สรุปย่อ "นโยบายต่างประเทศที่พึงปรารถนา และแนวความคิดของท่านปรีดี
พนมยงค์" ที่กระผมได้นำเสนอนี้
กระผมเห็นว่า
จะทำให้ผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ การเมืองภายในประเทศของเรา
ได้ข้อมูลข่าวสารที่น่าจะเป็นประโยชน์
ทั้งในแง่ข้อเท็จจริง และรวมทั้งหลักคิดต่างๆ อันน่าสนใจ และได้เข้าใจถึงสามัญชนท่านหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของไทยได้ดียิ่งขึ้นครับ
.... ป้อง๑๙๓๐
ลักษณะของนโยบายต่างประเทศ
๑. เอกราชและความเป็นอิสระ
- เฉพาะประเทศที่มีเอกราชอันแท้จริง แนะนโโยบายต่างประเทศเป็นอิสระเท่านั้นจึงจะสามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศ
ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนได้
- ประเทศไทยแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศเเอกราช แต่ในทางพฤตินัยประเทศไทยก็ตกอยู่ในสภาพประเทศ
กึ่งเมืองขึ้นอยู่ไม่น้อย
- ประเทศมหาอำนาจ รักษาผลประโยชน์ของประเททศและประชาชนของตน โดยอาศัยรูปแบบและวิธีการต่างๆ
รวมทั้ง
การโฆษณาชวนเชื่อ สงครามจิตวิทยา สนับสนุนและจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการขัดขวางการต่อสู้เพื่อเอกราชและ
ประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ
ในที่สุดประเทศเหล่านั้นก็กลายเป็นประเทศอาณานิคมแบบใหม่
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่่ ๖ พระราชนิพนธ์เรื่อง
"อย่าเผลอ"
ไว้เมื่อ
๑๖
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๗ ดังนี้
"เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าเห็นควรเตือนสติเพื่อนไทยกันเองไว้เสียสักทีหนึ่ง คือ
ข้อ ๑ อย่าลืมว่าเราเป็นคนชาติไทย
ข้อ ๒ อย่าลืมว่าชาติไทยต้องเป็นไทยจริงๆ จะยอมอยู่ในความครอบงำ หรืออุปถัมภ์ของชาติอื่นไม่ได้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะประเสริฐเลิศฟ้าปานใด
ข้อ ๓ อย่าลืมว่าคนไทยก็มีสมองคิด จะมอบให้ชนชาติอื่นมาแนะนำให้คิดหรือ
คิดแทนเราไม่ได้
ข้อ ๔ อย่าลืมว่าเมืองไทยเป็นเมืองกำเนิดของเรา บิดามารดา คณาญาติ
ของเราเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะได้รับการศึกษามาจากเมืองต่างภาษา
เมืองใดใดก็ดี รือแม้แต่จะมีการทำมาหากินติดต่อกับ ชาวต่างชาติต่างภาษาใดใดก็ดี
ความภักดีของเราต้องอยู่ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา และในกรุงสยาม
มากกว่าแห่งใดใด ถึงเมืองใด จะมีบุญคุณแก่เราสักปานใด ก็ไม่เท่าบุญคุณที่เมืองไทยมีแก่เรา
เพราะเป็นบ้านเมือง
พ่อแม่ของเรา"
- การรับรู้และตระหนักเป็นอย่างดีของท่านปปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกับสภาพการตกเป็นประเทศกึ่งเมืองขึ้นของประเทศ
ไทยในขณะนั้น
(ก่อนปี พ.ศ.๒๔๘๐) และประเทศไทยจะต้องแก้ไขให้หลุดพ้นจากสภาพประเทศกึ่งเมืองขึ้นเช่นนั้น
แม้ว่า
ท่านปรีดี
พนมยงค์ จะไม่ได้แสดงออกโดยชัดแจ้งในขณะนั้นก็ดี....
