สรุปย่อนี้ กระผมคัดย่อจากหนังสือ ราชันศาสตร์ วิถีการปกครองและผูกใจคน เขียนโดย คุณมิโมโต้ สึชิเฮอิ แปลและเรียบเรียงโดย คุณ อธิคม สวัสดิญาณ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า,กรุงเทพฯ,๒๕๓๕ กระผมอ่านหนังสือทำนองนี้มามากมายพอสมควร เล่มใดประทับใจมากก็จะรู้สึก "หวง" และเก็บไว้อย่างดี เพื่อจะได้มีโอกาส กลับมาอ่านอีกในโอกาสข้างหน้า หนังสือเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่มีความรู้สึก "หวง" เช่นนั้นครับ  กระผมมีความเห็นว่า เป็นหนังสือที่ให้มุมมองเกี่ยวกับการบริหารและการปกครองที่มีค่าอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง
        ขอบคุณสำนักพิมพ์ฯ ที่ได้ผลิตหนังสือดีมีคุณค่าลักษณะนี้ออกมาอย่างสม่ำเสมอ และควรพิมพ์จำหน่ายอีก เพื่อให้ผู้นำ และผู้ที่เตรียมตัวจะเป็นผู้นำ ได้อ่าน เรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวของผู้อื่น ทบทวนตัวเอง เพื่อเพิ่มโอกาสของ
ความสำเร็จ ลดโอกาสของความผิดพลาด และเพื่อผู้อยู่ใต้ปกครองของเรา...
       หนังสือนี้เล่าเรื่องราวการปกครองของ "ถางไท่จงฮ่องเต้" จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งในประวัติศาสตร์
จีน หนังสือได้กล่าวถึง วิธีคิด วิธีปกครองคนของถางไท่จงฮ่องเต้ ความใจกว้างรับฟังความคิดเห็น ความมีจิตใจหนักแน่น  การ
ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง การเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น  ถางไท่จงฮ่องเต้ มักถือความล่มสลายของราชวงศ์สุย โดยเฉพาะจักรพรรคิดสุยหยางตี้ เป็นตัวอย่างพึงสังวรณ์ เตือนสติตนเองอยู่ตลอดเวลา  และคุณลักษณะเด่นๆอีกมากมาย   นอกจากนั้น ยังได้ชี้ให้เห็นถึง "ความกล้าหาญ" ของขุนนางอย่าง "เว่ยเจิง", "อู๋จิง"  และอีกหลายๆท่านในการ ถวายความเห็น หรือทัดทานอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงว่าถางไท่จงฮ่องเต้จะกริ้ว หรือถูกลงโทษ
        จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อีกประการหนึ่งคือ หนังสือเล่มนี้ให้ความสำคัญต่อ "การรักษาความสำเร็จ" ซึ่งมีหนังสือ
ไม่มากนักจะเสนอในประเด็นนี้  ส่วนใหญ่เราจะเห็นหนังสือ เกี่ยวกับวิธีการ "สร้างความสำเร็จ" ได้ทั่วไป
        อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้ ก็จะต้องไม่ลืมคำว่า "ประยุกต์" เพราะ "ต่างเวลา ต่างพื้นที่ ต่างการปฏิบัติ" นะครับ
                                                                                  ป้อง๑๙๓๐
 
 

หนังสือเล่มนี้มีทั้งสิ้น ๑๐ บท
ดังนี้:-

    บทที่ ๑   เหตุใดต้องศึกษา "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน"
    บทที่ ๒   ฟังความรอบด้าน - การรวบรวมข่าวกรอง
    บทที่ ๓   ข้อใคร่ครวญสิบประการ และคุณธรรมเก้าข้อ - ขันติธรรมของผู้นำ
    บทที่ ๔   คณะรัฐมนตรีในสมัยโบราณ - ไม่มีใครเก่งทุกอย่าง
    บทที่ ๕   คนดีงาม ๖ ประเภท กับ คนเลวร้าย ๖ ประเภท  บรรทัดฐานในการคัดเลือกบุคคล
    บทที่ ๖    ความจำเป็นพื้นฐาน - ขจัดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
    บทที่ ๗   คลองธรรมและปณิธาน - สุจริตธรรมของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
    บทที่ ๘   เป็นตัวของตัวเอง - ไม่เห็นแก่ภูตผี ญาติสนิท มิตรสหาย
    บทที่ ๙   เมตตาธรรมและกตเวทิตา - คุณสมบัติของผู้รับช่วง
    บทที่ ๑๐  คุณธรรม - คุณสมบัติของผู้นำ


บทที่ ๑
เหตุใดต้องศึกษา "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน"

