสียเวลาและเกิดโมโห ในการที่จะต้องไปเอาใจใส่แก่สาเหตุต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดผลอันไม่พึงพอใจ    และท่านจะสามารถเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ มากยิ่งขึ้น
    - พรุ่งนี้ ก่อนท่านจะบอกใครสักคนว่าเขาทำในสิ่งที่ผิดๆ ไม่ดีกว่าหรือถ้าท่านจะนั่งหลับตา และพยายามคำนึงถึงแง่คิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง เสียก่อน   ท่านจงตั้งคำถามแก่ตนเองว่า "ทำไม? เขาจึงต้องการทำเช่นนั้น"  จริงอยู่การปฏิบัตินี้อาจเปลืองเวลาบ้าง  แต่จะเป็นการผูกมิตรและ นำผลอันงดงามกว่ากันมาให้  และเป็นการหลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง และทะเลาะเบาะแว้งกัน
    - เพราะฉะนั้น ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนใจผู้อื่น โดยไม่ให้เกิดความรู้สึกบาดหมาง หรือก่อให้เกิดความขุ่นเคือง
                กฎข้อที่ 8 มีดังนี้ จงพยายามอย่างสุจริตใจที่จะมองสิ่งต่างๆ ในแง่คิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง

บทที่ 9  สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ

     - คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถหยุดการโต้เถียง ทำลายความรู้สึกโกรธเคือง สร้างมิตรไมตรี และทำให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ  "ผมมิได้ โทษคุณเลยแม้แต่น้อยที่คุณรู้สึกเช่นนี้  ถ้าผมเป็นคุณ แน่นอนเหลือเกิน ผมจะต้องรู้สึกเหมือนอย่างคุณ เช่นเดียวกัน"    คำพูดเช่นนี้แม้แต่คนพาลเกเรอย่างร้ายกาจที่สุดก็จะเยือกเย็นลง
    - ท่านอยู่ในฐานะใดก็ตาม ควรถือว่า มิได้เป็นเกียรติอันใหญ่โตเลย   และจำไว้ว่า คนที่ท่านติดต่อด้วย แม้จะเป็นคนขี้หงุดหงิด ฉุนเฉียว พูด ดันทุรัง และปราศจากเหตุผล เขามิได้เป็นต่ำช้าสารเลวมากมายนักที่ต้องอยู่ในฐานะนั้น จงรู้สึกสลดใจต่อ มนุษย์ที่น่าสมเพชคนนั้น  จง สงสารเขา เห็นใจเขา
    - "3 ใน 4 ของบุคคลที่ท่านพบปะ ล้วนแต่หิวกระหายที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ  จงให้มันแก่เขา แล้วเขาจะรักท่าน"
    - ความเห็นอกเห็นใจ เป็นยาวิเศษที่จะบำบัดความเศร้าใจ
                ฉะนั้น กฎข้อที่ 9  จงเห็นอกเห็นใจต่อความรู้สึกนึกคิด และความปรารถนาของอีกฝ่ายหนึ่ง

บทที่ 10  มนุษย์ทุกคนชอบการขอร้อง

     - เพื่อให้บุคคลใดก็ตามเปลี่ยนใจของเขา จงขอร้องให้เขาเกิดความรู้สึกว่า  การปฏิบัตินั้นๆเป็นเจตนาดีงาม ยิ่งกว่าการปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง
    - เมื่อเราไม่ต้องการให้ใครทำอะไรอย่างหนึ่ง  จงขอร้องเขาด้วยการอ้างถึงเจตนาที่ดีงามกว่ากัน  อ้างถึงสิ่งที่เป็นสิ่ง ที่รักและเคารพ
    - "ถ้ามีใครคิดที่จะโกงท่าน" จงพูดให้เขาเกิดความรู้สึกว่า ท่านนับถือเขาในฐานะเขาเป็นคนสุจริต ซื่อตรง และยุติธรรม
                ฉะนั้น กฎข้อที่ 10   จงขอร้องด้วยการพูดให้รู้สึกว่า เป็นเจตนาอันดีงามกว่ากัน

บทที่ 11  ภาพยนตร์ปฏิบัติเช่นนี้ วิทยุปฏิบัติเช่นนี้ ทำไมท่านจึงไม่ปฏิบัติตามบ้าง?

