หลวงปู่มั่น
คำสอนของหลวงปู่มั่น (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ท่านพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีในยุคปัจจุบัน
ซึ่งได้จารึกลงเป็นตัวหนังสือนั้นนับว่าหาได้ค่อนข้างยาก  คำสอนของท่านที่สรุปย่อมานี้
เรียบเรียงมาจากหนังสือ "ประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ"
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ในส่วนที่เป็นคำสอนของท่านที่อบรมศิษย์ทั้งที่เป็นสงฆ์และเป็นฆราวาส
                                                                                                                                                        PONG1930  ผู้บันทึก

เกี่ยวกับ "สติ"
"เรามาศึกษาหาอรรถหาธรรม ไม่ควรกล้าจนเกินตัว และกลัวจนเกินไป
เพราะความผิดพลาดอาจมีได้ด้วยกันทุกคน
ความเห็นโทษความผิดนั่นแลเป็นความดี  พระพุทธเจ้าท่านก็เคยผิดมาก่อนพวกเรา  ตรงไหนที่เห็นว่าผิดท่านก็เห็นโทษในจุดนั้น
และพยายามแก้ไขไปทุกระยะที่เห็นว่าผิด  เจตนานั้นดีอยู่
แต่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นอาจมีได้  ควรสำรวมระวังต่อไปในทุกกรณี
 ความมีสติระวังตัวทุกโอกาสเป็นทางของนักปราชญ์"

            สติ เป็นธรรมจำเป็นตลอดไปในอิริยาบทต่างๆ   กาลใดที่ขาดสติ กาลนั้นเรียกว่าขาดความเพียร แม้กำลังเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่ ก็สักแต่ว่าเท่านั้น แต่มิได้เรียกว่าเป็นความเพียรชอบ  ดังนั้นท่านจึงสอนเน้นลงใน "ความมีสติ" มากกว่าธรรมอื่นๆ
            สติ เป็นรากฐานของความเพียรทุกประเภท และทุกประโยคที่ทำ จนกลายเป็น "มหาสติ" ขึ้นมา และผลิต "ปัญญา" ให้เป็นไป ตามๆกัน   ภูมิต้น เพื่อความสงบต้องใช้สติให้มาก  ภูมิต่อไป สติกับปัญญาควรเป็นธรรมควบคู่กันไปตลอดสาย

เกี่ยวกับ "ศีล"

            มีฆราวาสคนหนึ่ง กราบเรียนถามท่านอาจาย์ว่า "ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร และอะไรเป็นศีล อย่างแท้จริง?"
            ท่านตอบว่า  "ความคิดในแง่ต่างๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอย บังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่ามีสภาพปกติ ไม่คะนองทางกายวาจาใจให้เป็นกิริยาที่
น่าเกลียด นอกจากความปกติดีงามทางกาย วาจา ใจของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว ก็ยากจะเรียกให้ถูก
ได้ว่า อะไรเป็นศีล..."

          การตำหนิติเตียนผู้อื่น แม้เขาจะเป็นผู้ผิดจริงยังจัดว่าเป็นการก่อกวนจิตใจตนให้ ขุ่นมัวไปด้วยอยู่นั่นเอง..."

            "...เร่งทำความดีเสียแต่บัดนี้จะได้หายห่วงหายหวงกับอะไรๆที่เป็นสมบัติของโลก มิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา..."

เกี่ยวกับ "สมาธิ" และ "ปัญญา"

ท่านเล่าถึง "อัปปนาสมาธิ" ว่าเป็นสมาธิที่สงบละเอียดแนบแน่น และเป็นความสงบสุขอย่างพอตัว ผู้ปฏิบัติจึงมีทางติดสมาธิประเภทนี้ได้
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเล่าว่า  "ท่านเคยติดสมาธิประเทภนี้บ้างเหมือนกัน  แต่ท่านเป็นนิสัยปัญญา จึงหาทางออกได้ ไม่นอนใจและติดอยู่ในสมาธิประเภทนี้นาน.... นักปฏิบัติที่ติดอยู่ในสมาธิประเภทนี้มีเยอะแยะ เพราะเป็นสมาธิที่เต็มไปด้วยความสุข ความเยื่อใย และอ้อยอิ่ง น่าอาลัยเสียดายอยู่มาก  ไม่คิดอยากแยกตัวออกไปทางปัญญาอันเป็นทางถอนกิเลสทั้งมวล.... อาจเกิดความสำคัญตนไปต่างๆได้ เช่น สำคัญว่านิพพานความสิ้นทุกข์ก็ต้องมีอยู่ในจุดแห่งความสงบสุขนี้ หามีอยู่ในที่อื่นใดไม่ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติในสมาธิขั้นใดก็ตาม ปัญญาจึงควรมีแอบแฝงอยู่เสมอตามโอกาสที่ควร เฉพาะอัปปนาสมาธ
ิด้วยแล้ว ควรใช้ปัญญาเดินหน้าอย่างยิ่งถ้าไม่อยากรู้อยากเห็นจิตที่มีเพียงความสงบสุขอย่างเดียวไม่มีความ ฉลาดรอบตัวเลยเท่านั้น...."

