"ใช้กำลังแข็งที่สุด
โจมตีจุดว่างที่สุด"
โดยทั่วไปในการทำศึก ใช้ "กำลังรูปธรรมดา"
เข้าปะทะกับข้าศึก แล้วใช้ "กำลังรูปพิสดาร"
เพื่อเอาชนะ
สำหรับผู้ชำนาญในการทำศึกนั้น ความสามารถในการใช้กำลังรูปพิสดารมีอยู่ไม่รู้จบรู้สิ้น
(โน้ตดนตรี, แม่สี, รสอาหาร)
เมื่อกระแสน้ำเชี่ยวพุ่งเข้าชนทำนบทะลายลง นั่นก็เพราะมีพลังรวมของการเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว
(หมายถึง Momentum)
นั่นเป็นเพราะ
"จังหวะ"
ความหนักหน่วงในการเข้าตี
เปรียบได้ดังหน้าไม้ที่ขึงตึงที่สุด
จังหวะของเขาอยู่ที่การหน่วงไก
ความมีระเบียบและขาดระเบียบ
ขึ้นอยู่กับ
"การจัดรูปบริหาร"
ความกล้าหาญ และความขาดกลัว
ขึ้นอยู่กับ
"ภาวะแวดล้อม"
มีกำลัง หรืออ่อนแอ ขึ้นอยู่กับ
"ท่าทีของข้าศึก"
ผู้ที่ชำนาญในการทำศึกให้ข้าศึกต้องเคลื่อนที่ จึงปฏิบัติด้วยวิธี "สร้างสถานการณ์"
ให้อำนวยประโยชน์แก่ตนเสียก่อน
แล้วจึง
"ลวง" ข้าศึกด้วยบางสิ่งบางอย่างที่คิดว่าข้าศึกพึงประสงค์
และคิดว่าจะทำให้มีความได้เปรียบ ขณะเดียวกันก็
"ซ่อนกำลัง"
ไว้ขยี้ข้าศึก
ฉะนั้น "แม่ทัพผู้ชำนาญศึก จึงแสวงหาชัยชนะจากสถานการณ์"
โดยไม่เรียกร้องชัยชนะจากผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา"
แม่ทัพเป็นผู้เลือกคน
แล้วปล่อยมือให้คนของเขาหาประโยชน์เอาจากสถานการณ์
คนที่กล้าหาญ
จะเข้าต่อสู้
ผู้ที่ไม่ประมาท
จะคอยป้องกัน
คนมีสติปัญญา
จะคอยให้คำปรึกษา
ไม่ทิ้งผู้มีความสามารถให้เปล่าประโยชน์
"วิธีจัดกำลังคน"
นั้น
ให้ใช้คนโลภกับคนโง่
คนมีสติปัญญา ให้คู่กับคนที่กล้าหาญ แล้วมอบหมายความรับผิดชอบให้แต่ละคู่ตามความเหมาะสม
ของสถานการณ์
อย่ามอบหมายให้ใครทำงานที่เห็นว่าเขาทำไม่ได้
เลือกคนแล้วมอบหมายความรับผิดชอบให้ทำตาม กำลังและความสามารถของคนนั้นๆ
"ผู้ที่ถือเอาสถานการณ์เป็นสำคัญ ย่อมใช้กำลังทหารเข้าสู้รบ
เช่นเดียวกับการกลิ้งท่อนซุง หรือก้อนหิน ธรรมชาติของ
ซุงและหินนั้น
ถ้าแผ่นดินเรียบ มันก็หยุดนิ่ง ถ้าแผ่นดินไม่ราบเรียบ มันก็กลิ้งง่าย
ถ้าซุง หรือหินเป็นรูปเหลี่ยม มันก็ไม่กลิ้ง
ถ้ากลม
ก็กลิ้งได้ง่าย"
