- จงปฏิบัติจิตตรงจิตนี้ ดูตรงนี้ด้วยสติปัญญา และตัดเชื้อความเกิดกันที่ตรงนี้
- การบอกให้ปล่อย(กิเลส)เฉยๆ ไม่เกิดผล ต้องปัญญาเป็นผู้พาให้ปล่อย เมื่อเข้าใจแล้วก็ปล่อย
** - ถ้าปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว คนเราจะไม่ได้บ่นเรื่องความทุกข์ ความลำบาก จะยอมดำเนินตนไปตามเหตุผล คือ หลักธรรม ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ จนก็ยอมรับว่าจน มี ได้มา เสียไป เป็นธรรมดา
-
การฝืนไม่คิดในอารมณ์ไม่ดี ด้วยการหักห้ามความคิดปรุงของใจ ด้วยสติ สกัดกั้นด้วยปัญญา
แม้จะลำบาก ผลที่ปรากฎคือ
ความสงบ
ย่อมเป็นที่หวังได้
- เมื่อไม่อยากทุกข์ ก็คิดทำไมเล่า ในสิ่งที่จะเป็นทุกข์ ฝืนคิดทำไม ก็เพราะความไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์
*
- เราจะไปคิดว่า "อยู่ที่นั่นจะดี อยู่ที่นี่จะดี" ถ้าธาตุขันธ์มันเป็นภัยอยู่แล้ว
หาอะไรดีไม่ได้ ถ้าจิตยังเป็นภัยอยู่แล้ว หาอะไร
สุข
เจริญ ไม่ได้ ต้องแก้ไขที่นี่ (จิต)
- ... ฆ่ากิเลสด้วย "ความเพียร" นั่นเอง เพียรอย่างไม่ท้อถอย ติดตามเรื่อยๆ กิเลสออกช่องไหน ตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆ...
-
ไม่มีอันใดที่จะทำให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายยิ่งกว่า
"ความโกรธ" ที่เกิดขึ้นภายในใจเรา ทำลายเราก่อน
แล้วถึงไปทำลาย
คนอื่น
- ผู้ปฏิบัติที่ต้องการเรืองอำนาจเหนือกิเลส ต้องทำแบบนี้ คือ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย...
- ปฏิบัติให้รู้วิถีจิต ที่เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสอาสวะ อันเป็นตัว "สมุทัย"
- ใจ ถูกบีบ ถูกผูก ถูกมัด ถูกจำจองอยู่ที่ตรงไหน จงแก้มันด้วยสติปัญญา ฟาดฟันลงไปที่ตรงนั้น
- เมื่อมีสติแล้วจะรู้ความกระเพื่อมของจิต..... คอยกำกับไม่ให้มันโผล่ขึ้นมาได้ ตีด้วยบทธรรมให้ถี่ยิบลงไป เช่น "พุทโธ พุทโธ " เป็นต้น แล้วจิตจะมีความสงบ
-
สติ
มีความระลึกแล้วดับไป
ปัญญา
คือ ความสอดส่อง ความใคร่ครวญ
อนิจจัง
เป็นแผนที่ของปัญญา
ทุกขัง
อนัตตา เป็นแนวทางเดินของปัญญา จึงเรียกว่า
"หินลับปัญญา"
- เมื่อไม่มีที่พิจารณาจริงๆ ก็ต้องย้อน "จิต" เข้ามาพิจารณา
- การบ่น เพื่อระบายทุกข์ เป็นการเพิ่มพูนกิเลสขึ้นเสียอีก
- โกรธใคร ก็พึงย้อนจิตเข้ามาดูตัว ผู้กำลังโกรธ อันเป็นต้นเหตุไม่ดี เป็นต้น คนเราย่อมจะเห็นโทษของตัว ความโกรธก็ระงับไป ไม่ใช่ไปเพ่งเล็งผู้ถูกโกรธ