     - เวลาที่ต้องการเสนออะไรบางอย่าง เพียงแต่กล่าวความจริงอย่างเดียวยังไม่พอ   การกล่าวความจริงต้องประกอบด้วย พูดให้ซาบซึ้ง เขย่า ความสนใจ และเกิดความรู้สึกเร้าใจ ทั้งนี้ต้องอาศัยศิลปะแห่งการเชิญชวนอยู่มาก  ภาพยนตร์ วิทยุ ปฏิบัติ
เช่นนี้  ถ้าต้องการให้มีผู้เอาใจใส่ ข้อเสนอของท่าน ท่านก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้
            ฉะนั้น กฎข้อที่ 11    จงแสดงความคิดเห็นของท่านให้เป็นที่เร้าใจ

บทที่ 12 เมื่อทำอย่างไรๆ ก็ไม่ได้ผล  ลองใช้วิธีนี้ดูบ้าง

    - วิธีที่จะผลิตงานได้มากๆ ก็คือ การ "กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกัน"  แต่ไม่ได้หมายถึงการแข่งขันอันโสมมและต้องทุ่มเทเงินทอง แต่หมายถึงกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะเป็นคนเก่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
    - ความปรารถนาที่จะเก่งกว่า!  การแข่งขัน!  เป็นวิธีเดียวที่จะบันดาลผลอันแน่นอนในการหนุนให้มนุษย์เกิดความมานะ
    - "การให้เงินเดือนอย่างเดียว ไม่สามารถจะได้คนดีไว้ใช้  ต้องให้มีการแข่งขัน"
    - นั่นคือ สิ่งที่ผู้ได้รับความสำเร็จทุกคนชอบ : การแข่งขัน   การแข่งขันเป็นการเปิดโอกาสให้เขาแสดงความสามารถของเขา เปิดโอกาสให้ เขาพิสูจน์คุณค่าตัวของเขา เพื่อไปสู่จุดหมายแห่งการเป็นคนเก่ง และชัยชนะ
        ถ้าท่านต้องการจูงใจบุคคลอื่น บุคคลที่องอาจห้าวหาญ บุคคลที่มีสมรรถภาพ ให้คล้อยตามแนวความคิดของท่าน
กฎข้อที่ 12 มีว่า
           จงพูดท้าทาย
 
 


ตอนที่ 4  วิธีปฏิบัติ 9 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น โดยไม่ให้มีความรู้สึกบาดหมางขุ่นเคือง
บทที่ 1 ถ้าท่านต้องการคอยจับผิด นั่นคือวิธีที่จะปิดฉาก

    - การที่บุคคลใดก็ตาม ได้ยินในสิ่งที่ไม่รื่นหู หลังจากได้ฟังคำชมเชยในสิ่งที่ดีก่อน จะช่วยให้บุคคลนั้นสามารถฟังได้ โดยไม่เกิดความรู้สึก ขุ่นเคืองแต่อย่างใด
     จงเริ่มสนทนาด้วยคำพูดยกย่องสรรเสริญอย่างสุจริจใจ

บทที่ 2  วิธีวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ทำให้ผู้ใดเกลียด