ฉะนั้นความสามารถของกองทัพที่มีแม่ทัพเป็นผู้สามารถ จึงเปรียบได้ดังการผลักหินกลมให้กลิ้งลงจากภูเขาสูง
"เมื่อจะใช้
กำลังทหาร
จะต้องถือเอาความได้เปรียบจากสถานการณ์ (ภาวการณ์)" กำลังที่ใช้เพียงเล็กน้อย
แต่ผลที่ได้รับนั้นมหาศาล
"เมื่อข้าศึกสบาย
จงรังควานให้เกิดความอิดโรย
เมื่ออิ่มท้อง
ต้องทำให้หิว
เมื่อหยุดพัก
ทำให้เคลื่อนที่"
"ปรากฎตัวในที่ๆจะทำให้ข้าศึกเกิดความสับสนอลหม่าน เคลื่อนที่เข้าตีอย่างรวดเร็วในที่ๆข้าศึกไม่คาดคิดว่าท่านจะเข้าถึงได้"
"ท่านอาจเดินทัพได้ไกลพันลี้
โดยไม่อิดโรย เพราะเดินทางในเขตที่ไม่มีข้าศึก"
เพื่อให้แน่ใจว่าเข้าตีจุดใด
ย่อมยึดได้ที่นั้น จงเข้าตีจุดที่ข้าศึกขาดกันป้องกัน
เพื่อให้แน่ใจว่าจะป้องกันที่ตั้งไว้ได้
จงป้องกันพื้นที่ที่ข้าศึกจะไม่เข้าตี
ฉะนั้น
"สำหรับผู้ที่ชำนาญในการเข้าตี ข้าศึกจะไม่รู้ว่าควรป้องกันที่ใด
ส่วนผู้ที่ชำนาญในการป้องกันนั้น
ข้าศึกก็มิรู้ว่าจะเข้าตีที่ใด"
ผู้ที่รุกด้วยการทุ่มเทกำลังที่ไม่มีผู้ใดต้านทานได้
ลงตรงจุดอ่อนของข้าศึก
ผู้ที่ถอยทัพโดยไม่ให้ผู้อื่นติดตามได้
จะกระทำอย่างรวดเร็วฉับพลันจนไม่มีผู้ใดไล่ได้ทัน
มาดังลมพัด
ไปดังสายฟ้า
"เมื่อข้าพเจ้าปรารถนาจะเปิดการรบ"
แม้ข้าศึกจะมีกำแพงสูง และคูเมืองป้องกัน ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงข้าพเจ้าได้
ข้าพเจ้าโจมตี
ณ จุดที่ข้าศึกต้องการความช่วยเหลือ
"เมื่อข้าพเจ้าปรารถนาจะหลีกเลี่ยงการรบ"
ข้าพเจ้าอาจป้องกันตัวเองง่ายๆ ด้วยการขีดเส้นลงบนพื้นดิน ข้าศึกก็ไม่อาจโจมตี
ข้าพเจ้าได้
เพราะข้าพเจ้าจะเปลี่ยนมิให้ข้าศึกมุ่งไปยังที่เขาประสงค์จะไป
"ถ้าข้าพเจ้าจะสามารถคอยพิจารณาดูท่าทีของข้าศึก
ขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็ช่อนเร้นท่าทีของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็จะสามารถรวมกำลัง
โดยข้าศึกต้องแบ่งกำลัง และถ้าข้าพเจ้ารวมกำลังได้ ขณะที่ข้าศึกแบ่งแยกกำลัง
ข้าพเจ้าก็สามารถใช้กำลังทั้งหมดขยี้กำลังย่อยของข้าศึกได้
เพราะข้าพเจ้ามีจำนวนทหารมากกว่า
ฉะนั้นเมื่อสามารถใช้กำลังเหนือกว่าโจมตีผู้มีกำลังด้อยกว่า