การ "สร้างอาณาจักร" หรือ "การรักษาอาณาจักร" ยากกว่า

    คัมภีร์ "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน" เขียนขึ้นภายหลัง "ถางไท่จงฮ่องเต้" เสด็จสวรรคตแล้วประมาณ ๕๐ ปี  การปกครองแบบเจินกวนเป็นการปกครองของจีนในสมัยราชวงศ์ถางยุคที่บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ประเทศชาติมั่งคั่งและ
เข้มแข็งเกรียงไกร  ชนรุ่นหลังยกย่องว่าเป็นแม่แบบการปกครองของราชวงศ์ศักดินาในประวัติศาสตร์จีน
  "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน" เป็นผลึกแห่งปัญญา การปกครองของถางไท่จงฮ่องเต้ ...เป็นหลักปรัชญาอมตะ
ที่ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน
    "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน" แพร่เข้ามาในญี่ปุ่น ประมาณปี ค.ศ.๘๐๐  คัมภีร์เล่มนี้เป็น "คัมภีร์ล้ำค่า" ที่
จักรพรรดิทุกองค์ของจีนในยุคหลังต้องศึกษา  ส่วนในญี่ปุ่นนั้น ถือเป็นแบบเรียนที่องค์จักรพรรดิต้องเพียรศึกษาเช่นเดียวกัน
    โชกุน โตคุกาว่า เพียรศึกษา "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน"  อาจเป็นเพราะว่า จักรพรรดิทุกพระองค์ในอดีตแม้
จะสร้างอาณาจักรขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่สามารถรักษาอาณาจักรไว้ได้.....
    โตคุกาว่า มีภูมิหลังและภาวะแวดล้อมคล้ายคลึกกับถางไท่จงฮ่องเต้  จึงพยายามศึกษาและเอาอย่างวิธีการปกครองของ ถางไท่จงฮ่องเต้   อำนาจรัฐโตคุกาว่าที่สถาปนาโดยโตคุกาว่า มั่นคงและยืนยงถึง ๒๘๐ ปี ก็เพราะศึกษาวิธีการปกครองของ
ถางไท่จงฮ่องเต้ (ซึ่งทำให้ราชวงศ์ถาง ยืนยงถึง ๒๖๙ ปี) จาก "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน" ซึ่งเป็นคัมภีร์หลัก
ปรัชญาการปกครองอันยิ่งใหญ่นิรันดร์
    ...... ปัญหาสำคัญที่ต้องใคร่ครวญภายหลังการสร้างกิจการ หรือตั้งบริษัท หรือสร้างอาณาจักรทางธุรกิจขึ้นมาแล้ว ก็คือ
ปัญหาการรักษาอาณาจักรทางธุรกิจ.....มีน้อยคนที่ขบคิดใคร่ครวญ "ปัญหาการพัฒนาประเทศชาติในระยะยาว"
   "หลักนโยบายการปกครองแบบเจินกวน" คัมภีร์ปรัชญาการปกครองของอาณาจักรต้าถางในยุคคริสตศตวรรษที่ ๗ ย่อมไม่
อาจนำเสนอวิธีแก้ปัญาต่างๆในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ได้โดยตรง  แต่ถ้าต้องการแก้ "ปัญหาความสัมพันธ์ระห่างเบื้องบนและ
เบื้องล่าง" ซึ่งสภาพโดยหลักไม่แตกต่างกันไม่ว่าในปอดีตหรือปัจจุบัน เพื่อขยายประสิทธิภาพของหน่วยจัดตั้งหรือองค์กรอย่าง
เต็มที่ โดยเฉพาะในระยะ "การรักษาอาณาจักร" แล้ว คัมภีร์เล่มนี้ได้ให้ตัวอย่างที่มีค่าควรแก่การศึกษามากมาย....

กับดักผู้มีอำนาจ

    ....อำนาจนี้โดยตัวมันเองมีบทบาทอยู่สองด้าน ถ้าใช้เกินขอบเขต ก็จะเกิดผลร้ายอันเนื่องมาจากความบ้าอำนาจ ถ้ามอบ
หมายหรือกระจายอำนาจมากไป ก็จะเกิดปรากฎการณ์ปัดความรับผิดชอบ ความพอดีอยู่ตรงจุดไหน จะใช้อำนาจอย่างไร
พนักงานทั้งหมดจึงจะยอมรับนับถือทั้งวาจาและใจ  ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความเข้าใจปรัชญาการนำของหัวหน้า
หรือผู้บริหาร...
    .....ยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคเสรีประชาธิปไตย กลับให้กำเนิดผู้นำนักบริหารธุรกิจ และผู้ปฏิบัติงานที่วางตัวอยู่เหนือกฎระเบียบ
มากกว่ายุคโบราณเสียอีก...
    ... ถ้าได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นทรราช ดังสุภาษิตของชาวตะวันตกที่ว่า "มีอำนาจสามปี
ก็กลายเป็นคนเขลา" นี่เป็นปรากฎการณ์ทั่วไป
    .....เก็บรับบทเรียนของผู้อื่น การถ่อมตัวน้อมรับฟังคำวิจารณ์ของผู้อื่น และสันทัดในการปกครองคนที่กล้าแสดง
ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาแบบ "เว่ยเจิง"  เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก....
    ....อำนาจนี้อาจเปรียบได้กับมารร้าย  สามารถทำให้จักรพรรดิในสมัยโบราณเสื่อมทรามจนกระทั่งไม่สามารถแยก
ถูกผิดดีชั่ว
"ประชาชน" เป็น "เจ้า"
    มรรควิถีของกษัตริยราช พึงคำนึงถึงความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฎรเป็นที่ตั้ง หากเสริมอำนาจบารมีหรือปรนเปรอตนเอง โดยราษฎรต้องทุกข์ยากเดือดร้อนแล้วไซร้ ก็อุปมาดั่ง เฉือนเนื้อแขนขาบำเรอท้อง ท้องอิ่มแต่มรณา...
    ....ไม่ว่าใคร ถ้าถูกความกระหายอำนาจเข้าบงการ ก็จะกลายเป็น "ทรราช"  แม้รู้ว่าจะนำผลร้ายมาสู่ตนเองและประเทศชาติ
แต่ยังคง "เฉือนเนื้อแขนขา บำเรอท้อง" อย่างถอนตัวไม่ขึ้น...
    ...."อู๋จิง ผู้ซื่อตรง" บันทึกไว้ในจดหมายเหตุถึง ข้อดีเด่นของถางไท่จงฮ่องเต้ คือ "รู้จักใช้คน รู้ข้อบกพร่องของตนเอง และ
สันทัดในการรับฟังข้อคิดเห็นของเหล่าขุนนางข้าราชสำนัก สิ่งใดควรปรับปรุงแก้ไข พระองค์จะทรงดำเนินการโดยไม่ชักช้า
และไม่ถือโทษโกรธเคืองขุนนางที่ถวายคำทักท้วงอย่างตรงไปตรงมา กลับตกรางวัลให้เป็นพิเศษ"