    - ตอนเที่ยงวันหนึ่ง ชารลส์ ชะวอบ เดินผ่านโรงถลุงเหล็กโรงหนึ่งของเขา เขาได้มองเห็นคนงานกลุ่มหนึ่งกำลังสูบบุหรี่กัน เหนือหัวของ คนงานเหล่านั้นมีป้ายแขวนไว้ว่า "ห้ามสูบบุหรี่"  ท่านคิดว่าชะวอบชี้ที่ป้ายนั้นและพูด "อ่านหนังสือเป็นไหม?" หรือเปล่า?  มิได้ ชะวอบมิได้ เป็นคนเช่นนั้น เขาเดินไปหาคนเหล่านั้น ควักซิการ์ส่งให้คนละมวน และพูด "จะดีไม่น้อย ถ้าพวกคุณพากันไปสูบซิการ์นี้กันข้างนอก" คนงานเหล่านี้ตระหนักดีว่าชะวอบรู้ว่าเขาได้พากันฝ่าฝืนกฎ เขาต่างพากันนึกชมเชยชะวอบไปตามๆกัน  ชะวอบมิได้พูดถึงความผิดนี้เลย มิหนำซ้ำกลับกำนัลซิการ์แก่เขา   "ทั้งนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ ถ้าท่านมีนายอย่างนี้ ท่านจะอดรักเขาได้ไหม?"
            จงอย่าเตือนผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาผิด

บทที่ 3  จงพูดถึงความผิดของท่านก่อน

    - ท่านจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองอย่างใดเลยในการที่จะฟังใครคนหนึ่งตำหนิติเตียนท่าน  ในเมื่อเขาผู้นั้นเริ่มพูดด้วยการยอมรับ อย่างอ่อนโยนว่า เขา, ในทำนองเดียวกัน, ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปจากการกระทำผิดอย่างไม่มีที่ติเสียได้
            ท่านจงพูดถึงความผิดของท่านก่อน แล้วจึงตำหนิติเตียนผู้อื่น

บทที่ 4  ไม่มีใครชอบรับคำสั่ง

    - ควรให้โอกาสผู้ร่วมงานพินิจพิจารณางานด้วยตนเอง ให้ทำการศึกษาจากความผิดนานาประการเอาเอง
    - เทคนี้ช่วยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้รับความสะดวกในการแก้ไขความผิดพลาดของตน เทคนิคนี้เป็นการให้เกียรติ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ   ผลก็คือ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะทำด้วยความปรารถนาร่วมมือ แทนที่จะเอาใจออกห่าง
            จงขอความเห็น แทนการออกคำสั่งโดยตรง

บทที่ 5  จงกู้หน้าอีกฝ่ายหนึ่ง

    - กู้หน้าของเขาไว้ ! มันเป็นสิ่งสำคัญ และสำคัญอย่างใหญ่หลวงทีเดียว !   พวกเราน้อยคนนักที่จะหยุดคิดถึงสิ่งนี้ !   "เรามักจะขี่ม้า สวมเกือกมีตะปูแหลมคม ย่ำลงไปที่ความรู้สึกของผู้อื่น" ด้วยการถือเอาแต่ใจของเราฝ่ายเดียว เช่น คอยจับผิด ขู่ตะคอก ดุว่าเด็ก หรือเสมียน  พนักงานต่อหน้าผู้อื่นโดยปราศจากความยั้งคิดว่าเป็นการทำให้ปวดร้าวชอกช้ำ แก่เกียรติของเขาอย่างไรบ้าง !   ในเมื่อเพียงแต่สงบจิตสงบใจ ใช้ความคิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง ใช้วาจาที่ประหยัดถ้อยคำเพียง
ไม่กี่คำ มีความเห็นใจในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง จะไม่ก่อให้เกิดความปวดร้าว ขุ่นเคืองแต่อย่างใดเลย
    - แม้แต่บุคคลใหญ่โตที่โลกรู้จักดี ยังไม่ยอมเสียเวลาที่จะกำแหงในชัยชนะของเขา จนไม่กู้หน้าผู้แพ้
            จงกู้หน้าอีกฝ่ายหนึ่ง

บทที่ 6  วิธีกระตุ้นให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสำเร็จ