- ท่านปรีดี พนมยงค์ เข้าดำรงตำแหน่ง รมว..ต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๘๑
ประเทศไทยได้ดำเนินการ
เจรจากับประเทศมหาอำนาจตะวันตกทั้งหลาย
เพื่อแก้ไขให้ประเทศหลุดพ้นจากการถูกบีบบังคับข้อพันธะที่ไม่เป็นธรรม...
เพียงระยะเวลาไม่ถึง
๒ ปี ประเทศไทยก็สามารถยกเลิกข้อตกลงหรือสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม และขาดความเสมอภาคแก่
ประเทศไทยได้หมดสิ้น
โดยได้ทำข้อตกลงหรือสนธิสัญญาใหม่กับมหาประเทศต่างๆ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ
อิตาลี ฝรั่งเศส
ญี่ปุ่น
เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
- สงครามโลกครั้งที่ ๒.... ท่านปรีดี พนมยยงค์ ได้ดำเนินการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้น
เพื่อขับไล่ศัตรูผู้ยึดครอง
ประเทศ
และให้ประเทศไทยได้กลับคืนมีเอกราชและอิสรภาพดังเดิม ก็เป็นเครื่องแสดงถึงธาตุแท้และจิตใจของท่าน
ที่หวงแหนและพร้อมที่จะต่อสู้เสียสละเพื่อเอกราชและอิสรภาพของบ้านเมือง...
๒. นโยบายที่พึงปรารถนาของใคร
- นโยบายต่างประเทศต้องเป็นที่พึงปรารถนาขของประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
รวมทั้งผลประโยชน์ในทางการเมือง
ให้ตนอยู่ในอำนาจปกครองต่อไป
๓. นโยบายต่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ระหว่างประเทศ
- (ช่วงสงครามเย็น) ประเทศไทยเป็นพันธมิตรรทางทหารกับสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นปฏิปักษ์
กับรัฐบาลจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่อย่างรุนแรง
เริ่มสงครามเย็นและสงครามจิตวิทยา การโฆษณาชวนเชื่อ วาดภาพให้ประชาชน
ได้มองเห็นสาธารณประชาชนจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่เป็นยักษ์เป็นมาร....
- ในที่สุดต่อมาภายหลังจากสถานการณ์ของโลกกเปลี่ยนแปลงไป แผนการและฤทธิเดชของสงครามจิตวิทยา
สงคราม
โฆษณาชวนเชื่อ
และสงครามโดยตัวแทน ไม่ประสบผลสำเร็จ ประชาชาติทั้งโลกก็ยอมรับรัฐบาลของสาธารณประชาชนจีน
ซึ่งมีประชากรถึงหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งโลก.....ประเทศไทยได้ฟื้นฟูมีความสัมพันธ์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจกับ
สาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งตรงกับแนวความคิดที่ท่านปรีดี พนมยงค์ ได้ชี้แนะนำไว้ตั้งแต่ต้น...
๔. นโยบายต่างประเทศสำคัญที่การปฏิบัติ
- นโยบายต่างประเทศ ต้องดูที่การปฏิบัติ สสำคัญกว่าถ้อยคำที่แถลง
- บุคคลภายนอกและเอกชน สามารถสนับสนุนและชช่วยเหลือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศได้
อย่าได้ยึดมั่น
แต่ระบบราชการ
การประสานงาน ความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติตามนโยบายมีความสำคัญยิ่ง ปัญหาการสร้างบรรยากาศ
ความร่วมมือตามชายแดน
ตลอดจนการป้องกันและแก้ไขปัญหาตามชายแดน เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
มีส่วนสำคัญ
ยิ่งกว่ากระทรวงต่างประเทศเสียอีก
ข้อนี้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องตระหนัก...
๕. ใคร? เป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ
- ตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย ผู้ทีี่กำหนดนโยบายต่างประเทศ และควบคุมให้มีการดำเนินการและ
ปฏิบัติตามนโยบาย
ก็คือ ประชาชน...
