ภาค 2  เรา กับ จิต

 - จะฝึกจิต ต้องฝืน    ....... เราต้องฝืนความชอบใจ

 - ถ้าเราฝืน ก็แสดงว่าเรา เห็นโทษ แห่งความไม่ดีนั้น และฝืนให้หลุดพ้นจากความไม่ดี หรือ ทำลายความไม่ดีโดยลำดับ
     ** - ฝืนตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงที่สุด จนหาสิ่งที่ให้ฝืนไม่ได้

 - เมื่อเราเคยฝืนเสมอๆ เคยต่อสู้ต้านทานมันเสมอ  และเคยได้รับชัยชนะมาแล้ว สิ่งนั้นจะมาชนะเราอีกไม่ได้  เราได้ชัยชนะโดยลำดับ

 - ความสุขอันพึงหวังนั้น เราจะไปหาที่ไหนในโลกนี้  มันก็เพียงผ่านๆไป .....ผ่านมาชั่วขณะๆเท่านั้น แล้วก็ผ่านไป  ไม่เป็นความสุขที่จิรังถาวรอะไรเลย

 - จิต ไม่อยากคิดไปในอรรถในธรรม  เราต้องบังคับให้คิด

 - ให้พยายามระงับจิต อย่าปล่อยให้คิดมากเกินไป  ......ต้องหักห้ามด้วยการฝืนใจ

     ** - การภาวนานั้นแหละ คือเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตจิตใจของเรา
     **  - ไปที่ใด อยู่ที่ใด ก็ไม่วุ่นวาย  เมื่อหัวใจไม่วุ่นวายเสียอย่างเดียว

 - มันร้อนที่จุดไหน กำหนดดูที่มันร้อนนั้น มันวุ่นวายที่ตรงไหน กำหนดดูที่มันวุ่นวายนั้น  ตั้งสติจ่อเข้าไป ที่ตรงนั้น

 - พิจารณา...... โดยแยกส่วน แบ่งส่วนออกไป ย่อมเป็นการถอดถอนกิเลส คือความสำคัญนั้นๆให้เบาบางลง จนกระทั่งความสำคัญเหล่านี้หมดไป

 - เมื่อทุกข์ไม่ดับ และมันจะตายไปด้วยกัน ก็ให้มันตายไป จิต ยังไงมันก็ไม่ตายแน่นอน  อย่ากลัวทุกข์กลัวตาย

 - ความหมดทุกข์ หมดที่ใจ  ร่างกายมี ก็เป็นเรื่องของมัน จะเป็นไรไป  มันมีของมันอยู่จนะทั่งวันสลาย .......ยังเป็นอยู่ เดี๋ยว
แสดงนู้น เดี๋ยวแสดงนี้ เดี๋ยวเจ็บท้อง เดี๋ยวปวดหัวไหล่ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดนี้ปวดนั้น อยู่ยังงั้น  เรื่องของขันธ์ไม่มีเวลาเป็นปกติสุขได้  เราอย่าไปสำคัญมั่นหมายมัน ........มันจะแตก ก็แตก  ยิ้มกับมันได้   เพราะไม่มีอะไรจะมาทำลายใจได้

      ** - พยายามทำจิตให้มีความสงบแน่วแน่ลงไปเป็นลำดับ  ด้วยการภาวนากับบทธรรม  เจริญแล้วเจริญเล่าจนมีความชำนิชำนาญ กระทั่งจิตสงบได้ตามความต้องการ  .....พอจิตสงบเย็น พอตั้งตัวได้บ้างแล้ว หรือตั้งตัวได้แล้ว จากนั้น ท่านสอนให้พิจารณา คลี่คลาย ดูอาการต่างๆของร่างกายอันเป็นที่ซุ่มซ่อนของกิเลส ....... การละ การตัดกิเลสประเภทต่างๆที่แทรกสิงอยู่ในกาย ในขันธ์นั้น ท่านละ  ท่านถอน ด้วยสติปัญญา  ส่วนความสงบของจิต หรือ "สมาธิ"
นั้น เป็นเพียงการรวมตัวของกิเลส เข้ามาสู่วงแคบเท่านั้น  มิใช่การละ การถอนกิเลส

      ** - ความเพียรขณะนี้ ไม่ว่าทุกอิริยาบทเเสียแล้ว  แต่กลายเป็น ทุกขณะที่จิตกระเพื่อมตัวออกมา  สติปัญญาต้องรู้ ทั้งขณะที่กระเพื่อมออก  รู้ทั้งขณะที่ดับไป   เรื่องราวที่จะเกิดขึ้น ขณะที่จิตปรุงแต่ง และสำคัญมั่นหมาย จึงไม่มี .........พอกระเพื่อมก็รู้ รู้แล้วก็ดับ เรื่องราวไม่เกิด ไม่ต่อ
  - การพิจารณาธรรม  ในขั้นที่ควรแคบ ก็แคบ  ในขั้นที่ควรกว้าง ก็ต้องกว้างขวาง ......ใจของนักปฏิบัติธรรม ที่ควรให้อยู่ในวงแคบ ก็ต้องจำกัดให้อยู่ในวงนั้น  เช่น การอบรมในเบื้องต้น จิตมีแต่ความว้าวุ่น ขุ่นมัว อยู่ตลอดเวลา หาความสงบสุขไม่ได้ จึงต้องบังคับให้จิตอยู่ในวงแคบ  เช่นให้อยู่กับคำบริกรรม "พุทโธ" หรือ ลมหายใจ เข้า ออก เป็นต้น เพื่อจะตั้งตัวได้ ด้วยบทบริกรรม ........เมื่อจิตได้รับความสงบ เพราะธรรมบทนั้นๆพอเป็นปากเป็นทางแล้ว ก็เริ่มพินิจพิจารณา ......... เมื่อถึงกาลอันควรที่จะพักจิตด้วยสมาธิภาวนา ก็กำหนดทาง "สมถะ" ด้วยบทธรรม ดังที่เคยทำมาแล้ว โดยไม่ต้องสนใจทางด้านปัญญา แต่อย่างใด  ในขณะนั้นตั้งหน้า ตั้งตาทำความสงบด้วยธรรม บทที่เคยเป็นคู่เคียงของใจ........

 - จิตที่มีภูมิ ควรพิจารณาธรรมขั้นภายในแล้ว ก็ต้องถือเอาสังขารนั้นเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา ......การที่จะ "คว่ำอวิชชา" ให้ล่มจมลงไปได้  ก็ต้องสืบทอดไปจากการพิจารณา "สังขารภายใน" เป็นสำคัญ

 - ความลุ่มหลง จะไปติดอยู่ในสถานที่ต่างๆของผู้ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาก่อน หรือเคยอบรมแต่ยังไม่สมบูรณ์  จึงมักหลง และติดได้   ไม่เลือกกาลสถานที่ ที่ใจมีความคิดปรุงแต่งได้  สำคัญมั่นหมายได้  รักได้ ชังได้  เกลียดได้  โกรธได้  ทุกกาล สถานที่  และอริยาบถ ต่างๆ

 - การปฏิบัติ เราอย่าไปคาด วันนั้น เดือนนนี้ ปีนั้น  ซึ่งจะทำให้เรามีความท้อถอย อ่อนแอ ท้อใจ แล้วหมดกำลังใจไปด้วย

 - เราอย่าไปท้อถอยในเรื่องความทุกข์ อย่าไปอ่อนใจในเรื่องความทุกข์

 - เพื่อให้เห็นความจริงของทุกข์ ทุกด้าน   จะเกิดในด้านใด ส่วนใดของอวัยวะ หรือจะเกิดขึ้นภายในจิต ก็เรียกว่า "ทุกข์" เช่นเดียวกัน
 - จงพิจารณาลงที่จิต  "เอาจิตเป็นสนามรบ"

 - พิจารณา ..... เราเอาเสียง เอากลิ่น เอารส เป็นสนามรบ  พิจารณาด้วยปัญญา ผ่านเข้ามาถึงขั้นเอา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสนามรบ  พิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวางไปตามเป็นจริง  ......กิเลส มันไม่มีที่ซ่อน ก็วิ่งเข้าไปอยู่ในจิต  ต้องเอาจิตเป็นสนามรบอีก

 - พิจารณาทุกขเวทนา  ประการแรก เฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือ ขณะที่นั่งมากๆ เกิดความเจ็บปวดมาก   นักรบต้องรบในเวลามีข้าศึก  ทุกขเวทนาคือ ข้าศึกของใจ .......เวทนาก็ไม่ใช่อันเดียวกันกับกาย กายก็ไม่ใช่อันเดียวกันกับเวทนา  กายกับจิต ก็ไม่ใช่อันเดียวกัน ต่างอันต่างจริงของเขา........ประการที่สอง แม้เวทนาไม่ดับก็ตาม นี่หมายถึงเวทนาทางกาย  แต่ก็ไม่สามารถทำความ กระทบกระเทือนให้แก่จิตได้  สุดท้าย ใจก็มีความสงบ ร่มเย็น สง่า ผ่าเผย อยู่ในท่ามกลางแห่งทุกขเวทนา ......ทุกขเวทนา เกิดร้อยครั้ง พันครั้งในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ก็ดับร้อยครั้ง พันครั้งเหมือนกัน จะจิรังถาวรที่ไหน เป็นความจริงของมันอย่างนั้น........

 - จงทราบว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  เป็นอาการหนึ่งๆของจิต ที่แสดงออกเท่านั้น  เมื่อจิตพิจารณาหลายครั้งหลายหน ไม่หยุดไม่ถอย ความชำนิชำนาญในขันธ์ห้าจะปรากฎขึ้น......พอรู้เท่าก็ปล่อยวาง ถ้ายังไม่รู้เท่ามันก็ยึด   .....พอรู้เท่าก็ปล่อย เห็นแต่จิต กระเพื่อม ไม่มีสาระอะไรเลย คิดดีขึ้นมา ก็ดับ   คิดชั่วขึ้นมา ก็ดับ คิดอะไรๆขึ้นมา ขึ้นชื่อว่าสังขารปรุงแล้ว ดับด้วยกันทั้งนั้น ร้อยทั้งร้อย ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้นาน

 - การบ่นนั้น เหมือนกับเป็นการระบายทุกข์  ความจริงไม่ใช่การระบายทุกข์  มันกลับเพิ่มทุกข์

 - สติ เป็นสำคัญให้ความรู้นั้นจดจ่ออยู่กับงาน  แล้ว ปัญญา เป็นผู้คลี่คลาย ดูสิ่งนั้นๆที่ความรู้กำลังจับ  กำลังจดจ้องดู สิ่งที่กำลังสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่นั้น จนเป็นที่เข้าใจ

 - เวทนา เกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป...... มันเกิดขึ้จากจิต ดับไปที่จิต  เป็นอาการของจิต เท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวจริงของจิต  ......ถ้าลงเป็นตัวจิตจริงๆแล้ว มันแก้กันไม่ออก มันแยกกันไม่ได้ระหว่างเวทนากับจิต  แต่นี่เป็นของที่แยกกันได้โดยไม่ต้องสงสัย

 - จิตที่บริสุทธิ์ แม้จะมีความคิด ความปรุงแต่งต่างๆตามหน้าที่ของขันธ์ ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสเป็นผู้ผลักดันให้คิด ให้ปรุงอะไรทั้งสิ้น

 - จิต ไม่กล้าจะคิด เพราะ สติ คอยบังคับบัญชาอยู่เสมอ  นั่นแล คือ ความเพียร .....หักห้ามใจ ทำความรู้สึกนึกคิดต่างๆด้วยสติ   คิดออกมา ประเภทใด สติคอยรับรู้ ปัญญาก็คอยตัดฟัน คอยหักห้าม ด้วยเหตุผล จิตจะเหนือเหตุผลไปไม่ได้  ย่อมจะก้าวเข้าสู่ความสงบได้อย่างสบายๆ...

 - อำนาจแห่งสมาธิ ที่สงบหลายครั้งหลายหนจนกลายเป็นการสร้างฐานมั่นคงขึ้นมา

 - การทำความเพียรนั้น ต้องทุ่มเทกัน จนบางครั้งต้องมอบชีวิตจิตใจลงไป เพื่อแลกกับธรรม  ตายเป็นตาย ไม่ตายก็ให้รู้ ไม่ตายให้ชนะ    จิต เมื่อได้ทุ่มเทลงถึงขนาดนั้นแล้ว   กิเลส มันอ่อนข้ออย่างเห็นได้ชัด

 - อย่าไปคิดทางอื่น เรื่องอื่น นอกจากเรื่องของตัวให้เสียเวลา และทำให้จิตท้อถอย อ่อนแอไปด้วย

 - การกำหนดลมหายใจเข้าออก  เราไม่ต้องไปคิดว่า "ลมสั้น หรือ ยาว"  หายใจเข้า หายใจออก ไปถึงไหนบ้าง  ไม่ต้องไปตามลมเข้า และออก  ขอให้รู้อยู่กับความสมผัสของลม ที่ไหนลมสัมผัสมากเวลาผ่านเข้าออก  ส่วนมากก็เป็น "ดั้งจมูก"  จงกำหนดไว้ที่ตรงนั้น ให้มี "รู้"อยู่ตรงนั้น อะไร จะเป็นอย่างไร ก็ให้รู้ เฉพาะลมที่เข้า ออกนี้เท่านั้น ไม่ต้องส่งไปทางไหน

 - ความตาย ก่อนที่จะตายแต่ละร่าง ละร่าง แต่ละคน ละคน ทุรนทุรายเอาการ จนกระทั่งทนไม่ไหว แล้วก็ตายไป นี้เป็นความทุกข์ บางรายถึงกับไม่มีสติประคองตัว ตายอย่างเอนจอนาถราวกับสัตว์ตาย  ทั้งนี้เพราะขาดการเอาใจใส่ทางจิตทางธรรม จึงทำให้คนทั้งคน หมดความหมาย ตายแบบล่มจม

 - ความเกิด ก็เป็นความทุกข์ ในขณะที่เกิดขึ้นมาทีแรก  แต่เราไม่รู้เฉยๆ มันรอดตาย ถึงได้เป็นมนุษย์....

 - การพิจารณาเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้  ก็เพื่อจะสลัดความลุ่มหลง ในสิ่งเหล่านั้นออก ถอนตัวออกมาอยู่โดยเอกเทศ ไม่ต้องไปยึดอะไร....
 - ในความรับผิดชอบ ก็รับตามฐานะที่ได้อาศัยกันมาตามหลักธรรมชาติต่างหาก ไม่ได้ไปยึดถือด้วยความสำคัญมั่นหมายจนเป็น "อุปาทาน" ดังสามัญจิต ทั้งหลาย.....

 - ......ชาตินี้ กับ ชาติหน้า  มันก็เหมือน วันนี้ กับพรุ่งนี้  แยกกันไม่ออก......
 - การนั่งปฏิบัติกรรมฐานในขณะฟังธรรม  เป็นภาคปฏิบัติอันดับหนึ่งของการปฏิบัติทั้งหลาย   "จิตใจ"  ถ้าฟังธรรมทางด้านปฏิบัติเข้าใจ ก็แสดงว่า "ฐานของจิต" มีพอสมควรแล้ว.....