    - ใช้การชมเชยแทนการด่าว่า   "เราจะชมเชย แม้แต่ในสิ่งที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย"   ในการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยเป็นกำลังดันให้อีกฝ่ายหนึ่ง ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นเป็นลำดับ
    - เมื่อพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ถ้าท่านและข้าพเจ้าสนับสนุนกำลังใจบุคคลที่สัมพันธ์กับเรา  ด้วยการให้เขาสำนึกในคุณค่าแห่ง ความสามารถซึ่งซ่อนอยู่ในกายของเขา เราไม่เพียงแต่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาเท่านั้น หากเราจะเปลี่ยนรูปชีวิตของเขาทีเดียว
    - ถ้าลองเปรียบเทียบดูว่า เราควรจะอยู่ในฐานะใด เราเพียงแต่เป็นคนครึ่งหลับครึ่งตื่นดีๆนี่เองเราได้ใช้ประโยชน์ ขุมทรัพย์แห่งร่างกาย และจิตใจของเราแต่ส่วนน้อยเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหมายความว่า  มนุษย์เราต่างดำรงชีวิต อยู่ห่างไกลจากจุดหมายที่เราควรจะ ก้าวไปถึง  มนุษย์เราต่างมีพลังอยู่นานาชนิด  พลังซึ่งเขามักจะล้มเหลวอยู่เสมอ ในอันที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์
      จงยกย่องสรรเสริญผู้อื่น แม้เขาได้ทำสิ่งใดๆดีขึ้นเพียงเล็กน้อยและยกย่องทุกครั้งที่เขาทำ สิ่งใดๆได้ดียิ่งขึ้น  จง "เห็นพ้องด้วยน้ำใส ใจจริง และยกย่องชมเชยอย่างเต็มที่"

บทที่ 7  จงตั้งชื่อหมาให้เพราะ

    - มนุษย์เราตามปกติธรรมดา จะจูงใจได้ง่ายดาย ถ้าเขานับถือท่าน  และท่านแสดงความเลื่อมใสต่อความ ปรารถนาบางประการของเขา
    - ถ้าท่านต้องการให้บุคคลใด กระทำบางอย่างดีขึ้นกว่าเก่า จงแสร้งทำเหมือนหนึ่งว่า เขามีคุณสมบัตินั้นอยู่แล้ว
    - ถ้าท่านต้องการให้ใครก็ตามเป็นคนดีขึ้น จงอุปโหลกให้เขาเป็นคนดี ซึ่งเขาจะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพูด ของท่าน ยิ่งกว่าจะทำให้ท่านได้พบเห็นความไม่ดีของเขา
    - ถ้าท่านต้องการจะติดต่อกับคนขี้ฉ้อคดโกง มีทางเหมาะสมอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงให้เขาทำตนเป็นคนดี
คือ ปฏิบัติต่อเขา ประหนึ่งเขาเป็นสุภาพชนผู้มีเกียรติ  จงทึกทักเอาว่า เขาเป็นคนอยู่ในระดับปกติธรรมดาเหมือนมนุษย์อื่น
ทั้งหลาย   การปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ซึ่งเขาจะแสดงกิริยาตอบโดยทำตนให้เป็นไปตามที่เขาได้รับการยกย่อง และเขาจะรู้สึกภูมิใจที่มีผู้ไว้วางใจเขา
      จงอุปโหลกผู้อื่นในสิ่งดีงาม เพื่อเขาจะได้เป็นไปตามนั้น

บทที่ 8  จงทำให้ความผิดเป็นของง่ายที่จะแก้ไข

    - การบอก เด็ก สามี ภรรยา เสมียนพนักงานว่าเขาโง่ หรือทึ่มในสิ่งโน้นสิ่งนี้ หรือเขาไม่มีพรสวรรค์ในงานนั้นๆ และที่เขาทำไปแล้วล้วนแต่ผิด แปลว่าท่านได้ทำลายโดยสิ้นเชิงต่อสิ่งที่กระตุ้นให้เขามีความพากเพียร เพื่อทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น ท่านควรใช้เทคนิคตรงข้าม ท่านจงมี ใจกว้าง ด้วยการให้ความสนับสนุน กำลังใจแก่เขา ท่านจงกระทำในสิ่งที่จะส่งเสริมให้เขา เห็นว่าเป็นของง่ายในการปฏิบัติสิ่งนั้นๆ   ท่านจง แสดงตนให้เขารู้สึกว่าท่านเลื่อมใสในความสามารถของเขา  ความสามารถ ซึ่งเขามีแวว แต่เขายังไม่ได้นำออกมาใช้  ผลก็คือ เขาจะพยายาม ปฏิบัติสิ่งนั้นๆ เพื่อเอาชนะมัน แม้ต้องใช้เวลาตลอดคืนก็ตาม
     จงใช้การสนับสนุนกำลังใจ จงทำให้ความผิดซึ่งท่านต้องการแก้ไข ดูเป็นของง่ายที่จะแก้ไข  จงทำให้สิ่งที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติ เป็นของง่ายที่จะปฏิบัติ