ณ จุดที่ข้าพเจ้าเป็นผู้กำหนด ใครที่ต้องสู้กับข้าพเจ้าจะเหมือนดังอยู่ในช่องแคบอันเต็มไปด้วยอันตราย"
"ข้าพเจ้าจะต้องไม่ให้ข้าศึกรู้ว่า ข้าพเจ้าจะเปิดการรบ ณ ที่ใด เมื่อไม่รู้ว่าข้าพเจ้าตั้งใจจะรบที่ใด
ข้าศึกก็ต้อง เตรียมตัวรับในที่ต่างๆกันหลายแห่ง เมื่อข้าศึกต้องเตรียมรบในที่หลายแห่ง
ณ จุดที่ข้าพเจ้าต้องการเปิดการรบ กำลังของข้าศึกจึงมีอยู่เพียงเล็กน้อย"
จงพิจารณาที่แผนของข้าศึกเสียก่อน
แล้วท่านจึงรู้ว่าควรใช้แผนยุทธศาสตร์ใดจึงจะได้ผล
กวนข้าศึกให้ปั่นป่วน แล้วดูรูปขบวนความเคลื่อนไหวของข้าศึกให้แน่ชัด
พิจารณาท่าทีของข้าศึก แล้ว "ศึกษาลักษณะภูมิประเทศ
(สมรภูมิ) ให้ถ่องแท้"
ตรวจสอบ และ "ศึกษาให้รู้ว่า กำลังของข้าศึกส่วนใดเข้มแข็ง
และส่วนใดบอบบาง"
"สิ่งสำคัญในการวางรูปขบวนศึก
อยู่ที่การไม่กำหนดรูปร่างให้แน่ชัด
เพื่อมิให้สายลับของข้าศึกที่แอบแฝงอยู่อ่านรูปขบวนออก
ข้าศึกแม้จะมีสติปัญญาเพียงใด ก็ไม่สามารถวางแผนทำลายท่านได้"
เมื่อข้าพเจ้าได้ชัยชนะครึ่งหนึ่งแล้ว
ข้าพเจ้าจะไม่ใช้ยุทธวิธีนั้นซ้ำอีก
แต่จะยึดถือเอาสภาวะแวดล้อมในลักษณะที่ผิดแปลกแตกต่างออกไปไม่รู้จบสิ้น
ในการทำสงครามไม่มีภาวะใดคงที่
ทั้งความได้เปรียบ
และอันตราย เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้กลยุทธ์
ผู้ที่เคลื่อนทัพขบวน เพื่อหาความได้เปรียบ จะไม่มีวันรับความได้เปรียบ
ถ้าเขาทิ้งค่าย เพื่อแสวงหาความได้เปรียบ สัมภาระจะเกิดความเสียหาย
สิ่งที่ตามมา คือ เมื่อเก็บเกราะ แล้วเดินทางด้วยความรีบเร่งเกินไป
ผลที่ตามมา กองทัพจะขาดอาวุธยุทโธปกรณ์หนัก
เสบียงอาหาร
และสัมภาระอื่นๆจะสูญเสีย
ผู้ที่ไม่รู้จักสภาพป่า ที่รกอันเต็มไปด้วยอันตราย
พื้นที่ชื้นแฉะ และพื้นที่ของป่าชายเลน
จะไม่สามารถนำทัพเดินทางได้
ผู้ที่ไม่รู้จักมัคคุเทศก์พื้นเมือง
จะไม่อาจแสวงหาความได้เปรียบได้จากพื้นที่
รากฐานของการทำสงคราม
คือ กลอุบาย
เคลื่อนที่เมื่อมีทางได้เปรียบ
แล้วสร้างสถานการณ์ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยแยกกำลัง และรวมกำลัง
เมื่อลงมือเข้าตี