- เราได้เห็นมาแล้ว ในบางยุคบางสมัย ผู้นำำและรัฐบาลได้นำประเทศและประชาชนไปร่วมในการทำสงครามกับประเทศ
เพื่อนบ้าน
โดยประชาชนมิได้รู้เห็นด้วยเลย และสงครามเช่นนั้นก็ไม่สอดคล้องกับความปรารถนา
และผลประโยชน์ของ
ประชาชนส่วนใหญ่
แต่เป็นผลประโยชน์ของมหาประเทศที่เราเข้าไปร่วมอยู่ในสงครามโดยตัวแทน
- ...แม้ว่าจะมีคณะกรรมาธิการต่างประเทศขอองสภาผู้แทนราษฎรเป็นกลไกในการควบคุม
ติดตาม ตลอดจนการเสนอ
คำแนะนำต่อรัฐบาลในด้านนโยบายต่างประเทศ
แต่ก็ยังมีบทบาทอยู่น้อยมาก
- สรุปแล้ว การกำหนดนโยบายต่างประเทศและกาารดำเนินการปฏิบัติตามนโยบาย ตกอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล
และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
- อีกประการหนึ่ง... การยกร่างนโยบายของรััฐบาลที่จะไปแถลงต่อสภานั้น ในทางปฏิบัติจริงๆ
ข้าราชการประจำ คือ
ปลัดกระทรวง
อธิบดี เป็นผู้ยกร่างเสนอรัฐบาล โดยอาศัย "อัตวิสัย" คือ อาศัยทัศนะของตัวเอง
เอาความรู้สึก แนวความคิด
ของตนเป็นที่ตั้ง
แทนที่จะอาศัยวิธี "ภาวะวิสัย" ที่เป็นจริง
เป้าหมายพื้นฐานของนโยบายต่างประเทศที่ประชาชนปรารถนา
ข้อ ๑ ไม่ต้องการสงคราม
- ค่าใช้จ่ายในกรณีสงครามไทย-ลาว ที่บ้านรร่มเกล้า ประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านบาท ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
ในพื้นที่จำกัด
ถ้าเกิดสงครามใหญ่ทั้งประเทศ
ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามจะเป็นจำนวนมหาศาลเพียงใด...
- นโยบายต่างประเทศและการดำเนินการปฏิบัติินโยบายต่างประเทศอันเป็นพื้นฐานสำคัญของประชาชน
คือ
การไม่มีสงครามในประเทศเราเองและประเทศอื่นๆ
ไม่สนับสนุนสงครามหรือเตรียมสงคราม ไม่มีการเผชิญหน้ากันทาง
กำลังทหาร
ยึดมั่นในการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ไม่ยอมให้ดินแดนของตนต้องตกเป็นฐานกำลังและการปฏิบัติการทางทหาร
ของประเทศอื่น....
- เมื่อประเทศไทยใช้กำลังเรียกร้องและยึดเเอาดินแดนคืนจากฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนในขณะที่ฝรั่งเศสกำลังพ่ายแพ้
ต่อฝ่ายอักษะในสงครามยุโรป
ท่านปรีดี พนมยงค์ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในการใช้กำลังทหารเข้าแก้ปัญหาโดยฉวยโอกาสใน
ขณะที่ฝรั่งเศสกำลังเพลี่ยงพล้ำเช่นนั้น
ควรจะได้อาศัยการเจรจากันโดยสันติวิธี...
ท่านปรีดี พนมยงค์ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในการนำประเทศเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่น
จึงได้จัดตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อ
กอบกู้เอกราชของประเทศ....
