- กาารเกิดปัญญา เกิด 3 ระดับด้วยกันคือ ปัญญาระดับแรก(สุตมยปัญญา) ระดับท่ามกลาง (จินตามยปัญญา) และระดับสูงสุด(ภาวนามยปัญญา) ทั้ง 3 อย่างนี้ต่อเนื่องกัน แต่ให้เป็นปัญญาในสัมมาทิฐิ
- ปัญญาขั้นพื้นฐานตัวเดียว แยกเป็น 2 ทางง ทางโลกหนึ่ง กับทางธรรมหนึ่ง
- ปัญญาในทาางโลก
การใคร่ครวญเสียก่อนจึงทำ ใคร่ครวญเสียก่อนจึงพูด นี่เป็นพื้นฐานของปัญญาขั้นนี้
นี่เป็นส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องปัญญาในทางโลก
- ส่วนปัญญาาในทางธรรม
ก็ต้องคิดไปในทางธรรม... ....ปัญญาระดับเดียวกันนี่แหละมาเปลี่ยนแปลงใน
ทางธรรมได้ คือ คิดอะไรก็แล้วแต่ คิดในแง่ความเป็นธรรม เช่น ความไม่เที่ยง
เหมือนกับดอกไม้แดงที่เราถืออยู่ ในมือนี้ ก็เป็นอุบายธรรมะอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมมีความเปลี่ยนไปเป็นธรรมดาหาอยู่คงที่ไม่
.....อุบายใด ที่เราจะนำมาสอนตัวเราได้ เปรียบเทียบตัวเองได้ให้พิจารณาไป
- อุบายการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราไม่ศึกษาาให้มีความชัดเจนให้เข้าใจด้วยเหตุด้วยผลจริงๆ
แล้ว การปฏิบัติของเรา ก็รู้สึกว่าล้มลุกคลุกคลานตกหลุมตกบ่อไปเรื่อยๆ
ความราบรื่นในการปฏิบัติของเราก็เป็นไปได้ยาก ฉะนั้นการปฏิบัติ ต้องอาศัยการศึกษาที่เรียกว่า
"สุตมยปัญญา"
การได้ยินได้ฟัง อ่านตำรับตำรา แล้วนำมาวิจัยวิเคราะห์เหตุผลให้เป็น ไปตามหลักความจริงเรียกว่า
สัจธรรม
- เราต้องศึกษาแนวทางให้ชัดเจนให้เข้าใจว่่า ในครั้งพุทธกาลนั้นท่านปฏิบัติกันอย่างไร
พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร เราก็ต้องเอา "อุบายธรรมในครั้งพุทธกาล"
นั้นมาเป็นหลักมาเป็นแนวทาง
- แนวทางในครั้งพุทธกาลนั้นท่านวางไว้ 2 ปประการ คือ สมถะและวิปัสสนา
ทั้ง 2 อุบายนี้เกี่ยวเนื่องกัน ให้ผล ต่อเนื่องกันด้วย ลำพังจะทำในสมถะแต่อย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้
หรือลำพังใช้ปัญญาแต่อย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นกัน ฉะนั้นอุบายทั้งสองอย่างนี้ต้องเกี่ยวเนื่องกันมาตลอด
- การดำริ-รู้ พิจารณาใคร่ครวญนั้นหมายถึงงว่า สัมมาสังกัปโป สัมมาสังกัปโปหมายถึง
"จินตามยปัญญา"
นั่นเอง คำว่าจินตามยปัญญา หมายถึง การดำริ การค้นคิด การตริตรอง การจินตนาการ
การคาดหมาย ทั้งหมดนี้เรียกว่า จินตามยปัญญา การไตร่ตรองหมายความว่า
ดูภายในที่ตัวเรากับภายนอกมีความแตกต่างกันอย่างไรให้เป็นไปตาม สามัญลักษณะ
ให้มีความเสมอภาคกันทั้งภายนอกภายใน
- ภายนอกหมาายถึงอะไร
คือ คนอื่น สัตว์อื่น ตัวอย่างว่า คนนั้นมีความแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์อย่างไร
ก็ตาม เราก็ต้องเป็นเหมือนเขาเหมือนกัน เขาก็เหมือนเรา เราก็เหมือนเขา ทีนี้เมื่อเขามีการพลัดพรากจากของรัก
ของชอบใจไป เราก็ต้องมีการพรัดพรากจากของรักของชอบใจไปเช่นเดียวกัน นี่เรียกว่าดูทั้งสองฝ่าย
- ต้องอบรมตตัวเองให้มากขึ้นๆ
ไม่ใช่เราจะรอให้ปัญญาเกิดขึ้นอย่างเดียว..... เอาสิ่งทั้งหมดมาพิจารณาๆ
มันจริงไหมว่าสิ่งทั้งหมดนี้เป็นของของเรา จริงไหม พิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์ว่าความอนัตตาคืออะไร
หมายถึงอะไร ก็จะมองเห็นได้ชัดว่าสิ่งทั้งหมดนั้นเป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัยชีวิตนี้อยู่ชั่วระยะวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น...