ต้องรวดเร็วราวลมพัด เมื่อเดินทัพ ให้มีความสง่าดังป่าไม้
เมื่อบุกทลวง
ก็ให้เหมือนดังไฟไหม้ เมื่อหยุดยืน
ก็ให้มั่นคงดังขุนเขา
มิให้ผู้ใดหยั่งเชิงได้ดั่งเมฆ
เมื่อเคลื่อนที่
ก็รวดเร็วดังสายฟ้าฟาด เมื่อรุกเข้าไปในชนบท แบ่งกำลังออก
เมื่อยึดดินแดนได้ให้แบ่งปันผลกำไร
ชั่งน้ำหนักของสถานการณ์เสียก่อน
แล้วจึงเคลื่อนทัพ
กองทัพอาจถูกทำให้เสียขวัญได้
และแม่ทัพก็อาจหมดมานะได้
เมื่อทำศึกเป็นเวลานาน เปรียบเทียบได้ว่า เช้าตรู่ จิตใจทหารแจ่มใส
ระหว่างเวลากลางวัน ทหารเกิดความอิดโรย
พอตกเย็นก็คิดถึงบ้าน
ด้วยเหตุนี้ ผู้ชำนาญการศึก จึงหลีกเลี่ยงข้าศึกเมื่อเวลาที่ข้าศึกมีจิตใจฮึกเหิม
เข้าตีเมื่อเวลาที่ข้าศึกอิดโรย ทหารพากัน
คิดถึงบ้าน
นี่คือ เรื่องของการควบคุมภาวะของอารมณ์ เมื่อกองทัพที่อยู่ในระเบียบ
ตั้งคอยตีทัพข้าศึกที่ขาดระเบียบ ในความสงบเงียบนั้น คือจิตใจที่กระหายจะสู้รบ
นี่คือ การควบคุมภาวะจิตใจ
ศิลปะของการใช้กำลังทหาร
อยู่ที่
ไม่เผชิญหน้ากับข้าศึกที่อยู่บนที่ดอนและเมื่อข้าศึกยึดได้เนินเขา
ยันด้านหลังของกองทัพอยู่ ก็อย่าเข้าทำการรบด้วย
เมื่อข้าศึกแสร้งทำแตกหนี อย่าติดตาม
อย่าเข้าตีกองทหารทลวงฟันของข้าศึก
อย่ากลืนเหยื่อที่ข้าศึกเสนอให้
อย่าขัดขวางข้าศึกที่กำลังเดินทางกลับบ้านเมือง
เมื่อล้อมข้าศึกไว้ได้
ท่านจงเปิดทางหนี
(ให้ข้าศึก) ไว้ อย่ารังแกข้าศึกจนมุม
มีบางโอกาสที่แม่ทัพไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้มีอำนาจปกครองสูงสุด
"เมื่อท่านมองเห็นวิถีทางที่ถูกที่ควร จงปฏิบัติ
อย่าคอยคำสั่ง"
แม่ทัพเข้าถึงถ่องแท้ในความได้เปรียบของการใช้หลักของ "สิ่งที่ผันแปรได้
๙ ประการ" ย่อมรู้ว่า "จะใช้ขบวนศึกอย่างไร"
แม่ทัพผู้ไม่เข้าใจความได้เปรียบจากหลักของ "สิ่งที่ผันแปรได้
๙ ประการ" จะไม่สามารถใช้พื้นที่เพื่อความได้เปรียบ
แม้จะมักคุ้นกับพื้นที่นั้นดี
อำนวยงานปฏิบัติทางการทหารนั้น ผู้ที่ไม่เข้าใจเลือกยุทธวิธีอันเหมาะสมกับ
"ความผันแปรได้ ๙ ประการ"
จะไม่
สามารถใช้กำลังทหารอย่างได้ผลดี
แม้แต่ถ้าเขาจะเข้าใจ "ความได้เปรียบ ๕ ประการ"
ความแตกต่าง ๕ ประการ
มีอยู่ดังนี้
๑.