บทที่ ๒
ฟังความรอบด้าน - การรวบรวมข่าวกรอง

    ...ถางไท่จงฮ่องเต้ ทรงแต่งตั้งบริวารที่ซื่อสัตย์ที่สุด กล้าถวายความเห็นอย่างตรงไปตรงมาที่สุดของรัชทายาทเจี้ยนเฉิง (พระเชษฐา แต่เป็นปฏิปักษ์กัน) ให้ดำรงตำแหน่งไต้ฟูมีหน้าที่ถวายคำปรึกษา....อาจบางทีผู้นำอัจฉริยะทุกคนต่างมีจิตใจ
เอื้อเฟื้อ และสุขุมหนักแน่นในลักษณะนี้...
    ....ผู้นำ ควรใช้พวกตีสองหน้า พวกเหยียบเรือสองแคม และพวกที่เคยทรยศตนให้เป็นประโยชน์ ด้วยท่าทีอ่อนหยุ่น  แต่จะ
เชื่อถือไว้วางใจไม่ได้เด็ดขาด  ส่วนบริวารที่ซื่อสัตย์สุจริตของศัตรูคู่อาฆาตนั้น กลับควรสร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อถือต่อกันไว้...
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องมีน้ำใจ และจิตใจกว้างขวางประดุจมหาสมุททรเยี่ยงนี้....
  ถางไท่จงฮ่องเต้ ตรัสเกี่ยวกับ "เว่ยเจิง" ไว้ว่า  "เว่ยเจิงเคยเป็นศัตรูคู่แค้นของข้าฯ ก็จริง แต่เขาทำงานอย่างซื่อสัตย์
เป็นคนดีงาม ข้าฯ สามารถเอาตัวมารับใช้ข้าฯได้ ก็ไม่น้อยหน้าเมธีกษัตริย์ในโบราณกาล   เว่ยเจิงเป็นคนถวายความเห็น
อย่างตรงไปตรงมา ไม่ปรารถนาเห็นข้าฯ กระทำผิด นี่คือสาเหตุที่ ข้าฯ ไว้วางใจให้รับผิดชอบงานสำคัญ"

    ผู้บริหารหรือผู้กุมอำนาจขององค์กรใดๆ โดยมากมักจะถูกปิดหูปิดตา หรือรับข่าวสารเฉพาะส่วนเพียงด้านเดียวจะโดย
สำนึกหรือไม่ก็ตาม นานวันเข้า ก็ถลำไปสู่ความตกต่ำ ล้มเหลว และพินาศในที่สุด...
    ผู้นำหรือผู้บริหารขององค์กร จะต้องกำหนดหรือวางนโยบาย โดยประมวลและวินิจฉัยข้อมูลและข่าวกรองจากหลายๆ ด้าน  จะอาศัยข้อมูลเพียงด้านเดียวไม่ได้  แต่ถ้าการรับฟังรอบด้านเป็นเพียงการรับฟังบริวารที่คอยล้อมหน้าล้อมหลัง เอาแต่ประจบ
สอพลอแล้ว การฟังความรอบด้านนั้นก็ไม่แตกต่างกับการฟังความด้านเดียว....
    ... ถ้าน้อมใจรับฟังความเห็นทุกฝ่าย  ขุนนางที่ซื่อสัตย์จะไม่ถูกปิดปาก อารมณ์ความรู้สึกของข้าราชบริพารก็จะถึง
พระเนตรพระกรรณ...
    ....พยายามเตือนสติตนเองให้ถ่อมใจรับฟังความเห็นของผู้อื่นโดยไม่เหนื่อยหน่าย นี่คือหลักสำคัญในการแก้ปัญหาต่างๆ...