เมื่อสงครามมหาเอเซียบูรพายุติลง ซึ่งว่าตามจริงและกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว
ประเทศไทยย่อมตกอยู่ในฐานะ
ประเทศผู้แพ้สงคราม
ท่านปรีดี พนมยงค์ ก็ได้รีบแก้ไขสถานการณ์เพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกอยู่ในฐานะผู้พ่ายแพ้สงคราม
โดยได้ดำเนินการติดต่อเจรจากับฝ่ายพันธมิตร
เพื่อให้ประเทศไทยกลับคืนสู่สถานภาพเดิมก่อนประกาศสงคราม ให้บ้านเมือง
กลับสู่สันติภาพดังเดิม
ข้อ ๒ อยู่ร่วมกันโดยสันติกับประเทศเพื่อนบ้าน
- เคารพสิทธิของแต่ละประเทศที่จะดำรงอยู่โโดยปราศจากการแทรกแซงและคุกคามจากภายนอก
ไม่แทรกแซงใน
กิจการภายในของกันและกัน
ทั้งละเว้นดำเนินการบ่อนทำลายต่อกัน ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ระงับข้อขัดแย้งโดยสันติ
วิธีตามกฎบัตรสหประชาชาติบนมูลฐานแห่งความเสมอภาค
ละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลังต่อกัน และไม่ยอมให้ผู้อื่นใช้ดินแดน
ของตนเป็นฐานทัพเพื่อแทรกแซง
คุกคาม หรือรุกรานประเทศอื่นไม่ว่าในรูปแบบใด ราษฎรมีความผูกพันกันมานาน ปรารถนา
ที่จะอยู่ด้วยกันด้วยความสงบสุข
ทำมาค้าขายและติดต่อกันเป็นปกติ...
- ในทางภูมิศาสตร์และที่ตั้งของประเทศไไทยกับประเทศลาว เวียดนาม และกัมพูชา
เราต้อง อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม...ในฐานะที่เป็นประเทศที่อยู่ใกล้เคียงอาณาเขตติดต่อกัน
ย่อมจะมี ปัญหาร้อยแปดประการเกิดขึ้น เช่น ปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดน ฯลฯ
ถ้าประเทศคู่กรณีไม่พูดจากัน ไม่ติดต่อกัน แล้วจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ข้อ ๓ นโยบายอิสระ
- เป็นอิสระทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หลลุดพ้นจากการถูกครอบงำทางปัญญา ความคิดจากต่างชาติ
รักษาผล
ประโยชน์ของประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ
การรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศไม่มีอะไรผูกพันอยู่กับประเทศหนึ่งประเทศใด
และความช่วยเหลือนั้นต้องไม่มีพันธะ
ความร่วมมือกันกับต่างประเทศอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค ยุติธรรม และ
ผลประโยชน์ร่วมกัน
ไม่ใช่นโยบายที่ท่านปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า "นโยบายภิกขาจาร" ทำให้ชาติไทยเสียศักดิ์ศรีในสายตาของ
ชาวโลก
- บางคนอาจคิดว่า การดำเนินการเช่นนั้นนเท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับมหาประเทศ...
เจตนาของเรา หาเป็นเช่นนั้นไม่ เรายังคงต้องการมีความสัมพันธ์อันดี ความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า
และความช่วยเหลือจากทุก
ประเทศ
สิ่งที่เราต้องการ คือเราไม่ปรารถนาจะถูกชักจูง ชักนำ... เราต้องการเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
ข้อ ๔ ร่วมมือกับประเทศต่างๆ
- มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าขายติดตต่อกับต่างประเทศ โดยมูลฐานผลประโยชน์ร่วมกัน
ไม่คำนึงถึง
ข้อแตกต่างในระบอบการปกครอง
การเมือง และเศรษฐกิจ
- ...ในยุคสงครามเย็น ประเทศไทยไม่สามารถสส่งสินค้า เช่น ข้าว ยางแผ่น น้ำตาลทราย
แร่ดีบุก ไปขายใน
สาธารณรัฐประชาชนจีนได้
นขณะที่มาอำนาจตะวันตกบางประเทศเขาส่งรถบรรทุกและยานพาหนะไปขายให้สาธารณรัฐ
ประชาชนจีนได้.... การดำเนินนโยบายต่างประเทศกับ ลาว เวียดนาม และกัมพูชาในเวลาต่อมา
โดยการระงับการค้าขายกับ
ประเทศ
เหล่านั้นโดยเชื่อว่าจะทำให้ประเทศเหล่านั้นอ่อนเปลี้ยและยอมจำนนในที่สุดนั้นก็เข้าทำนองเดียวกัน
ซึ่งในทาง
เป็นจริงไม่มีผลประการใด
นอกจากสร้างความบาดหมางและขัดแย้งกันขึ้น...