พิจารณา ให้มากขึ้นๆ จนมีความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเกิดขึ้น
- ....มันจะลงสู่ไตรลักษณ์ทั้งหมดถ้าพิจารณาเสมอๆ
อย่างนี้เป็นปัญญาขั้นสูงขั้นละเอียด
ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา"
เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นจากความรู้จริงเห็นจริงตามหลักความเป็นจริง
จะเรียก "ปัญญาญาน"
หรือเรียกว่า
"วิปัสสนาญาน" ก็ได้ความหมายอย่างเดียวกัน
...ปัญญาที่ว่ามานี้ น้อยคนที่เกิดขึ้นได้ ส่วนมากพูดกันด้วยเรื่องความรู้
ไปรู้จากโน้นมาจากนี้มา รู้จากตำรามา รู้จากเทปมา หรือรู้จากครูบาอาจารย์อธิบายให้ฟังมา
เป็นความรู้เฉยๆ
ไม่ใช่ปัญญา...
เข้าใจให้ถูกต้อง
ปฏิบัติให้ถูกทาง
- การภาวนาปปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องเรียนธรรมะมากๆ
ธรรมะมากๆ เราจะเอามาใช้งานทั้งหมดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะธรรมะทั้งหมดนั้นไม่ตรงกับตัวเองทั้งหมด.....
ต้องเลือกคนให้ว่าคนนั้นควรให้ยาอย่างไร คนนี้ควรให้ยา อย่างไร ต้องให้ตามอาการของคนที่ป่วย...
- การทำสมาธธิ ถ้าเราขาดปัญญาความเห็นชอบในการปฏิบัติขั้นพื้นฐานแล้ว
การทำสมาธิจะเป็นมิจฉาเป็น
ส่วนใหญ่
เป็นโมหะเป็นส่วนใหญ่..... การทำสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญาไม่มี
ในครั้งพุทธกาลไม่ได้สอนอย่างนี้
- การทำสมาธิ ถึงจิตจะมีความสงบสักปานใดก็็ตาม เมื่อออกมาแล้วก็ต้องเสื่อม
เมื่อจิตเสื่อมก็ต้องเกิดราคะ ความรัก ความยินดี พอใจในกามคุณเหมือนกันทุกครั้งๆไป
- การทำสมาธิ เราก็ต้องทำ แต่ทำพอเหมาะพอคควร ทำพอประมาณ
ทำพอเป็นฐานในการใช้ปัญญาให้มีความ ฉลาดเฉียบแหลมเกิดขึ้นเท่านั้น
เราอย่าทำเพื่อหลง ทำประมาณ 10 นาที 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมง เราบริกรรม
ไปพอสมควรแล้วก็ออกมาน้อมใจมาคิดเอาเรื่องต่างๆที่ผ่านมาแล้วมาคิดลงสู่ไตรลักษณ์
คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้
ไม่มี อะไรเป็นของของเราที่แน่นอน คิดอย่างนี้บ่อยๆ ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว ความเข้าใจในเหตุในผลด้านจิตใจเราจะแจ่มใส
ขึ้นจะเกิดความเห็นที่ถูกต้องขึ้น... ทำสลับกันไป แต่การทำสมถะนั้นจะน้อย
การใช้ปัญญานี่ทำตลอดวันได้
- อย่าคอยใหห้ปัญญาเกิดขึ้น ตั้งใจคิดเสียเอง
ตั้งใจพิจารณาเสียเอง...