บทที่ ๓
ข้อใคร่ครวญสิบประการ และคุณธรรมเก้าข้อ - ขันติธรรมของผู้นำ

    การบริหารธุรกิจ ก็เช่นเดียวกับการไต่เขา หลังจาก "สร้างอาณาจักร" ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เราจะปกป้อง
"รักษาอาณาจักร" ไว้ได้อย่างไร ?
    "เมื่อไต่ถึงที่ราบบนยอดเขาแล้ว ก็หยุดพักสบายสมอารมณ์หมายบนนั้น ?  หรือว่าจะใช้ความพยายามดุจเดียวกับ
แรกเริ่มไต่เขา บากบั่นรุดหน้าต่อไป ?"
    "มือดีในการสร้างอาณาจักร ไม่แน่ว่าจะเป็นมือดีในการรักษาอาณาจักร"
    "มีความดีความชอบ ควรตกรางวัลให้  แต่ !  ไม่จำเป็นต้องให้รับผิดชอบงานสำคัญ"  *****
   ...จักรพรรดิสุยเหวินตี้ กระทำผิดในสิ่งที่ "ผู้สร้างอาณาจักร" มักกระทำผิด คือ ทำตัวเป็น "เถ้าแก่เผด็จการ"
    ...ถ้าผู้บริหารจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยตนเอง โดยไม่แยกเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก  ผลสุดท้าย ร่างกายจิตใจก็จะทรุดโทรม
สมาธิไม่พอ  เพราะฉะนั้น นักบริหารต้องรู้จักกระจายอำนาจอย่างเหมาะสม....
    ....."ความเหนือธรรมดา อยู่ที่วิตกในยามสงบ"  มนุษย์เราเมื่อมีชีวิตอย่างสุขสงบ จิตใจก็จะหย่อนคลายและเกียจคร้าน
การระมัดระวังและเตรียมพร้อมในยามสุขสงบ เป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง
    .... เม่งจื๊อ กล่าวว่า "ไร้อริราชศัตรูจากภัยนอก อาณาจักรล่มสลาย"  คำคำนี้ฟังเหมือนขัดแย้งในตัว แต่ในทางบริหาร
ธุรกิจนั้น ถ้าเรากล่าวว่า "ธุรกิจที่ไร้คู่แข่ง ย่อมล้มเหลว" เหตุผลจะชัดเจน

ภัยของความเป็นหนึ่งเดียว

    ถางไท่จงกล่าว "... มีปัญหาต้องปรึกษาหารือ ให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน จะเออออห่อหมกรักษาความเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้"
มันเป็น "ความปรองดองจอมปลอม" ก็คือ การแก้ปัญหาแบบขอไปที หน้าไหว้ หลังหลอก
    สิ่งที่มีค่าที่สุดภายในองค์กร คือ  "การเสนอข้อคิดเห็นอย่างจริงใจ ไม่ควรโอนอ่อนผ่อนตาม"
    "คนที่รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี  หลีกเลี่ยงความขัดแย้งทั้งปวง จะต้องประสบชะตากรรมอย่างอเนจอนาถที่สุด"
    ถ้าคนทั้งหลายตกอยู่ในภาวะอันตรายวิกฤต ยังรักษาความคิด "ปรองดอง" ไว้ในสมองแล้ว จะเป็นการพิสูจน์สัจธรรม  "ล่มสลาย
เพราะสงบ" โดยแท้
ข้อใคร่ครวญสิบประการ และคุณธรรมเก้าข้อ
    เว่ยเจิง ได้สรุปหลักพื้นฐานการบริหารปกครองแผ่นดินเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆคือ ข้อใคร่ครวญ ๑๐ ประการ และ
คุณธรรม ๙ ข้อ
  ข้อใคร่ครวญ ๑๐ ประการ :-
        ๑. กษัตริยราช ยามปรารถนาสิ่งใด ต้องคิดถึง "ความรู้จักพอ" เพื่อเตือนสติตนเอง
        ๒. ยามกะเกณฑ์แรงงานก่อสร้างสิ่งใด ต้องรู้จักประมาณและคำนึงถึงความเหมาะสม เพื่อสงบใจอาณาประชาราษฎร์
        ๓. เมื่อรู้ว่าอยู่ในตำแหน่งสูงสุด เต็มไปด้วยภยันตราย ต้องคิดถึงความนอบน้อมถ่อมใจและความโอบอ้อมอารี เพื่อ
ควบคุมตนเอง
        ๔. เมื่อกลัวความเย่อหยิ่งทะนงตน ฟังคำแนะนำที่ตรงไปตรงมาไม่ได้ ก็ควรรู้ว่า "มหาสมุทร อยู่ต่ำกว่าแม่น้ำลำคลอง
ทุกสาย"
        ๕. เมื่อจะท่องเที่ยวหาล่าสัตว์ความสำราญ ควรคิดถึงกษัตริยราชสมัยโบราณ ไม่อนุญาตให้ตนเองออกล่าสัตว์เกิน
๓ ครั้งต่อปี
        ๖. เมื่อกังวลว่าราชกิจจะถูกปล่อยปละละเลย ก็ไม่ลืมว่า "จะทำการใดต้องทำให้ดีและทำถึงที่สุด"
        ๗. ถ้าเกรงว่าจะถูกปิดหูปิดตา "ต้องรับฟังความเห็นของข้าราชบริพารด้วยใจถ่อม"
        ๘. ถ้ากังวลว่าความชั่วช้าจะเข้าครอบงำราชสำนัก ต้องดำรงตนอยู่ในความถูกต้อง หลีกห่างจากความชั่วร้ายทั้งปวง
        ๙. เมื่อจะบำเหน็จรางวัล  "ต้องระวังไม่ตกรางวัลมากมายส่งเดช เพียงเพราะความพอใจชั่วขณะ"
        ๑๐. เมื่อจะลงโทษทัณฑ์ ก็ "ไม่ควรลงโทษทัณฑ์ส่งเดช เพราะอารมณ์โกรธชั่วครู่"
    ข้อใคร่ครวญ ๑๐ ประการนี้ ดูไปก็ธรรมดาสามัญยิ่ง แต่ในทางเป็นจริง แฝงหลักปรัชญาการปกครองไว้มากมาย......
  คุณธรรม ๙ ข้อ :-
        ๑. กว้างขวางมีวินัย
        ๒. อ่อนโยนและสามารถ
        ๓. เคร่งขรึม แต่ไม่หมางเมิน
        ๔. แก้ปัญหาโดยระมัดระวัง
        ๕. อ่อนหยุ่น แต่เข้มแข็ง
        ๖. ตรงไปตรงมา แต่อ่อนโยน
        ๗. ไม่จุกจิกจู้จี้ แต่ยืนบนความเป็นจริง
        ๘. เข้มแข็ง และมีความสามารถที่เป็นจริง
        ๙. กล้าหาญ และคลองธรรม
    เว่ยเจิง ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับ ข้อใคร่ครวญ ๑๐ ประการ และ คุณธรรม ๙ ข้อว่า  "ไยต้องเหนื่อยกาย เพลียใจลงไปทำงานแทนบริวาร
ด้วยเล่า  ช่วงใช้คนดีมีฝีมือ  นี่แลมรรรควิถีแห่งการปกครองโดยไม่ปกครอง !"