บทที่ 9  จงทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ท่านต้องการ

    - หลักสำคัญแห่งมนุษยสัมพันธ์ : จงทำให้ผู้อื่นมีความสุขที่จะกระทำในสิ่งที่ท่านเสนอแนะแขา
    - มีชายคนหนึ่งสามารถปฏิเสธคำเชิญให้เป็นผู้พูดในงานต่างๆ   คำเชิญซึ่งมาจากมิตรสหายของเขา  คำเชิญซึ่งมาจากบุคคลที่เขารู้สึกใน บุญคุณ  แม้กระนั้นเขาสามารถทำให้ผู้ที่ถูกเขาปฏิเสธได้รับความพอใจในการปฏิเสธนั้น  เขาทำอย่างไรหรือท่าน?  เขามิได้กล่าวแก้ตัวว่าเขา มีธุระยุ่ง หรือมีเหตุติดข้องอย่างนั้นอย่างนี้ เขามิได้ทำเช่นนั้น  เขาทำดังนี้
คือ หลังจากแสดงความยินดีที่ได้รับเชิญ และแสดงความเสียใจที่ เขาไม่มีความสามารถพอในการปฏิบัติตามตามคำเชิญนั้น เขาจะเสนอชื่อผู้อื่นให้พูดแทนเขา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขามิได้ทำให้ผู้เชิญเกิด  ความรู้สึกเสียใจต่อคำปฏิเสธของเขาเลย แม้แต่ขณะเดียว เขาทำให้ผู้เชิญคิดถึงอีกคนหนึ่ง เพื่อเชิญมาเป็นผู้พูดในทันทีทันใด โดยเน้นความ น่าสนใจของบุคคลอื่น
    - เทคนิคแห่งการให้อำนาจและตำแหน่ง ได้ปรากฎผลดีแก่นโปเลียนมาแล้ว
                จงทำให้ผู้อื่นมีความสุขที่จะกระทำในสิ่งที่ท่านเสนอแนะแก่เขา
 
 


ตอนที่ 5 จดหมายซึ่งบันดาลผลมหัศจรรย์

    - ใช้ "หลักจิตวิทยา"  :  "โปรดช่วยเหลือผม"  จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ และเป็นการสร้างมิตรภาพขึ้น
    - โปรดจำไว้ว่า เราทั้งหลายต่างกระหายที่จะได้รับความยกย่องนับถือ และความเป็นคนสำคัญ ซึ่งเราจะยินดีทำเกือบทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนี้  แต่ไม่มีใครต้องการความไม่สุจริตใจ ไม่มีใครต้องการคำพูดประจบสอพลอ
        ข้าพเจ้าขอย้ำ :- หลักการทั้งหลายที่สอนในหนังสือเล่มนี้ จะปฏิบัติได้ผล ก็ต่อเมื่อนำออกใช้ด้วยน้ำใส
ใจจริง   ข้าพเจ้ามิได้สนับสนุนให้ ปฏิบัติด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างใดทั้งสิ้น   สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ล้วนแล้วแต่ เป็นวิธีที่จะนำท่านไปสู่วิถีชีวิตแบบใหม่
 
 


ตอนที่ 6 วิธีปฏิบัติ 7 ประการ เพื่อทำให้ชีวิตในครอบครัวของท่านมีความสุขยิ่งขึ้น
บทที่ 1   วิธีขุดหลุมฝังศพการแต่งงานของท่านอย่างแน่นอนและรวดเร็วที่สุด