ข้อ ๕ สร้างความมั่นคง
- ความสัมพันธ์ ความเข้าใจอันดี และการอยูู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านโดยสันติ
ย่อมเป็นทางหนึ่งที่นำมาซึ่ง
ความมั่นคงของบ้านเมืองและประชาชน
นโยบายที่ใช้กำลังทหารเข้าแก้ปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน มีแต่จะสร้างความ
ขัดแย้งและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ความพยายามเกี่ยวกับการปรับปรุงความสัมพันธ์กับประเทศอินโดจีน
- ช่วงสงครามเย็น... ประชาชนของประเทศเหล่่านั้น เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมประเทศไทยจึงปฏิบัติการเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา
ทั้งๆที่ฝ่ายเขาไม่เคยปฏิบัติการเป็นปฏิปักษ์เข่นฆ่าประชาชนคนไทยเลย....
- การฟื้นฟูความสัมพันธ์.... สิงหาคม พ.ศ..๒๕๑๙ ท่านพิชัย รัตตกุล รมว.ต่างประเทศสมัยรัฐบาล
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เดินทางไปประเทศลาว และเวียดนาม เพื่อเจรจาและตกลงกับรัฐบาลทั้งสองประเทศ
เพื่อปรับปรุงฟื้นฟูความสัมพันธ์ กับประเทศทั้งสองบนมูลฐานการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
- ภายหลังจากการเริ่มต้นติดต่อเพื่อฟื้นฟููความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่นานนัก ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน
ประเทศไทยขึ้น
ความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศในอินโดจีนก็หยุดชะงักไปชั่วระยะหนึ่ง
จนมาถึงสมัย
รัฐบาลท่าน
พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๒๐ ประเทศไทยได้พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศ
ในอินโดจีนทั้งสามอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง....
แนวความคิดของท่านปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและสงครามอินโดจีน
- ต่อความหวาดผวา กลัวการเปลี่ยนแปลงในประะเทศอินโดจีนจะตามมาเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น
จะมีเฉพาะในหมู่
เศรษฐีเจ้าสมบัติที่คิดจะนำเงินออกนอกประเทศ
เพราะเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะกระทบกระเทือนกับผลประโยชน์
ส่วนตัว
- การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดดจีน คือ ลาว เวียดนาม และกัมพูชานั้น
เกิดจากกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงของ
สังคมมนุษยชาติ....
เป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎแห่งความเป็นอนิจจังของสังคมมนุษย์ ไม่มีผู้วิเศษใดจะต้านทานได้
- แนวความคิดของท่านปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกกับการที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปทำสงครามในประเทศอินโดจีนและประเทศไทย
เข้าไปร่วมด้วยนั้น
ท่านปรีดี พนมยงค์ได้มีความเห็นคัดค้านไม่เห็นด้วยในนโยบายนั้นตลอดมาแต่ต้น
ท่านได้เขียนบทความ
และให้สัมภาษณ์
"ให้ประเทศไทยหยุดการเข้าร่วมกับสหรัฐฯ ในการทำสงครามปราบปรามประชาชนในอินโดจีนที่ต่อสู้เพื่อ
เอกราชและอิสรภาพของเขา"
ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ยึดมั่นในธรรมะของพระพุทธองค์ ท่านได้ประนามการทำสงคราม
ครั้งนั้น
คนอเมริกันเองจำนวนนับไม่น้อยก็ลุกขึ้นคัดค้าน จนในที่สุดสหรัฐฯ ซึ่งยอมรับฟังเสียงของประชาชน
ได้ถอนทหาร ทั้งหมดออกจากประเทศในอินโดจีน...
