Final Fantasy VII: Un-Told Ending
Chapter 4: Each of their own ways (Part
1)
ป้ายสีสดใสปรากฏอยู่ทั่วเมืองจูนอน
เสียงเพลงที่คุ้นหูบรรเลงให้ได้ยินกันทั่ว
พร้อมกับเสียงสะท้อนจากเหล่าตึกสูงที่อยู่ในเมือง
ผู้คนเนืองแน่นอยู่สองฟากถนน
พวกเขาต่างกระตือรือร้นที่จะได้เห็นประธานคนใหม่ของชินระ
คอมปานี จากข้างในลิฟท์ของจูนอน
บาร์เรทมองเห็นความยินดีอยู่บนใบหน้าของผู้คน
เขาขยับเสื้อโค้ทของเขา
ซึ่งค่อนข้างน่ารำคาญสำหรับเขา
เขารู้ว่าเขาไม่เหมาะกับชุดอย่างนี้เลยซักนิด
อย่างน้อยก็ไม่ต้องผูกไทด์
เขาคิด
มาร์ลีนนั่งขำพ่อของเธออยู่ข้างๆ
ดูตลกล่ะสิ? เขาถามเธอ
มาร์ลีนสั่นศีรษะอย่างแรง
จี้ของแม่ของเธอที่ห้อยอยู่โยนตัวเองตามแรงนั้น
เปล่าซะหน่อย!
บาร์เรทยิ้มแล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง
มองเห็นทะเลกว้างใหญ่สีครามอยู่ข้างนอกนั่น
เอาเถอะ
ยังไงๆพ่อก็ต้องใส่จนชินอยู่ดี
จากด้านหลัง เสียงกระแอมดังมา
บาร์เรทหันมาพบกับชายสวมชุดชั้นดีคนคนหนึ่ง
ชุดสูทสีดำ
ผมของเขาดำปล่อยยาวถึงหลัง
และเขามีเคราแพะเป็นจุดเด่นอยู่บนใบหน้าของเขา
ดีใจที่ได้เจอนะเพื่อน
เขายืนมือออกไปเพื่อจับมือกับบาร์เรท
ขอแสดงความยินดีกับหัวหน้าแผนกอวาแลนช์ของชินระ
แล้วก็แล้วผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ควบคุมการพัฒนาเหมืองถ่านหินใหม่อีกครั้ง
บาร์เรทยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือชายคนนั้น
อย่าทำตัวดีนักเลย,รีฟฉันจะได้เตะตูดนายบ้าง
รีฟหัวเราะหึๆ รู้อยู่แล้วน่า
ก่อนที่เราจะออกไปพบกับประชาชน
ขอให้ผมแนะนำผู้ช่วยคนใหม่ของผมหน่อยนะ
บางทีนายอาจเคยเจอกันแล้วก็ได้
เขายิ้มเล็กๆ
แล้วร่างสามร่างในสูทสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดิน
คนหนึ่งเป็นชายผมแดง
ปล่อยผมรุงรัง
รุงรังพอๆกับสูทของเขา
ยืนพิงประตูอยู่มือข้างหนึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง
ในขณะที่อีกข้างคอยเสยผมให้พ้นจากการแยงเข้าตา
ชายอีกคนสวมแว่นตาดำซ่อนนัยตาไว้ข้างในและโกนผมออกหมด
เขายืนอยู่ข้างๆคนที่สาม
หญิงสาว
ผู้มีดวงตาสีน้ำตาลและผมบลอนด์ยาวถึงคอ
ดีที่ได้อยู่ข้างเดียวกันแล้วเนอะ?