เส้นทางใด แม้จะสั้นที่สุดก็ไม่ควรเดินตาม
ถ้าทราบว่า มีอันตราย และอาจฉุกเฉินด้วยข้าศึกซุ่มตี
๒.
กองทัพที่เห็นว่าอาจเข้าตีได้ แต่ไม่ควรเข้าตี
ถ้าสภาพแวดล้อมดูสิ้นหวัง และเป็นไปได้ว่า
ข้าศึกจะสู้สุดชีวิต
๓.
แม้เมืองจะตั้งอยู่โดดเดี่ยว ชวนให้เข้าตีได้
ก็ไม่ควรเข้าตี ถ้ามีทางเป็นไปได้ว่า
ข้าศึกมีเสบียงอาหารสะสมไว้ดี มีกองทหารกล้าแข็งคอยป้องกัน มีแม่ทัพที่ฉลาดคอยสั่งการ
ขุนนางข้าราชการก็ซื่อสัตย์ต่อเจ้าเมือง มีแผนที่หยั่งรู้มิได้
๔.
พื้นที่ก็ดูเหมือนเหมาะที่จะเข้ารบ ยังไม่ควรเข้ารบ
ถ้ารู้ว่าเมื่อเข้าถึงพื้นที่นั้นแล้ว ยากที่จะป้องกันตัว หรือเมื่อยึดได้แล้ว
ไม่เกิดประโยชน์อันใด
ขณะเดียวกันอาจถูกโจมตี ตอบโต้จนเกิดความเสียหายได้
๕.
แม้คำบัญชาจากผู้มีอำนาจปกครองแผ่นดิน เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ
ก็ไม่ปฏิบัติ ถ้าแม่ทัพทราบว่า คำบัญชามีอันตราย
อันเกิดจากข้อแนะนำอันไม่สุจริตจากเมืองหลวง
เหตุอันเกิดขึ้นได้ทั้ง ๕ ประการนี้
จะต้องแก้ไขเมื่อเกิดขึ้น
โดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมในขณะนั้น
ปัญหาเหล่านี้จะจัดการให้สำเร็จล่วงหน้ามิได้
ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพผู้ฉลาด เมื่อจะต้องแก้ปัญหาต่างๆ จึงต้องพิจารณาปัจจัยทั้งที่เป็นคุณ
และโทษ
แม่ทัพ ต้องรอบคอบพอที่จะ "เห็นอันตรายอันทำให้เกิดความได้เปรียบ และความได้เปรียบที่
ทำให้เกิดอันตราย"
เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆอันเป็นคุณแล้ว แม่ทัพย่อมกำหนดแผนที่จะใช้ปฏิบัติได้
โดยเอาปัจจัยที่เป็นโทษเมื่อร่วมพิจารณา
ด้วย
แม่ทัพจึงอาจขจัดปัดเป่าความยากลำบากทั้งมวลได้
ถูมู่อธิบายว่า....
"ถ้าข้าพเจ้าปรารถนาความได้เปรียบจากข้าศึก ข้าพเจ้าจะไม่คิดถึงเพียงความได้เปรียบจากการกระทำเช่นนั้น
แต่แรกทีเดียวจะต้องพิจารณาว่า
ข้าศึกจะทำอันตรายอะไรได้บ้าง ถ้าข้าพเจ้าปฏิบัติเช่นนั้น"
กฎของสงครามมีอยู่ประการหนึ่งคือ อย่าคะเนว่าข้าศึกจะไม่มา
แต่ควรจะคิดว่า เราพร้อมจะเผชิญหน้าข้าศึกอยู่เสมอ
อย่าคิดเสียว่า
ข้าศึกจะไม่เข้าตี แต่ให้ถือว่า ต้องทำให้ไม่มีผู้ใดทำลายได้
ยุทธศาตร์ของหวู กล่าวว่า
"เมื่อโลกมีสันติภาพ
สุภาพบุรุษย่อมวางดาบไว้ข้างตัว"
มี
คุณสมบัติอยู่ ๕ ประการ
ที่เป็นอันตรายต่อบุคลิกภาพของแม่ทัพ
ถ้าประมาท
อาจถูกฆ่า
ถ้าขาดกลัว
จะถูกจับ
ถ้าเป็นคนโมโหฉุนเฉียวง่าย
จะหลอกให้โง่ได้ง่าย
ถ้าเขาเป็นคนอ่อนไหวในความรู้สึกเรื่องเกียรติยศ
ท่านย่อมจะสบประมาทให้โกรธได้ง่าย
ถ้าเขาเป็นคนขี้สงสาร
ท่านย่อมรบกวนความรู้สึกของเขาได้
บุคลิกภาพทั้ง ๕ ประการนี้
เป็นอันตรายร้ายแรงสำหรับผู้เป็นแม่ทัพ
และเมื่อลงมือปฏิบัติการทางทหาร ย่อมเกิดความหายนะ
ซุนจู้กล่าวว่า...