แม้แต่สมาธิที่เป็นไปในทางชอบ ก็จำต้องอาศัยสัมมาทิฎฐิองค์ปัญญาคอยตรวจตราสอดส่องอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นสมาธิหัวตอ ไปได้  จิตสงบจิตรวมต้องมีสติปัญญาคอยแฝงอยู่เสมอ  จิตเกิดความรู้อะไรขึ้นมา จิตออกรู้อะไรบ้าง สิ่งที่รู้นั้นๆ จะควรปฏิบัติอย่างไร จึงจะถูกต้องตามหลักของผู้ต้องการความรู้จริงเห็นจริงในสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง  ถ้าไม่มีปัญญาแฝงอยู่ด้วยแล้ว ต้องทำให้เห็นผิดยึดผิด ไปจนได้ เพราะความรู้ต่างๆทั้งข้างในทั้งข้างนอกที่เกี่ยวกับสมาธิไม่มีประมาณ  สุดแต่จะปรากฎขึ้นมาและผ่านเข้ามา.... ถ้าขาดปัญญา เพียงขั้นสมาธิก็ไปไม่ตลอด คือต้องยินดีกับสิ่งนั้น ยินร้ายกับสิ่งนี้ เพลิดเพลินกับสิ่งนั้นเศร้าโศกกับสิ่งนี้  ซึ่งล้วนเป็นอารมณ์เขย่าใจ ให้ลุ่มหลงไปตามทั้งสิ้น  อารมณ์ที่มาปรากฎ ถ้าไม่กำจัดด้วยปัญญา จะตกไปได้ยาก..."

"จุดที่หมายอย่างน้อย ก็หวังให้จิตอยู่ในคำบริกรรมภาวนาที่นำมาบังคับหรือกำกับให้เป็นอารมณ์ที่พึ่งพิง เพื่อความสงบเย็นใจหนึ่ง เพื่อบังคับใจให้อยู่ในเหตุผลที่ปัญญาชี้แจง หรืออบรมในกรณีนั้นๆหนึ่ง เพื่อภูมิจิตภูมิธรรมขั้นละเอียดขึ้นไปโดยลำดับจนถึง จุดที่หมายหนึ่ง"
"ให้คิดถึง พุทโธ ติดๆกันอย่าลดละ  พอบริกรรมพุทโธถี่ยิบติดๆกันเข้า มันวิ่งกลังมาเอง  คราวนี้แม้มันกลับมาก็อย่าปล่อยพุทโธ"

"ความที่เคยระวังสำรวมใจอยู่เป็นนิจ ย่อมกลายเป็นคนมีสติปัญญาขึ้นมา"

เกี่ยวกับการต่อสู้ "ทุกขเวทนา"

ตามปกตินิสัยท่านพระอาจารย์มั่น เวลาเข้าที่คับขันจนมุม ท่านชอบคิดค้นด้วยสติปัญญาไม่อยู่เฉยๆ เช่นเวลาเจ็บไข้ หรือเวลาไปเจอเอากิเลสตัวสำคัญเข้าจนหาทางออกไม่ได้...  ท่านถือว่าทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในกายในใจเป็นเรื่องของสัจจธรรมโดยตรง ต้องพิจารณาให้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ได้  ไม่ปล่อยให้ทุกข์ย่ำยีอยู่เปล่าๆ เหมือนคนไม่ได้รับการศึกษาอบรมธรรมมาเลย...  "ผู้พิจารณารู้เท่าทันขันธ์ อยู่ก็สบาย ตายก็มีชัยชนะ สมกับเป็นนักต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดเป็นยอดคน"

ถ้าใครกลัวตายเพราะความเด็ดเดี่ยวทางความเพียร ผู้นั้นจะต้องกลับมาตายอีกหลายภพหลายชาติไม่อาจนับได้  ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลงถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแลจะเป็นผู้ไปไม่กลับหลังมาหาบทุกข์อีก  "ตัวผมสลบไปถึง ๓ หน เพราะความเพียรกล้าเวทนาทับโถม ยังไม่เห็นตายและยังรอดมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะอยู่ได้..."