เอเลน่ายิ้มพร้อมๆกับเอนตัวไปที่รูดอย่างเคย
รูดไม่มีความเห็นอื่นนอกจากความเงียบ
เอเลน่ายิ้มเล็กๆ
รีโน่ถ่ายน้ำหนักมาที่ขาอีกข้างแล้วก็เปรยขึ้นมา
เฮ้ นี่แหละชีวิตล่ะ
ดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏให้เห็นที่ขอบฟ้าของวูไท
แสงอาทิตย์ของวันใหม่ส่องไปทั่วท้องฟ้า
ผู้คนของวูไทเริ่มงานประจำวันดังเช่นที่เป็นอยู่ประจำในเมืองใหญ่อย่างวูไท
ถนนเริ่มเต็มไปด้วยผู้คน
แต่ก็ไม่มีใครที่จะเงยหน้ามองมาที่รูปปั้นยักษ์ของดาเชาที่ภูเขาหรืออาจจะมองมา
แต่ก็ไม่ได้สังเกตุเด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่บนยอดเขามองลงมายังเบื้องล่าง
ยัฟฟี่วางชูริเคนของเธอลง
เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว
วูไทผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหน้าเธอไม่มีความฝันใดที่เอื้อมไม่ถึงอีกแล้ว
เธอรู้ว่าเธอติดค้างทุกคนอย่างมากที่ยกมาเทเรียให้วูไทที่เป็นที่รักของเธอไม่ว่าเธอพยายามจะปัดความคิดนี้เพียงไร
เธอก็ยังรู้ว่า เธอคิดถึงพวกเขา
และซักวันเธอคงเจอพวกเขาอีก
สักวัน
อยู่บนนี้ทั้งคืนเลยรึ?
พ่อของเธอ โกโด เดินมาที่เธอ
หนูแค่ตื่นเร็วกว่าคนแก่เท่านั้นแหละ
ยัฟฟี่ยิ้มเยาะ
แก่เรอะ!! โกโดว่ากลับ
เขาหัวเราะแล้วถอนใจ
มองไปยังเมืองของเขา
สวยเหลือเกินนะ
เขาเปรย
ดาเชาและลิเวียธาน
ตอนนี้คงจะภูมิใจในตัวลูกมากเลย
แล้วก็ภูมิใจในพ่อของหนูด้วย
ยัฟฟี่พูดเบาๆ
หนูก็ภูมิใจด้วยค่ะ
พ่อ
ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ไม่ได้เคลื่อนไหว
นอกจากเสียงหายใจของเขา
เขานั่งอยู่บนบัลลังค์ในถ้ำของลูเครเชีย
และมันยิ่งทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าเดิมทุกๆรอยแตกบนผนัง
ทุกๆภาพสะท้อนบนกำแพงวินเซนท์ไม่สามารถทนที่จะยืนอยู่บนพื้นได้ภาพสะท้อน
ทำให้เขานึกถึงบาปที่ก่อไว้
เขาเอนตัวลงกับพนักผิง
สองมือประสานกันไว้ แน่นอน
เขาไม่อาจจะลืมความเจ็บปวดนี้ได้
เมื่อลองคิดดู
เขามีบางสิ่งนอกจากความเจ็บปวด
เขามีเพื่อนทำไมเขาถึงจากพวกเขามา?
บางที
เขาอาจต้องให้ความทรงจำเกี่ยวกับลูเครเชียยังคงอยู่กับเขาก็ได้
เขาเพียงหลับตาลงก็วาดภาพของเธอได้ในทันที
ลูเครเซีย
เธอฝืนตัวเองผ่านความเจ็บปวดนั้นเพราะ
ฝืนเหรอ?
ดวงตาของวินเซนท์เปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาคิดถึงคำๆนี้
ฝืน
เขาทุกข์ทรมานมาเท่าใดเพราะเขาฝืนมัน?
นานเท่าใดที่เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวกับความทุกข์ในเมื่อโอโจกับการกระทำของเขาจบไปนานแล้ว
เขาจะใช้ชีวิตแบบนี้หรือ?
วินเซนท์ลุกขึ้นจากบัลลังค์
ยืนบนสองเท้าของตัวเองอีกครั้ง
ไม่
ไม่อีกแล้ว
เขาได้ไถ่บาปแล้ว
วินเซนท์ถอดปลอกแขนและผ้าคลุมออก
และโยนที่คาดผมทิ้งไป
เขามองตัวเองในภาพสะท้อนอีกครั้ง
เขาไม่ได้เป็นมนุษย์น้อยกว่าที่เคยเป็นเลย
ไม่น้อยกว่าใครทั้งนั้น
พร้อมกับความสงบในใจ
วินเซนท์ก้าวไปสู่ทางออกของถ้ำ
ที่ปากถ้ำมีแสงสว่าง
เขาสูดหายใจ
เขาพร้อมแล้วสำหรับชีวิตภายนอกประตูนี้
พร้อมๆกับก้าวออกสู่แสงสว่างที่คอยโอบอุ้มเขา