"เบื้องหน้าคือความตาย เบื้องหลังคือความมีชีวิต"
โดยทั่วไปการตั้งทัพตามสภาวการณ์ทั้งสี่ที่กล่าวมานี้ ย่อมทำให้เกิดความได้เปรียบ
ที่ใดมีน้ำไหลเชี่ยว จากที่สูงชัน มี "บ่อสวรรค์"
"กรงสวรรค์" "กับดักสวรรค์" "ตาข่ายสวรรค์"
"รอยร้าวสวรรค์"
ท่านต้องรีบเดินทัพออกจากที่เหล่านี้โดยเร็วที่สุด
อย่าเข้าไปใกล้
ข้าพเจ้าอยู่ห่างจากสถานที่เช่นนี้ แล้วล่อให้ข้าศึกเข้าไปในที่เช่นนี้
ข้าพเจ้าเผชิญหน้าข้าศึก แล้วทำให้ข้าศึกหันหลังเข้าหาสถานที่เช่นนี้
เมื่อด้านข้างของกองทัพเป็นป่ารกชัฎอันตราย หรือหนองน้ำปกคลุมด้วยหญ้าและพงอ้อ
ดงเสือหมอบหรือป่าลึก
ใกล้เขาโคนไม้ปกคลุมด้วยเถาวัลย์
ท่านจะต้องค้นด้วยความระมัดระวัง เพราะสถานที่เช่นนี้ข้าศึกมักซุ่มโจมตี
และสายลับ
มักซุกซ่อน
เมื่อข้าศึกอยู่ใกล้ แต่สงบนิ่งอยู่
ข้าศึกอาศัยที่ตั้งที่เหมาะสม
เมื่อข้าศึกอยู่ไกล แต่ท้าทายหมายยั่วให้ท่านรุกเข้าหา
ข้าศึกย่อมอยู่ในพื้นที่เหมาะสม
และอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ
ในการทำศึก จำนวนทหารอย่างเดียวมิได้แสดงถึงความได้เปรียบ
อย่ารุกโดยถือเอาอำนาจทหารเป็นสำคัญ
ประมาณสถานภาพของข้าศึกให้ถูกต้องก็เป็นการเพียงพอ แล้วรวมกำลังของท่านจับข้าศึกให้ได้
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
ผู้ที่ขาดสายตาไกล
ประมาณกำลังของข้าศึกผิดพลาด จะถูกข้าศึกจับได้
ถ้าทหารของท่านถูกลงโทษ ก่อนจะดูให้แน่ถึงความจงรักภักดี ทหารจะหมดความเชื่อถือในคำสั่ง
ถ้าทหารไม่เชื่อฟัง ก็ยากจะใช้งาน
ถ้าทหารมีความจงรักภักดี แต่ไม่มีการลงโทษเมื่อทำผิด ก็ใช้งานมิได้เช่นกัน