บทที่ ๔
คณะรัฐมนตรีในสมัยโบราณ - ไม่มีใครเก่งทุกอย่าง

    ...มนุษย์มองเห็นแต่ฝุ่นผงในดวงตาผู้อื่น แต่มองไม่เห็นดุ้นไม้ในดวงตาของตนเอง....
    ....คนบางคนเอาแต่วิจารณ์ผู้อื่น  หารู้ไม่ว่าตนเองก็ไม่แตกต่างกัน....
    "อย่าหลงตัวเองว่า เป็นผู้มีความสามารถรอบด้าน"
    ...สิ่งมีค่าประเภทสันติภาพ ความมั่นคง และเสรีภาพ ก็เช่นเดียวกับอากาศธาตุ ขณะที่เรามีมันอยู่นั้น จะไม่รู้สึกว่ามันมีค่า....
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ขณะที่คนทั้งหลายไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของการเมือง นั่นแหละคือการเมืองในภาวะอุดมคติที่สุด
    ผู้นำ จะมีจิตสำนึกเรียกร้องผู้อื่นให้ตอบแทนบุณคุณว่า "พวกเองต้องขอบคุณข้าฯ ไม่ได้"


บทที่ ๕
 คนดีงาม ๖ ประเภท กับ คนเลวร้าย ๖ ประเภท  บรรทัดฐานในการคัดเลือกบุคคล

    ถางไท่จงกล่าวกับข้าราชบริพาร ว่า  "การแสดงความจริงใจอย่างถึงที่สุดเป็นเรื่องอันตราย เพราะเหตุนี้เอง เมธีกษัตริย์เซี่ยอวี่สมัยโบราณ เมื่อได้ยินคำทัดทานจากผู้ใด จะก้มลงกราบขอบคุณผู้นั้น.... ปัจจุบัน ข้าฯ เปิดใจกว้าง
น้อมรับฟังคำทัดทานและคำแนะนำทั้งปวง ท่านทั้งหลายไม่ควรหวาดกลัว จนไม่กล้าถวายความคิดเห็น"
    .....ความเห็นที่ตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไป   ปัญหาสลับซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับกุศโลบายระดับชาติ
แม้จะมีคนเสนอข้อคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา จะถือว่าเป็นความคิดที่วิเศษ โดยไม่พินิจพิจารณาหาได้ไม่

คนดีงาม ๖ ประเภท

        ๑. สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าโดยปราศจากลางบอกเหตุใดๆ  มองเห็นผลประโยชน์ได้เสียและวิกฤตแห่งการคงอยู่
หรือเสื่อมสลาย จึงเตรียมป้องกันไว้แต่แรก.... นี่คือ "ขุนนางปราชญ์"
        ๒. จงรักภักดีอย่างสุดใจ ถวายคำแนะนำที่ดีเสมอ ให้กำลังใจกษัตริยราชดำเนินตามจารีตธรรม และคลองธรรม เสนอ
กุศโลบายที่ดีเยี่ยม.....  นี่คือ "ขุนนางมโนธรรม"
        ๓. ตื่นเช้า นอนดึก แนะนำคนดีมีความสามารถ เพื่อชาติบ้านเมือง..... นี่คือ "ขุนนางภักดี"
        ๔. มองเห็นความปราชัยและอัปราชัยล่วงหน้า พยายามหาทางป้องกันและกอบกู้สถานการณ์ ปิดป้องจุดอ่อน.... นี่คือ
"ขุนนางที่มีสติปัญญา"
        ๕. รักษากฎหมาย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง รับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่รับสินบน......นี่คือ "ขุนนางสุจริต"
        ๖. ยามแผ่นดินวุ่นวายเป็นจลาจล ไม่ประจบสอพลอ กล้าทูลถวายความเห็นอย่างตรงไปตรงมา... นี่คือ "ขุนนางซื่อตรง"