- ดูภายนอกแล้ว ก็ย้อนทบทวนเข้าดูภายใน จึงชื่อว่า "เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม"
** - แม้เวทนาเกิดขึ้น มันก็ไม่เกิดเฉพาะเวทนาเท่านั้น กิเลสมันเกิดด้วย ถ้าสติไม่มี ทำให้เกิดความเดือดร้อน เสียใจ เพราะเป็นทุกข์ที่นั่น เจ็บปวดที่นี่ ความเสียใจนั้นเกิดจาก ความหลงขันธ์ หลงอายตนะ ว่าเป็นตน เป็นของตน กิเลสจึงเกิดขึ้นตรงนี้ ความทุกข์ทางใจจึงเกิดขึ้นได้
- การแก้กิเลส คืออย่างไร ? อะไรเกิดขึ้น ก็ให้รู้เรื่องความเกิดขึ้นของสิ่งนั้น เจ็บก็ให้ทราบว่ามันเจ็บขนาดไหน จะรู้ให้ถึงความจริงขนาดนั้น เรื่องของความเจ็บ เป็นอันหนึ่งต่างหาก / ผู้รู้เจ็บ เป็นอันหนึ่งต่างหาก จะตายก็ให้ทราบถึงขณะตาย อันไหนตาย ก็ให้มันตายไป
- กิเลสก็คือ ความสำคัญมั่นหมายต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากจิตดวงเดียว แก้ให้ทันกับเหตุการณ์ที่ปรากฎขึ้น
- การแก้กิเลส การแก้ความไม่ดีภายในตัว ภายในใจ จึงต้องทำด้วยความ "จดจ่อใจ" ทำด้วยความอุตส่าห์ พยายาม ทำด้วยความปักจิตปักใจ จงใจจริงๆ ทำด้วยความพากเพียรจริงๆ
-
จงพิจารณาให้เห็นความจริงของ "เวทนา" แม้ทุกข์มากน้อยเพียงไร ก็ให้รู้ เอา
"จิต" กำหนดอยู่ตรงนั้น พิจารณาอยู่ตรงนั้น จนรู้ความจริงของเวทนา
"จิต"
เป็นธรรมชาติรู้ "เวทนา" เป็นสิ่งที่แสดงขึ้น
- พยายามฝึกตัวให้มีความเฉลียวฉลาด ทันกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ตลอดสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อใจของตน
- ปัญหาอันใหญ่ ก็คือ เรื่องของเราที่จะฟิตตัวให้มีสติปัญญาทันกับกลมายาของกิเลส ซึ่งมีร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม ร้อยสันพันคมภายในใจ ให้ขาดลงไปโดยลำดับๆ
- การแก้ไขเพื่อไม่ให้มีอะไรกวนใจ ก็คือ การระวังด้วยสติ
- คนมีสติดี ย่อมทราบทุกขณะจิตที่เคลื่อนไหว
- เรียนให้ทราบ "วิถีของจิต" ซึ่งพร้อมจะติดอยู่เสมอ
- คนจะล่วงพ้นจากทุกข์ไปได้โดยลำดับๆ เพราะ ความเพียรพยายาม เป็นหลักใหญ่ ผู้พ้นจากทุกข์ เพราะความเพียร ไม่ใช่เพราะความอยากพ้นเฉยๆ
- การภาวนา ก็เพื่อให้รู้เรื่องความคะนองของใจ
- ปิดเสีย 5 ทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือไว้แต่ใจ เพียงช่องเดียว แล้วให้มีสติรักษาอยู่ที่ใจ แห่งเดียว
-
จงตั้งข้อสังเกตดูให้ดี ว่า อารมณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้นที่ จิต แห่งเดียว เมื่อเรามีสติจ้องมองดูอยู่ตลอดเวลา
ไม่ประมาท ก็จะจับ จิต และ
ความคิดปรุงแต่งของจิต
ได้
- จงจำให้ถึงใจ ปฏิบัติให้ถึงธรรม