หลวงพ่อทูล
  สรุปย่อจากหนังสือ "อุบายเจริญปัญญา"
 พระอาจารย์ทูล ขิปฺปญฺโญ บรรยายธรรม ณ ห้องประชุมจงจินต์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2535 และ 16 กุมภาพันธ์ 2536

    - กาารเกิดปัญญา เกิด 3 ระดับด้วยกันคือ ปัญญาระดับแรก(สุตมยปัญญา)  ระดับท่ามกลาง (จินตามยปัญญา) และระดับสูงสุด(ภาวนามยปัญญา) ทั้ง 3 อย่างนี้ต่อเนื่องกัน แต่ให้เป็นปัญญาในสัมมาทิฐิ

    - ปัญญาขั้นพื้นฐานตัวเดียว แยกเป็น 2 ทางง ทางโลกหนึ่ง กับทางธรรมหนึ่ง
    - ปัญญาในทาางโลก  การใคร่ครวญเสียก่อนจึงทำ ใคร่ครวญเสียก่อนจึงพูด นี่เป็นพื้นฐานของปัญญาขั้นนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องปัญญาในทางโลก
    - ส่วนปัญญาาในทางธรรม ก็ต้องคิดไปในทางธรรม...    ....ปัญญาระดับเดียวกันนี่แหละมาเปลี่ยนแปลงใน ทางธรรมได้ คือ คิดอะไรก็แล้วแต่ คิดในแง่ความเป็นธรรม เช่น ความไม่เที่ยง เหมือนกับดอกไม้แดงที่เราถืออยู่ ในมือนี้ ก็เป็นอุบายธรรมะอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมมีความเปลี่ยนไปเป็นธรรมดาหาอยู่คงที่ไม่ .....อุบายใด ที่เราจะนำมาสอนตัวเราได้ เปรียบเทียบตัวเองได้ให้พิจารณาไป

    - อุบายการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราไม่ศึกษาาให้มีความชัดเจนให้เข้าใจด้วยเหตุด้วยผลจริงๆ แล้ว  การปฏิบัติของเรา ก็รู้สึกว่าล้มลุกคลุกคลานตกหลุมตกบ่อไปเรื่อยๆ  ความราบรื่นในการปฏิบัติของเราก็เป็นไปได้ยาก  ฉะนั้นการปฏิบัติ ต้องอาศัยการศึกษาที่เรียกว่า "สุตมยปัญญา" การได้ยินได้ฟัง อ่านตำรับตำรา แล้วนำมาวิจัยวิเคราะห์เหตุผลให้เป็น ไปตามหลักความจริงเรียกว่า สัจธรรม
    - เราต้องศึกษาแนวทางให้ชัดเจนให้เข้าใจว่่า ในครั้งพุทธกาลนั้นท่านปฏิบัติกันอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร เราก็ต้องเอา "อุบายธรรมในครั้งพุทธกาล" นั้นมาเป็นหลักมาเป็นแนวทาง
    - แนวทางในครั้งพุทธกาลนั้นท่านวางไว้ 2 ปประการ คือ สมถะและวิปัสสนา ทั้ง 2 อุบายนี้เกี่ยวเนื่องกัน ให้ผล ต่อเนื่องกันด้วย ลำพังจะทำในสมถะแต่อย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ หรือลำพังใช้ปัญญาแต่อย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นกัน ฉะนั้นอุบายทั้งสองอย่างนี้ต้องเกี่ยวเนื่องกันมาตลอด

    - การดำริ-รู้ พิจารณาใคร่ครวญนั้นหมายถึงงว่า สัมมาสังกัปโป   สัมมาสังกัปโปหมายถึง "จินตามยปัญญา" นั่นเอง คำว่าจินตามยปัญญา หมายถึง การดำริ การค้นคิด การตริตรอง การจินตนาการ การคาดหมาย ทั้งหมดนี้เรียกว่า จินตามยปัญญา  การไตร่ตรองหมายความว่า ดูภายในที่ตัวเรากับภายนอกมีความแตกต่างกันอย่างไรให้เป็นไปตาม สามัญลักษณะ ให้มีความเสมอภาคกันทั้งภายนอกภายใน
    - ภายนอกหมาายถึงอะไร คือ คนอื่น สัตว์อื่น ตัวอย่างว่า คนนั้นมีความแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์อย่างไร ก็ตาม เราก็ต้องเป็นเหมือนเขาเหมือนกัน เขาก็เหมือนเรา เราก็เหมือนเขา ทีนี้เมื่อเขามีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจไป เราก็ต้องมีการพรัดพรากจากของรักของชอบใจไปเช่นเดียวกัน นี่เรียกว่าดูทั้งสองฝ่าย