คนเลวร้าย ๖ ประเภท

        ๑. เห็นแก่อามิสสินจ้าง ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่.... นี่คือ "ขุนนางขี้ฉ้อ"
        ๒. ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ นายว่า ขี้ข้าพลอย แอบสืบเสาะว่ากษัตริยราชชอบสิ่งใด ก็หามาถวาย.... นี่คือ "ขุนนางสอพลอ"
        ๓. หน้าเนื้อใจเสือ ให้ร้ายขุนนางตงฉิน จะสนับสนุนใครก็รายงานแต่ความดี จะผลักใสใคร ก็รายงานแต่ความเลว.... นี่คือ "ขุนนางกังฉิน"
        ๔. มีเลศเล่ห์เพทุบาย สามารถกลับผิดเป็นถูก กลับถูกเป็นผิด ปั้นน้ำเป็นตัว.... นี่คือ "ขุนนางให้ร้าย"
        ๕. รวมอำนาจโดยพลการ ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่.... นี่คือ "ขุนนางโจร"
        ๖. ปั้นเรื่องหยาบช้า ให้ร้ายกษัตริยราช คบคิดพรรคพวกปิดหูปิดตากษัตริยราช.... นี่คือ "ขุนนางสิ้นชาติ"

หมั่นหาบุคลากรเพิ่มเติม

    ถางไท่จงฮ่องเต้ ทรงเห็นว่า
        "ถ้าพบเอตะทัคคะ หรือผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน ฝีมือยอดเยี่ยมโดดเด่นเหนือคนรุ่นเดียวกัน  ให้ตกรางวัลเป็นเงิน หรือแพรไหมก็พอ จะมอบตำแหน่งยศศักดิ์ข้ามขั้นเทียบเคียงกับขุนนางอำมาตย์ในราชสำนักไม่ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับปัญหา ขวัญและกำลังใจ และการบริหารองค์กรโดยองค์รวม"
        "การเสาะหาคนดีมีฝีมือ จะพึ่งปาฏิหารย์ไม่ได้  เชื่อว่าทุกยุคทุกสมัยล้วนมีคนดีมีฝีมือ เสนาอำมาตย์ทุกคนต้องช่วยกัน เสาะหาบุคลากรที่ดีเยี่ยมมาใช้...."


บทที่ ๖
ความจำเป็นพื้นฐาน - ขจัดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม

    เว่ยเจิงทัดทานถางไท่จงว่า "จะมองข้ามความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่ได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องทัดทาน"  เว่ยเจิงได้กล่าว
ในสิ่งที่คนทั่วไปเห็นว่า "ไม่น่าพูด" ออกมาอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา การยื่นหนังสือทัดทานในลักษณะเช่นนี้ ต้องใช้ความ
กล้าหาญอย่างมาก  กษัตริยราชในสมัยโบราณผู้กุมอำนาจสูงสุดก็นับได้ว่า นอบน้อมถ่อมใจกว่าผู้จัดการทั่วไปของบริษัท
ในยุคนี้มาก หรือว่ากษัตริยราชต้องมีคุณสมบัติเช่นนี้...
    ถางไท่จงฮ่องเต้ตรัสกับเว่ยเจิงว่า "ขุนนางรับใช้กษัตริย์ สนองคำบัญชาเป็นเรื่องง่าย ขัดพระทัยจะมีใครกล้าเล่า" ถาง
ไท่จงฮ่องเต้ไม่เพียงไม่กริ้ว กลับนิยมชมชื่นเว่ยเจิงยิ่ง รับปากว่าจะปรับปรุงแก้ไขประพฤติราชธรรมอย่างเสมอต้นเสมอ
ปลาย นอกจากนี้ยังนำคำทัดทานของเว่ยเจิงปิดบนม่านไว้ศึกษาทุกเช้าค่ำ และมีคำสั่งให้ผู้บันทึกจดหมายเหตุประวัติศาสตร์
บันทึกไว้ เพื่อให้ "มิตรสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางเฉกเช่นพระองค์กับเว่ยเจิงเป็นที่ตระหนักแก่ชนรุ่นหลังสืบไป
ตลอดกาลนาน" อีกทั้งมีรับสั่งให้บำเน็จเว่ยเจิงเป็นทองคำสิบชั่ง อาชาอีกสองตัว....

    ถางไท่จงฮ่องเต้ถือจักรพรรดิสุยหยางตี้เป็นตัวอย่างอันพึงสังวรณ์ตลอดมา พระองค์ได้เห็นอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่แห่ง
ราชวงศ์สุยถึงคราวล่มสลายนั้นเปราะบางขนาดไหน จึงระมัดระวังสำรวจตนเอง รับฟังคำทัดทานของเว่ยเจิงและขุนนาง
คนอื่นๆ โดยไม่เหนื่อยหน่าย...
  ......คนที่ปกครองผู้อื่น เมื่อทำอะไรลงไปสักอย่าง จะมีผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ กระทั่งก่อให้เกิดผลร้ายในภายหลัง.....