- ....ถ้าว่า "ใจเรารู้อยู่ แต่ทำไมล่วงเกินได้อย่างนั้น
" เพราะ "ใจเราไม่เห็นโทษนั่นเอง จึงล่วงเกินได้"
- สติก็เช่นเดียวกัน มีกันทุกคน
- เมื่อมีสติแล้ว ต้องมี "หิริ"
ความละอายแก่ใจ และ "โอตัปปะ"
ความเกรงกลัว ถ้าเรามีคุณธรรมสองข้อ หิริ ความละอายแก่ใจมีอยู่ สติของเราก็ระลึกได้ทันว่าละอายตัวเองขึ้นมาเมื่อไร
การทำความชั่วต่างๆนั้น เราก็ไม่กล้าทำ
- ต้องฝึกทางใจให้เป็น "โยคาวจร" อยู่เสมออๆ คือฝึกการภาวนาให้มองเห็นตามหลักความเป็นจริงว่าในโลกนี้
ไม่มีอะไรที่เป็นของของเราที่แน่นอน แต่ทุกอย่างเป็นเพียงอาศัยชั่วระยะชีวิตที่เรามีอยู่เท่านั้น
- ฝึกใจตัวเเอง
ไม่ให้ไปผูกพันหลงติดกับของสิ่งใดในโลกนี้ การฝึกใจคือสอนใจตัวเอง สอนบ่อยๆ
ฝึกบ่อยๆ ฝึกใน การทำสมาธิบ้าง ฝึกในการสอนตัวเองบ้างสลับกันไป นี่คือ การฝึกใจตัวเอง
- ...ทุกวันนนี้เราจะไปให้กิจการต่างๆ
มันมีเวลาเสียก่อนจึงภาวนาปฏิบัติ ไม่ต้องคอยหรอก เรามีเวลาถมเถไป ทุกวันนี้
เรามาโรงพยาบาลทุกวันก็ภาวนาได้ทุกวัน เราเดินไปเดินมาที่โรงพยายาลไปดูคนแก่บ้าง
ดูคนเจ็บคนตายบ้าง ก็เป็นประโยชน์เป็นธรรมะทั้งวัน ควรพิจารณาทั้งวันก็เป็นภาวนาทั้งวัน
นี่เรียกว่าอุบายสอนใจตัวเอง ธรรมะอยู่ที่นี่ สำหรับพวกพยาบาลพวกหมอที่โรงพยาบาลนี่ได้เปรียบกว่าคนอื่นๆเขา
เหมือนกับว่าได้ดูธรรมะตลอดทั้งวัน เป็น ธรรมะต้นฉบับใหญ่ทีเดียวที่โรงพยาบาลของเราอยู่ปัญญาเราพร้อมหรือยัง
หรือถือเป็นธรรมดาไปเสีย ถือว่าทำตาม หน้าที่ เห็นคนแก่คนเจ็บคนตายมากไปก็เฉยๆไปเสีย
นี่เรียกว่าเป็นหมัน จิตมันเป็นหมัน เรียกว่าจิตด้าน.... เราต้อง
โอปนยิโก เข้ามาหาตัวเองว่าเราก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง...
- ความยึดมัั่นถือมั่น
เป็นหลักใหญ่ เป็นหลักสำคัญของใจ ถ้าเราหลงติดของสิ่งไรก็อยู่ที่นั่นต่อไป...
ผู้จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้านั้นมีหลัก
3 ประการ เรียกว่า "หลักประกัน"
คือ
1. เป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในชาติก่อน
ในภพก่อนมา
2. อุบายการปฏิบัติของเรา
ตรงตามแนวทางของพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง
3. เป็นผู้ภาวนาปฏิบัติมีความจริงจังต่อเนื่อง