หลวงปู่เทสก์
จากหนังสือ "ธรรมเทศนา" โดย พระนิโรธ คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จว.หนองคาย

หลวงปู่เทสก์ เป็นครูบาอาจารย์ท่านแรกที่ "ผู้บันทึก" ได้อ่านหนังสือธรรมะของท่านตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๗
และได้ทราบว่าเรื่องทางธรรมในพุทธศาสนานั้นมีเรื่องที่น่าสนใจ และละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคยเรียนวิชาศีลธรรมสมัยเด็กๆ มาก
ความจำเป็นเลิศในการเรียนศีลธรรมตอนเด็กๆ อาจทำให้สอบได้คะแนนเต็มได้
แต่เรื่องการปฏิบัติแล้ว จำได้เป็นเลิศ ก็อาจสอบตกโดยสมบูรณ์ได้....."ป้อง๑๙๓๐ ผู้บันทึก"

เรื่อง ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ
"ปฏิเวธคือ ความรู้แจ้งประจักษ์ในธรรมนั้นๆ ถึงรู้แจ้งประจักษ์แล้วก็ตาม ถ้าหากไม่มีหลักปริยัติ ก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน
ปริยัติ เป็นหลักสำคัญเบื้องต้น เราจดจำปริยัติได้แล้ว เอาสัญญา(ความจำ)ปริยัตินั่นแหละไปปฏิบัติ ฝึกฝนอบรมจึงถูกทาง" ทั้งสามอย่างนี้เป็นผลต่อเนื่องกัน ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้

การทำสมาธิภาวนา
"จิต" หมายถึง ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง
แต่ "ใจ" นั้น หมายเอาผู้ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง อยู่เฉยๆ เป็นกลางๆ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต แต่รู้ตัวอยู่เฉยๆ
"สติ" ความระลึกได้ว่า สติสัมปชัญญะ เป็นผู้รู้ตัวอยู่เสมอว่า เวลานี้เราตามรักษา

จิตอยู่ ทั้ง ๓ อย่างรวมกันเป็นอันเดียวกัน คือ สติ ๑ สัมปชัญญะ ๑ จิต ๑ มันก็จะวางอารมณ์อื่นทั้งหมด จะยืน เดิน นั่ง นอน
ก็รู้ตัว และตามรักษาอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า คุ้มครองจิตอยู่ จิตเป็นของเราแล้ว อย่างนี้แหละจึงเห็นจิต ถ้าไม่ทำอย่างนี้
จะไม่เห็นจิตเลย ปฏิบัติไปเถอะ กี่ปีๆ ก็ตาม ก็จะไม่เห็นจิตเด็ดขาด การปฏิบัตินั้นได้ชื่อว่าไร้ผล ถ้าปฏิบัติตามนี้จะเห็นจิตทุกคน

เมื่อ "สติ" คุม "จิต" มาอยู่ในคำบริกรรมว่า "พุทโธ" (หรือ อานาปานสติ ก็ได้)
แล้ว ให้พิจารณาดูว่า ใครเป็นผู้ว่า พุทโธ ก็จิตนั่นแหละเป็นผู้ว่า พุทโธ จิตมันมาอยู่กับ พุทโธ แล้วคราวนี้ "อย่าไปจับเอาพุทโธ จับเอาที่ความรู้สึกนั่นแหละ อันที่นึกคิดว่าพุทโธ" พอจับจิตได้แล้ว คำบริกรรมว่าพุทโธก็จะหายไปหมด หรือถ้าไม่หายก็จงวางเสีย จับเอาแต่ "ผู้รู้"หรือ"ธาตุรู้"อันเดียว

"ถ้าจับจิตได้แล้ว ก็ใช้จิตเลย อย่าให้จิตใช้เรา" ที่มันคิด มันนึก มันใช้เรา เราจะใช้มันละคราวนี้ มันจะคิดนึก ปรุงแต่งก็ได้ แต่ให้อยู่ในขอบเขต หรือ จะไม่ให้นึกคิดปรุงแต่งก็ได้ อยู่เฉยๆก็ได้ เมื่อปล่อยวางคำบริกรรมแล้ว จะเหลือแต่ "ผู้รู้" หรือ "ธาตุรู้" เท่านั้น ให้จับเอา "ผู้รู้" นั้นให้ได้ แล้วจะเหลือแต่ความสุขสบาย ตอนนี้ให้ระวัง คนเรามันอยู่ด้วยความนึกคิด ปรุงแต่งต่างๆ เมื่อมันสงบจากสิ่งนั้นๆแล้ว มีแต่ความสงบสุขอย่างเดียว เดี๋ยวเกิดความกลัวตายขึ้นมา "ให้จับหลักผู้รู้นั้นให้มั่น" ผู้รู้ยังมีอยู่
ผู้รู้ไม่ตาย ร่างกายของแตกสลายดับไป ไม่ใช่ของเรา เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ความกลัวตายนั้นก็จะหายไป
แล้วจะอยู่กับผู้รู้นั้นอย่างเดียว แล้วจะนั่งได้เป็นเวลานาน ไม่รู้สึกเมื่อยเลยตั้งหลายชั่วโมง นั่นเรียกว่าเป็น "อัปปนาจิต"

จิต ใจ สติ รวมเข้าเป็นอันเดียวกัน เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" การฝึกหัดสมาธินั้นใครจะทำโดยวิธีไหนก็แล้วแต่ ในที่สุดของการทำสมาธิ ก็จะรวมเป็นอัปปนาสมาธิเท่านี้แหละ...

เมื่อฝึกหัดเข้าร่องเข้ารอยของมันแล้ว มันหากเป็นของมันเองต่างหาก ใครจะบังคับไม่ได้