    ถางไท่จงฮ่องเต้ ทรงเห็นว่าจางเสวียนซู่ (ขุนนางผู้หนึ่ง) ทัดทานพระองค์อย่างตรงไปตรงมา เป็นการ "แทรกแซง"
จาก "เบื้องล่างสู่เบื้องบน" ซึ่งหาได้ยากแต่โบราณกาลมา ทำให้พระองค์ทรงตื้นตันใจยิ่ง ดังคำที่ว่า "พันคนขอรับ ไม่เท่า หนึ่งคนโผงผาง"
    ขงจื๊อกล่าวว่า "กษัตริย์ใช้ขุนนางโดยให้เกียรติ ขุนนางรับใช้กษัตริย์ด้วยภักดี"


บทที่ ๗
  คลองธรรมและปณิธาน - สุจริตธรรมของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

    เว่ยเจิงกล่าวว่า "ปราชญ์หรือผู้เขลา ล้วนมีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง" นี่คือความจริง ไม่ว่าปราชญ์ หรือผู้เขลาไม่ต่างกัน มากนักโดยพื้นฐาน แต่ที่มันต่างกันก็เพราะว่า "ปราชญ์สามารถควบคุมตนเอง ไม่แสดงออกมากเกินไป แต่ผู้เขลาปล่อยตัว ตามอารมณ์จนทำร้ายตนเอง" ปัญหาทั้งหมดอยู่ตรงนี้

    ....ฐานะและอำนาจเป็นมารร้ายล่อลวงคน หากไม่ระมัดระวัง มารร้ายก็จะเข้าสิงสู่.... สังคมแบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน แม้จะเน้นเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาค จำต้องกระจายอำนาจตามความจำเป็นของลักษณะองค์กร แต่การกระจายอำนาจ และรวมอำนาจต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยในตัวมันเอง...
    ...ในสังคมประชาธิปไตย ไม่ว่าข้าราชการหรือพนักงานบริษัทเอกชน ไม่ว่าในองค์กรเดิมหรือองค์กรใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมา
ไม่ได้ขาด ล้วนมีการกระจายอำนาจ  "คนมีอำนาจ" จึงนับวันมีมากขึ้น  อำนาจเมื่อตกอยู่ในมือใครแล้ว ก็ยากที่จะ ไปจำกัดอำนาจนั้น......

    ...ขุนนางที่สามารถใช้จังหวะโอกาสและความสัมพันธ์แบบต่างๆ ได้อย่างเหมาะเจาะแนบเนียน ก็คือ "ขุนนางขี้ฉ้อสอพลอ"  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ขุนนางขี้ฉ้อสอพลอส่วนใหญ่จะอ่านใจจักรพรรดิได้ถูกต้อง จึงรีบทูลถวายแนะนำด้วยวาทศิลป์ดีเยี่ยม ฟังดูสมเหตุสมผลและจับพิรุธไม่ได้ กษัตริยราชหากถูกห้อมล้อมด้วยขุนนางประเภทนี้ ก็จะตกอยู่ในภาวะสุดเลวร้าย ประเทศชาติต้องประสบชะตากรรมอย่างไร ลองคิดดูก็รู้.....

  อุดมคติยิ่งใหญ่ของเว่ยเจิง คือ ตั้งมั่นใน "คลองธรรม" และ "ปณิธาน"


บทที่ ๘
 เป็นตัวของตัวเอง - ไม่เห็นแก่ภูตผี ญาติสนิท มิตรสหาย

    ...ไม่งมงานในไสยศาสตร์....
    ...อย่าให้ครอบครัว เข้ามาวุ่นวายเรื่องส่วนรวม....
    ...มนุษย์เราต้องรู้จักควบคุมตนเอง   ถ้าจะควบคุมตนเอง ต้องมองเห็นและยอมรับความจำเป็นเสียก่อน จะได้เตรียมใจ รับมือกับความอึดอัด มีแต่เช่นนี้เท่านั้น จิตใจจึงจะปกติสุข ไม่กลัวคำครหา...
    ...บริหารบุคลากร โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร...