    - ต้องอบรมตตัวเองให้มากขึ้นๆ  ไม่ใช่เราจะรอให้ปัญญาเกิดขึ้นอย่างเดียว..... เอาสิ่งทั้งหมดมาพิจารณาๆ  มันจริงไหมว่าสิ่งทั้งหมดนี้เป็นของของเรา จริงไหม พิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์ว่าความอนัตตาคืออะไร หมายถึงอะไร ก็จะมองเห็นได้ชัดว่าสิ่งทั้งหมดนั้นเป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัยชีวิตนี้อยู่ชั่วระยะวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น... พิจารณา ให้มากขึ้นๆ จนมีความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเกิดขึ้น
    - ....มันจะลงสู่ไตรลักษณ์ทั้งหมดถ้าพิจารณาเสมอๆ อย่างนี้เป็นปัญญาขั้นสูงขั้นละเอียด ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นจากความรู้จริงเห็นจริงตามหลักความเป็นจริง จะเรียก "ปัญญาญาน"
หรือเรียกว่า "วิปัสสนาญาน" ก็ได้ความหมายอย่างเดียวกัน
     ...ปัญญาที่ว่ามานี้ น้อยคนที่เกิดขึ้นได้  ส่วนมากพูดกันด้วยเรื่องความรู้  ไปรู้จากโน้นมาจากนี้มา รู้จากตำรามา รู้จากเทปมา หรือรู้จากครูบาอาจารย์อธิบายให้ฟังมา เป็นความรู้เฉยๆ ไม่ใช่ปัญญา...

เข้าใจให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกทาง
    - การภาวนาปปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องเรียนธรรมะมากๆ  ธรรมะมากๆ เราจะเอามาใช้งานทั้งหมดไม่ได้  เพราะอะไร เพราะธรรมะทั้งหมดนั้นไม่ตรงกับตัวเองทั้งหมด..... ต้องเลือกคนให้ว่าคนนั้นควรให้ยาอย่างไร คนนี้ควรให้ยา อย่างไร ต้องให้ตามอาการของคนที่ป่วย...
    - การทำสมาธธิ  ถ้าเราขาดปัญญาความเห็นชอบในการปฏิบัติขั้นพื้นฐานแล้ว  การทำสมาธิจะเป็นมิจฉาเป็น
ส่วนใหญ่ เป็นโมหะเป็นส่วนใหญ่..... การทำสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญาไม่มี ในครั้งพุทธกาลไม่ได้สอนอย่างนี้
    - การทำสมาธิ ถึงจิตจะมีความสงบสักปานใดก็็ตาม เมื่อออกมาแล้วก็ต้องเสื่อม เมื่อจิตเสื่อมก็ต้องเกิดราคะ ความรัก ความยินดี พอใจในกามคุณเหมือนกันทุกครั้งๆไป
    - การทำสมาธิ เราก็ต้องทำ แต่ทำพอเหมาะพอคควร ทำพอประมาณ ทำพอเป็นฐานในการใช้ปัญญาให้มีความ ฉลาดเฉียบแหลมเกิดขึ้นเท่านั้น  เราอย่าทำเพื่อหลง ทำประมาณ 10 นาที 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมง  เราบริกรรม ไปพอสมควรแล้วก็ออกมาน้อมใจมาคิดเอาเรื่องต่างๆที่ผ่านมาแล้วมาคิดลงสู่ไตรลักษณ์ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ไม่มี อะไรเป็นของของเราที่แน่นอน คิดอย่างนี้บ่อยๆ ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว ความเข้าใจในเหตุในผลด้านจิตใจเราจะแจ่มใส ขึ้นจะเกิดความเห็นที่ถูกต้องขึ้น...   ทำสลับกันไป แต่การทำสมถะนั้นจะน้อย การใช้ปัญญานี่ทำตลอดวันได้
    - อย่าคอยใหห้ปัญญาเกิดขึ้น ตั้งใจคิดเสียเอง ตั้งใจพิจารณาเสียเอง...
    - ....ถ้าว่า "ใจเรารู้อยู่ แต่ทำไมล่วงเกินได้อย่างนั้น " เพราะ "ใจเราไม่เห็นโทษนั่นเอง จึงล่วงเกินได้"
    - สติก็เช่นเดียวกัน มีกันทุกคน สติเป็นอุบายบอกเหตุเบื้องต้น สติแปลว่า ความระลึกได้ บอกเท่านั้นเอง สติละ โน่นละนี่ไม่มี เพียงแต่ระลึกได้ ระลึกทันต่อเหตุการณ์เท่านั้นเอง (จะละได้ ต้องละด้วยปัญญา)