    - สิ่งทั้งหลายที่สามารถทำลายความรักให้แหลกลาญอย่างแน่นอน ซึ่งเจ้าผีร้ายในนรกได้ประดิษฐขึ้น  "ความจู้จี้เอาเรื่อง" เป็นสิ่งควรจะพึง กลัวอย่างที่สุด มันไม่เคยล้มเหลวทำนองเดียวกับการกัดของงูเห่า  มันจะทำลาย ทำให้ถึงตายเสมอ
            ถ้าท่านต้องการรักษาชีวิตทางบ้านให้มีความสุข   กฎข้อที่ 1  มีดังนี้
                อย่าเป็นคนจู้จี้ขี้เอาเรื่อง  ขี้หึง

บทที่ 2   ความรักอันวัฒนาถาวร

    - สิ่งแรกที่จะศึกษาในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ก็คือ อย่าแทรกแซงกับการหาความสุขในวิธีแปลกๆของเขา
    - ความสำเร็จในการแต่งงาน เป็นเรื่องที่ไม่เพียงแต่การแสวงหาคู่ที่เหมาะสมเท่านั้น  หากผู้ที่จะเป็นคู่แต่งงาน จะต้องเป็นคนที่เหมาะสมด้วย
    - ถ้าท่านต้องการให้ชีวิตในครอบครัวของท่านมีความสุขยิ่งขึ้น กฎที่ 2 มีดังนี้
                 อย่าพยายามเป็นเจ้าหัวใจคู่แต่งงานของท่าน

บทที่ 3   ถ้าท่านทำเช่นนี้ ท่านจะต้องคอยดูกำหนดเวลาเพื่อไปสู่การหย่าร้าง

    - ทางไปสู่การหย่าร้าง ก็คือ "การตำหนิติเตียน"   การติเตียนอันไร้ประโยชน์ และการติเตียนซึ่งเป็นที่ร้าวรานใจ
        ถ้าท่านต้องการให้ชีวิตในครอบครัวของท่านมีความสุข กฎที่ 3 มีดังนี้
                อย่าตำหนิติเตียน

บทที่ 4   ทางที่จะเกิดผลอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้ทุกคนมีความสุข

          จงให้คำยกย่องสรรเสริญด้วยความสุจริตใจ

บทที่ 5  สิ่งที่มีค่าสูงยิ่งสำหรับผู้หญิง

    -  ไม่ใช่ความรักดอกที่ทำให้วันเวลาของฉันทุกข์ทรมาน  แต่มันมาจากความร้าวรานในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
    -  "ข้าพเจ้าจะผ่านมาทางนี้เพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้น สิ่งใดอันเป็นความดี ซึ่งข้าพเจ้าสามารถจะปฏิบัติได้ หรือสิ่งใดอันเป็นความกรุณา ซึ่งข้าพเจ้าสามารถจะให้แก่มนุษย์คนใดได้ ขอให้ข้าพเจ้าทำเสียแต่บัดนี้  ขออย่าให้ข้าพเจ้า
รีรอช้า หรือเพิกเฉย เพราะข้าพเจ้าจะไม่ผ่านมา ทางนี้อีกแล้ว"
            กฎข้อที่ 5 มีดังนี้    "จงเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ"

บทที่ 6  ถ้าท่านต้องการมีความสุข จงอย่าละเลยสิ่งนี้

      จงมีกิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยน

บทที่ 7 อย่าเป็นคน "ไร้การศึกษาในการแต่งงาน"

    - ความล้มเหลวในการแต่งงาน มักจะเนื่องมาจากสาเหตุ 4 ประการ คือ
            1. มิได้ปรับปรุงกามารมณ์ให้เป็นที่พอใจต่อกัน
            2. ความคิดเห็นขัดแย้งกันในการใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจ
            3. การเงินฝืดเคือง
            4. จิตใจ ร่างกาย หรืออารมณ์ผิดปกติ
                จงอ่านหนังสือดีๆ เกี่ยวกับกามารมณ์ในการแต่งงาน