บทที่ ๙
  เมตตาธรรมและกตเวทิตา - คุณสมบัติของผู้รับช่วง

  ผู้ที่ประสบความรุ่งเรืองฝากชื่อไว้บนแผ่นดินโดยมากคือปฐมกษัตริย์หรือสามาตราชรุ่นแรก  ส่วนผู้ที่ทำให้อาณาจักร
ล่มสลาย ตนเองพลอยสิ้นชื่อ โดยมากก็คือ กษัตริย์หรือสามาตราชผู้รับช่วงต่อ นี่เพราะเหตุใด ?...
    ปฐมกษัตริย์ หรือสามาตราชรุ่นแรกๆ ในยุคสร้างอาณาจักร ด้องเผชิญความยากลำบากและภยันตรายนานัปการ
ด้วยตนเอง รู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของพ่อแม่พี่น้อง  เมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด จึงไม่หยิ่งยโส ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ใส่ใจราชกิจงานเมือง ไม่ละเลยหรือประมาทหย่อนคลายปณิธาน....อย่าง "ฉู่หยวนหวาง" ในสมัยราชวงศ์ฮั่น พระองค์ "จัดเลี้ยงสุราเลิศรส" เพื่อ
ร่วมวงสนทนากับปราชญ์  หรืออย่าง "โจวกงต้าน" ในเวลาทานอาหาร ถ้ามีขุนนางมาขอพบ "จะถ่มข้าวออกจากปาก รีบออก
มาต้อนรับ" ท่านเหล่านี้ "สามารถรับฟังคำตรงอันขัดหู" เป็นที่นิยมยกย่องของราษฎรโดยทั่วไป ยามมีชีวิต สร้างคุณธรรม
อันสูงส่งเป็นแบบอย่างไว้  ยามตายจาก เป็นที่อาลัยระลึกถึงของอาณาประชาราษฎร์ชั่วกาลนาน....
    เมื่อถึงรุ่นลูก-หลานผู้สืบช่วง ซึ่งโดยมากอยู่ในช่วงแผ่นดินสงบ ประสูติในพระราชวังโอฬาร มีสตรีคอยประคบประหงม
จนเติบโต อยู่ในฐานะสูงศักดิ์แต่ไม่รู้ภัยอันตราย ไม่เข้าใจความทุกข์ยากของชาวนาผู้หว่านไถทำกสิกรรม ชอบใกล้ชิดสนิท
สนมคนถ่อยทราม หลีกห่างจากปราชญ์บัณฑิต ลุ่มหลงสุรานารี หยามหมิ่นคุณธรรมความดี ละเมิดจารีตคลองธรรม หมกมุ่น
ในกามราคะ ไม่เคารพราชศาสตร์กฎหมาย ชอบแอบอ้างอำนาจพระราชบิดา....

        "การเลือกทายาท" ในสังคมปัจจุบันซึ่งปราศจากการสืบทอดทางสายเลือดนั้น เป็นปัญหาที่จัดการยากยิ่งกว่า  หาก
เราลองย้อนคิดดู ปัญหาสำคัญอันดับแรกของทายาทคือ ความสามารถและคุณธรรม  ถ้าไม่ได้คนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน
แต่ถ้ามีโครงสร้างที่มั่นคงสมบูรณ์ รากฐานก็จะไม่สั่นคลอนโดยง่าย....


บทที่ ๑๐
คุณธรรม - คุณสมบัติของผู้นำ

    "การเก็บเกี่ยวรักษาดอกผลหลังสร้างอาณาจักร" เป็นเรื่องยากลำบากกว่าการสร้างอาณาจักรมากนัก  ไม่ควรคิดว่า
"ถ้าวางรากฐานได้อย่างดี ต่อไปจะทำอย่างไรก็ได้" หรือเห็นว่า "ถ้าสร้างอาณาจักรได้สำเร็จ ก็อยู่ไปได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็น
ต้องเหนื่อยสมองอีกต่อไป"  ความคิดเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่ออาณาจักรที่ได้สร้างขึ้นแล้ว เพราะหากประมาทเพียง
เล็กน้อย เดินพลาดก้าวเดียว ก็มักจะไม่สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์....
    "แสนยานุภาพทางทหาร สามรถสงบและปกป้องแผ่นดิน นี่คือหน้าที่ของกองทัพ..." หมายความว่า "กระหายสงคราม
ไม่ได้  ไม่เตรียมทำสงครามก็ไม่ได้"  กองทัพจะถูกยุบเลิกทั้งหมดไม่ได้ แต่! จะถูกนำมาใช้บ่อยก็ไม่ได้
    ขงจื๊อกล่าวว่า "ไม่สอนราษฎรสู้รบ ก็เท่ากับทอดทิ้งราษฎร"
  ...เห็นได้ชัดว่า กำลังทหาร แสนยานุภาพทางทหารมีไว้เพื่อป้องกันและรักษาความสงบสุขของแผ่นดิน นี่คือ ปณิธาน
และภาระหน้าที่ของกองทัพ...
  ข้อความทั้งหมดนี้อาจสรุปได้ว่า คือ "หลักยุทธศาสตร์ของกองทัพในการป้องกันประเทศตามอุดมคติของถางไท่จงฮ่องเต้

    เล่าจื๊อ กล่าวว่า "รู้พอไม่อัปยศ รู้หยุดไม่พินาศ"

    ถางไท่จงฮ่องเต้ไม่ใช่กษัตริยราชที่ไร้จุดอ่อนข้อบกพร่องแม้แต่น้อย พระองค์เคยกระทำความผิดพลาดมากมาย แต่
พระองค์ทรงถ่อมใจรับฟังคำทัดทาน คำแนะนำ และคำตำหนิของผู้อื่น ทั้งยังรีบปรับปรุงแก้ไขด้วย  ในโลกนี้จะหาใครไม่
ผิดพลาดเลย เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
    เพียงแต่ว่า "คนผู้หนึ่งเมื่อได้กุมอำนาจ แม้ว่าจะเป็นอำนาจเพียงเล็กน้อยในขอบเขตหนึ่งๆ ก็จะเกิดความรู้สึกว่าตน
เป็นผู้วิเศษวิโส สมบูรณ์หาที่ติไม่ได้ขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เมื่อมีอำนาจมากขึ้น  ความรู้สึกดังกล่าวก็จะขยาย ออกไปเป็นเงาตามตัว..."