    - เมื่อมีสติแล้ว ต้องมี "หิริ" ความละอายแก่ใจ และ  "โอตัปปะ" ความเกรงกลัว  ถ้าเรามีคุณธรรมสองข้อ หิริ ความละอายแก่ใจมีอยู่ สติของเราก็ระลึกได้ทันว่าละอายตัวเองขึ้นมาเมื่อไร การทำความชั่วต่างๆนั้น เราก็ไม่กล้าทำ
    - ต้องฝึกทางใจให้เป็น "โยคาวจร" อยู่เสมออๆ คือฝึกการภาวนาให้มองเห็นตามหลักความเป็นจริงว่าในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นของของเราที่แน่นอน แต่ทุกอย่างเป็นเพียงอาศัยชั่วระยะชีวิตที่เรามีอยู่เท่านั้น
    - ฝึกใจตัวเเอง ไม่ให้ไปผูกพันหลงติดกับของสิ่งใดในโลกนี้  การฝึกใจคือสอนใจตัวเอง สอนบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ฝึกใน การทำสมาธิบ้าง ฝึกในการสอนตัวเองบ้างสลับกันไป นี่คือ การฝึกใจตัวเอง
    - ...ทุกวันนนี้เราจะไปให้กิจการต่างๆ  มันมีเวลาเสียก่อนจึงภาวนาปฏิบัติ ไม่ต้องคอยหรอก เรามีเวลาถมเถไป ทุกวันนี้ เรามาโรงพยาบาลทุกวันก็ภาวนาได้ทุกวัน เราเดินไปเดินมาที่โรงพยายาลไปดูคนแก่บ้าง ดูคนเจ็บคนตายบ้าง ก็เป็นประโยชน์เป็นธรรมะทั้งวัน ควรพิจารณาทั้งวันก็เป็นภาวนาทั้งวัน  นี่เรียกว่าอุบายสอนใจตัวเอง ธรรมะอยู่ที่นี่ สำหรับพวกพยาบาลพวกหมอที่โรงพยาบาลนี่ได้เปรียบกว่าคนอื่นๆเขา เหมือนกับว่าได้ดูธรรมะตลอดทั้งวัน เป็น ธรรมะต้นฉบับใหญ่ทีเดียวที่โรงพยาบาลของเราอยู่ปัญญาเราพร้อมหรือยัง หรือถือเป็นธรรมดาไปเสีย ถือว่าทำตาม หน้าที่ เห็นคนแก่คนเจ็บคนตายมากไปก็เฉยๆไปเสีย นี่เรียกว่าเป็นหมัน จิตมันเป็นหมัน เรียกว่าจิตด้าน.... เราต้อง โอปนยิโก เข้ามาหาตัวเองว่าเราก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง...
     - ความยึดมัั่นถือมั่น เป็นหลักใหญ่ เป็นหลักสำคัญของใจ ถ้าเราหลงติดของสิ่งไรก็อยู่ที่นั่นต่อไป...

  ผู้จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้านั้นมีหลัก 3 ประการ เรียกว่า "หลักประกัน" คือ
      1. เป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในชาติก่อน ในภพก่อนมา
      2. อุบายการปฏิบัติของเรา ตรงตามแนวทางของพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง
      3. เป็นผู้ภาวนาปฏิบัติมีความจริงจังต่อเนื่อง

 "ของเก่ามี - เจตนาดี - วิธีถูก"
    - บารมีเก่าๆ ที่คนเราทำมาในอดีตนั้น ก็ไมม่ทราบว่าเราทำกันมาแต่เมื่อไร และทำอย่างไรด้วย
นี่จำเป็นที่สุด ต้องคิดหา ต้องค้นคว้า  ถ้าไม่เช่นนั้นจะไม่ต่อเนื่องกันกับบารมีเก่าที่ตัวเองสร้างขึ้นมาไว้