ปาฐกถานี้
มิได้มีเจตนาที่จะตำหนิติเตียนหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นเพียงต้องการให้ข้อมูล
และแนวความคิด เพื่อประกอบการพิจารณาในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ
ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้สอดคล้องกับความปรารถนาและ "ผลประโยชน์ของประชาชนคนไทย"
อันแท้จริง
ภาคผนวก
สถาบันพระมหากษัตริย์
กับรัฐบุรุษอาวุโส
ปรีดี พนมยงค์
- อาจารย์ปรีดี คือ ผู้พยายามพิทักษ์สถาบัันพระมหากษัตริย์... จะเป็นตรงข้ามกับความพยายามสร้างภาพให้สังคมไทย
เข้าใจไปว่า
อาจารย์ปรีดีเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์....
- แม้แต่ประสบการณ์ตรงก็อาจจะหลอกเราได้..... เช่น ประสบการณ์โดยตรงกับพื้นผิวโลก
จะทำให้เราคิดว่าโลกแบนเพราะ
เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน
เราจะสรุปว่ามันแบน แต่การประมวลความรู้โดยอาศัยหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าโลกกลม
จาก
ประสบการณ์ตรงจะคิดว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก
เพราะเราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกเช้า และตกทางทิศ
ตะวันตกอยู่ทุกเย็น
มนุษย์จะเชื่อเช่นนั้นว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก แต่การประมวลความรู้โดยหลักฐานต่างๆ
สามารถสรุป
ได้ว่า
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ฉะนั้น "ประสบการณ์ตรงอาจทำให้เราเข้าใจผิดได้
แต่การประมวลความรู้โดย อาศัยหลักฐานต่างๆ ทำให้เรารู้ความจริง"
- เรื่องท่านอาจารย์ปรีดี เช่นกัน ไได้มีผู้จงใจสร้างภาพว่าท่านเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่การประมวล
ความรู้โดยอาศัยหลักฐานต่างๆ
จะพบความจริง ซึ่งตรงกันข้ามคือ ท่านเป็นผู้ที่พยายามที่จะพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์
ทั้ง
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงที่ท่านมีอำนาจทางการเมืองและในช่วงที่ท่านไม่มีอำนาจแล้ว...
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้ทรงตอบแทนคุณงานความดีของท่านอาจารย์ปรีดี
ด้วยการทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ
สถาปนาให้ดำรงตำแหน่ง "รัฐบุรุษอาวุโส" เป็นคนแรกและคนเดียวของประเทศไทย
- ท่านรัฐบุรุษอาวุโส เป็นตัวอย่างของสามััญชนคนไทยที่มีความรักชาติบ้านเมืองอย่างแรงกล้า
พยายามเรียนรู้จนเกิดปัญญา
ใช้ปัญญาทำงานเพื่อประเทศชาติ
ดำรงตนอยู่ในความสุจริต ถูกต้อง มีความกล้าหาญ เป็นกำลังสำคัญในการก่อให้เกิด
ประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ เชิดชู และพยายามพัฒนาระบอบประชาธิปไตย
ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
หัวหน้าขบวนการเสรีไทย นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาบ้านเมืองไว้ในยามคับขัน
ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น
นับว่าอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นคนดีศรีสยามโดยแท้...
สังคมไทย
ควรจะล่วงพ้นการคิดอย่างขาดวุฒิภาวะ หรือคิดอย่างเด็กๆ ว่า
ถ้ารักคนนี้ต้องไม่รักคนโน้น
การคิดแบบแยกข้าง
แยกพวก ได้ทำลายสังคมไทยมามากเกินแล้ว
ควรจะปรับเปลี่ยนวิธีคิดมาเป็นการคิดแบบเชื่อมโยงเป็นบูรณาการ
ได้มี "คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี" ที่ ๓๖๑/๒๕๔๐ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานฉลอง
๑๐๐ ปี รัฐบุรุษอาวุโส
ศาสตราจารย์
ดร.ปรีดี พนมยงค์ ลงนามโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี และ "คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี"
ที่
๑๔๕/๒๕๔๑ และที่ ๔๗/๒๕๔๒ เรื่อง แต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการจัดงานฉลอง
๑๐๐ ปี รัฐบุรุษอาวุโส
นายปรีดี
พนมยงค์ และคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ ลงนามโดย นาย ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี