พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์  ปยุตฺโต)

หนังสือธรรมเรื่อง  "นรก-สวรรค์ สำหรับคนรุ่นใหม่" โดย พระธรรมปิฎก  (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ที่ผู้บันทึกได้ "สรุปย่อ" ไว้  เชื่อว่า น่าจะเป็นที่สนใจไม่น้อยของผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ประเด็นสำคัญๆก็คือ
ความสำคัญของนรก-สวรรค์ในแง่พุทธศาสนา
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่
ท่าทีของพุทธศาสนาต่อเรื่องนรก-สวรรค์
                                                                                                                                                                                PONG1930  ผู้บันทึก


ความสำคัญ ของนรก-สวรรค์ในแง่พุทธศาสนา

           "เราปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าจะปฏิบัติให้แท้จริงแล้ว ก็ไม่ใช่เพื่อจะไปสวรรค์ แต่เพื่อจะนิพพาน  สวรรค์กลายเป็นเรื่องขั้นตอนที่อยู่ในระหว่าง  ความสำคัญของสิ่งที่อยู่ในระหว่างย่อมจะลดน้อยลงไป..."
            "นรก-สวรรค์ในพระพุทธศาสนา เป็นเพียงส่วนหนึ่งในสังสารวัฎ"
            "คนที่เกิดเป็นพระพรหมด้วยกรรมดีบำเพ็ญฌานสมาบัติ  ต่อไปเมื่อสิ้นบุญแล้วกลับไปตกนรก เพราะมีกรรมชั่วในหนหลังก็ได้"
            "เรื่องนรก-สวรรค์ เป็นเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ ทั้งในแง่บวกแง่ลบ ว่ามีหรือไม่มี... ทางพุทธศาสนามีหลักให้ปฏิบัติคือ ถือ การวางท่าทีเป็นสำคัญ"


นรก-สวรรค์ มีจริงหรือไม่
พระพุทธศาสนา พูดเรื่องนี้ไว้เป็น ๓ ระดับ :-

ระดับที่ ๑. นรก-สวรรค์ ภายหลังการตาย
       สำหรับประเด็นนี้ตามพระไตรปิฎก "เมื่อตีความตามตัวอักษรแล้ว ก็ต้องบอกว่า มี"
   วิธีลงโทษในนรกด้วยประการต่างๆ มีใน  พาลบัณฑิตสูตร และ เทวทูตสูตร...  โดยมากพูดถึงนรก ไม่ค่อยพูดถึงสวรรค์..
        นอกจากนี้ยังมีบางแห่งพูดถึงอายุเทวดาในชั้นต่างๆ เช่น ชั้นจาตุมหาราช หรือชั้นโลกบาล ๔  ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
        ยังมีอายุมนุษย์ ถึงรูปพรหม แสดงไว้ในฝ่ายพระอภิธรรม

ระดับที่ ๒. นรก-สวรรค์ ที่อยู่ในใจ
       "สวรรค์ในอก นรกในใจ" เป็นเรื่องที่มีในชาตินี้   นรก-สวรรค์แม้ในชาติหน้า มันก็สืบไปจากที่มีในชาตินี้..."
        "ระดับจิตของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายโดยทั่วไปถ้าไม่ใช่กรณียกเว้น มันก็อยู่ในระดับนั้นแหละ  ส่วนในกรณียกเว้น ถ้าเวลาตายนึกถึงอารมณ์ที่ดี เช่นทำกรรมชั่วมามาก แต่เวลาตายนึกถึงสิ่งที่ดี ก็ไปเกิดดีได้  ถ้าหากเวลอยู่ ทำกรรมดี แต่เวลาตายเกิดจิตเศร้าหมอง ระดับจิตตกลงไป ก็ไปเกิดในที่ต่ำ"

ระดับที่ ๓. นรก-สวรรค์ แต่ละขณะจิต
   "ตามหลักวิชาการ คือ การที่เราปรุงแต่งสร้างนรก-สวรรค์ของเราเองตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน.. คือปรุงแต่งด้วยกิเลส มีความดี -ความชั่ว มีกุศล - อกุศลในจิตของเราเอง"
         "หากว่าจิตใจของเรามีภูมิธรรมดี สร้างกุศลไว้มาก ทำจิตใจให้อิ่มเอิบเป็นสุข พยายามมองในแง่ดี ก็รับอารมณ์ที่เป็นสุขไว้ได้มาก"
        "ปัจจุบันที่เป็นอยู่ กลายเป็นเรื่องที่เราควรจะเอาใจใส่มากกว่า เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราได้รับผลอยู่ตลอดเวลา...  ฉะนั้น ท่านจึงให้เอาใจใส่นรก-สวรรค์ที่มีอยู่ตลอดเวลาที่เราปรุงแต่งอยู่เรื่อยๆ สอนให้เรายกระดับจิตขึ้นไป... "
        "การมีปัญญารู้เท่าทันสิ่งต่างๆ ทำให้เราเข้าใจโลกและชีวิตดี  ทำให้วางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ในกรณีอย่างนี้ท่านว่า มันพ้นเลย จากเรื่องนรก-สวรรค์ไปแล้ว คือมีจิตใจปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดเวลา มีความสบายทันตาในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงข้างหน้า"
        ในพระไตรปิฎก (มหาปริฬาหนรก) บอกว่า ...นรก-สวรรค์ที่ว่านั้นไม่สำคัญเท่านรก-สวรรค์ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่เราปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้ง ๖ โดยพื้นจิตของเราสร้างขึ้นมา"

"แก่นแท้ของ นรก-สวรรค์ อยู่ที่ระดับที่ ๓ นี้ ...
อย่าลืมว่า!!!
การสร้างนรก-สวรรค์ใหญ่ๆ มันก็มาจากสร้างเล็กๆ น้อยๆ นี้เอง.. สร้างจิตใจของเราให้ดี ทำอารมณ์ให้ดี ค่อยเป็นค่อยไป"


ท่าทีของพุทธศาสนาต่อเรื่อง นรก-สวรรค์
"...การวางท่าทีเป็นหัวข้อที่อาตมาบอกแล้วว่าสำคัญ   การวางท่าทีสำคัญกว่าความมีจริงหรือไม่
... แต่มันจะไปเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับนรก-สวรรค์ระดับที่ ๓"
"ท่าที" ที่เกี่ยวข้องมีดังนี้ :-

ท่าทีที่ ๑  ต้องมีศรัทธา
            พุทธศาสนานั้น บอกว่าให้เชื่ออย่างมีเหตุผล  สำหรับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ในเมื่อจะต้องเอาทาง "ศรัทธา" ก็ให้ได้หลักก่อน....
ศรัทธา คือ การไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น หรือพูดในแง่หนึ่งคือ เราฝากปัญญาไว้กับคนอื่น
            การที่จะวางใจปัญญาของผู้อื่นได้ต้องพิจารณาในขั้นแรกที่ "ตัวปัญญา" นั้น  เราคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานั้น เท่าที่เรามองเห็น ก็เป็นความจริง เราจึงเห็นว่าพระองค์มีปัญญาพอที่เราจะฝากปัญญาของเราไว้กับท่านได้ เราจึงเกิดศรัทธาขึ้นเป็นขั้นแรก
        ขั้นที่สอง คือ "ความปรารถนาดี"  พระพุทธเจ้ามีความปรารถนาดี มีเมตตากรุณา สอนเราด้วยใจบริสุทธิ์
พระองค์สอนเรื่อง นรก-สวรรค์ว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า ถ้าเรามีศรัทธา เราก็น้อมไปทางเชื่อ เรื่องก็เป็นอย่างนั้น...

ท่าทีที่ ๒  ถือตามเหตุผล
            เป็นท่าทีที่ "ยังไม่มีศรัทธา"  พระพุทธเจ้าได้ตรัสกาลามสูตร  และได้ยกตัวอย่างซึ่งมาเข้าเรื่องนรก-สวรรค์ กรรมดี-กรรมชั่ว  ทรงสอนให้พิจารณาในปัจจุบันนี้ว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศล ทำแล้วมันเกื้อกูลแก่ชีวิตของตนเองในปัจจุบันไหม  มันดีแก่ตัวเราไหม  ดีต่อผู้อื่นไหม ทำแล้วถ้านรก-สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ต้องไปตกนรก ได้ไปสวรรค์
สรุปในแง่นี้ได้ว่า ถึงแม้ไม่ต้องใช้ศรัทธา เอาตามเหตุผล ก็ควรทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว นี้เป็นแนวทางกาลามสูตร

ท่าทีที่ ๓   มั่นใจตน -ไม่อ้อนวอน
           ในทางพุทธศาสนา คนทำดี ไม่ต้องอ้อนวอนขอไปสวรรค์ เพราะมันเป็นไปตามกฎธรรมดา เพียงแต่รู้ไว้ และมั่นใจเท่านั้น พุทธศาสนิกชนเรามีความรู้ไว้สำหรับให้เกิดความมั่นใจตนเอง

ท่าทีที่ ๔   ไม่หวังผลตอบแทน
            พุทธศาสนาสอนต่อไปอีกระดับหนึ่งว่า ุถ้าเรายังทำดีเพราะหวังผลอยู่ก็เรียกว่าเป็นโลกียปุถุชน  คนของพุทธศาสนาที่แท้จริง ต้องเป็นคนทำความดีโดยไม่ต้องห่วงผล
            เมื่อเราทำจิตของเราให้ประณีตขึ้น พอมันละเอียดอ่อนขึ้น สิ่งที่กระทำไว้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย มันก็ปรากฎผลได้ง่าย...