 - การอบรมจิต คือ การชำระสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และทำจิตให้อับเฉา มั่วสุมอยู่กับอารมณ์สกปรกโสมม ออกไป  เพื่อจิตจะได้รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นโดยลำดับ

 - อาวุธ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปาญญา นี่เอง เป็นเครื่องมือฆ่ากิเลส
   *** - .....แต่ละคน ละคน  วาระสุดท้าย เราจะหวังพึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งสติปัญญาของตัวเองโดยเฉพาะ ......ญาติ มิตรสหาย พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา ลูกเต้า หลานเหลน  แม้รักสนิทเพียงไร ก็สักแต่ทำให้อารมณ์ยุ่งเหยิง วุ่นวาย ก่อกวน ทางเดินของเรา ให้ขัดข้องยุ่งเหยิงไปเท่านั้น  .....สิ่งที่จะเป็น "สุคะโต" ต่อเราโดยเฉพาะนั้นก็คือ ความพากเพียรของเรา ที่หวังพิ่งตนด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร เพื่อให้ได้คุณงามความดี....

 -....สิ่งใดที่เห็นว่า "เป็นภัย" จงพิจารณาให้เห็นว่าเป็นภัยอย่างถึงใจ   สิ่งที่ "เป็นคุณ" ก็ให้ถึงใจ ด้วยความเห็นคุณ แล้วพยายามบำเพ็ญ พยายามต่อสู้ด้วยสติปัญญา อย่างถึงใจเช่นเดียวกัน....

   *** - ต้องเป็นผู้ "เห็นภัย" ต้องเป็นผู้มีสติ สตัง  ระมัดระวังรักษาจิตใจของตนเสมอ อย่างให้สิ่งมัวหมองเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน...
 - พยายามบังคับจิตใจไปตามร่องรอยแห่งธรรม  ถ้ามันคิดปรุง แตกแขนงออกไป ด้วยอำนาจของกิเลสบังคับให้แตกไปทางใดบ้าง คิดปรุงไปทางใดบ้าง  ต้องพยายามหักห้าม และฉุดลากเข้ามา ด้วยสติ พยายามหาอุบายเหนี่ยวรั้งมาด้วยสติปัญญา อย่าอ่อนข้อตามใจ....

 - .....เบื้องต้นแห่งการปฏิบัติ ต้องบังคับกันอย่างเข้มงวดกวดขัน  ตั้งท่าตั้งทางเหมือนจะเอาเป็นเอาตายกันจริงๆกับการภาวนา เพียงอย่างเดียว.....  ....ตัดทางเดินของกิเลสด้วยสติปัญญา หักห้ามไม่ให้ปรุงไปในอารมณ์ต่างๆ...

 - ....เมื่อจิตได้เริ่มเห็นความแปลกประหลาด และอัศจรรย์ ขึ้นมาในตัวแล้ว  ความขยันหมั่นเพียร และความอุตส่าห์พยายามนั้นย่อมเป็นมาเอง

   *** - ....สมาธิ เป็นเครื่องสนับสนุนปัญญาได้ดี แต่ไม่ใช่มีสมาธิแล้ว จะเกิดเป็นปัญญา ขึ้นมาเอง โดยเจ้าของไม่ต้องพิจารณา อย่างนี้เป็นไปไม่ได้...

 - เวลาพักจิต เราไม่ต้องห่วง เป็นกังวล กับงานพิจารณาใดๆทั้งสิ้น พักให้สบาย พอสบายแล้ว ก็ทำงานพิจารณาอีก   เวลาทำงาน ก็ไม่ต้องไปกังวลกับการพัก เพราะได้พักมา
แล้ว.....

 - กายเป็นกาย เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต  แต่มันคละเคล้ากัน เพราะความโง่ ความหลงของเรา.....