ROAR !!!
ROAR !!!
Chapter 10 - Lost City, Lost Person
ฝ่ายรัซเซลล์กับสตันที่รับมืออยู่ที่กำแพงเมืองด้านใต้นั้นเห็นแสงที่เกิดจากหยาดแห่งอรุณระเบิดกลางอากาศอันเป็นสัญญาณถอยทัพก็รีบสั่งการทหารใต้บังคับบัญชา
ของตัวเองให้รีบถอยทัพทันที พร้อมๆกับที่ตัวเองกับสตันก็คืนร่างเดิมของตัวเองแล้วเผ่นไปหาม้าที่ผูกเตรียมไว้ในเมืองสำหรับหนีทันที
ระหว่างที่ถอยทัพนั้น รัซเซลล์พึมพำออกมาดัง ๆ
" แปลกแฮะ ทำไมท่านกราเซียสั่งถอยทัพเร็วผิดปกติ
รึมีเหตุร้ายอะไร " แล้วหันไปถามสตัน
" แกคิดว่าไง สตัน "
สตันนั้นเงียบ ไม่ตอบคำถามของรัซเซลล์แม้แต่น้อย
สร้างความขุ่นข้องแก่รัซเซลล์อย่างมาก
" ไอ้บ้านี่ ตอบสักคำไม่ได้รึไง "
เขาบ่นออกมาอย่างรำคาญใจ
ชั่วระยะเวลาไม่นานนัก กองทัพของรัซเซลล์กับสตันก็มาพบกับกองทัพของกราเซียที่ถนนใหญ่กลางเมืองซึ่งเชื่อมประตูเมืองตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน
" เอาละ รีบหนีออกทางประตูเมืองด้านตะวันตกเร็ว "
กราเซียร้องสั่ง ก่อนจะหันหัวไปมาสำรวจกองทัพแล้วร้องถามออกมา
" เคนนี่กับแอรอนล่ะ กองทัพของเคนนี่กับแอรอนยังไม่มาที่นี่ "
" บ้าน่า สัญญาณถอยทัพก็ส่งไปแล้ว
เจ้าสองคนนั่นก็น่าจะมาแล้วนี่นา "
รัซเซลล์เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน "รึว่าเกิดเรื่องกับเจ้าพวกนั้น "
กราเซียนิ่งคิดอย่างลำบากใจว่าจะไปช่วยพวกเคนนี่ดีหรือจะไปช่วยกลุ่มผู้อพยพก่อนดี
ทางหนึ่งก็ลูกน้องคนสนิท ทั้งฝีมือดี
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าทั้งสองเป็น
คนจิตใจงดงามอย่างที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ส่วนอีกทางก็ประชาชนที่ไร้ทางสู้ใดๆ
มีแต่จะตายเปล่าถ้าหากประสบอันตราย
ถึงมีกองกำลังคอยคุ้มกันอยู่ก็เถอะ ถ้าหากศัตรูซุ่มกำลัง
ที่เหนือกว่าเอาไว้ก็เสร็จเหมือนกัน
ในที่สุด กราเซียก็ตัดสินใจได้ เขาออกคำสั่งทันที
" รีบออกจากเมืองโดยเร็วที่สุด "
" ตะ.. แต่ว่า พวกเคนนี่... "
" ไม่ต้องห่วง พวกนั้นเองไม่ใช่กระจอก
ต้องหาทางหนีรอดจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้แน่
แต่ตอนนี้ขบวนของผู้อพยพกำลังประสพภัยอยู่ที่นอกเมือง
ถ้าเราไม่รีบไป ประชาชนนับพันต้องถูกทหารวอร์เรนเซียฆ่าตายแน่นอน "
รัซเซลล์อับจนถ้อยคำกับเหตุผลของกราเซีย
เขาหันไปสั่งเดินทัพด้วยน้ำเสียงขมขื่นยิ่งนัก
กราเซียเองก็รู้สึกไม่ดีพอๆ กับรัซเซลล์เช่นกัน
แต่สถานการณ์ของผู้อพยพนั้นแย่กว่าสถานการณ์ของเคนนี่กับแอรอนมากนัก
ดังนั้นพวกเขาจำต้องตามไปช่วยฝ่ายผู้อพยพก่อนโดยในใจนั้นหวังว่าเคนนี่กับแอรอนคงจะสามารถเอาตัวรอดได้
เคนนี่กับแอรอนยืนอยู่เคียงกันด้วยทีท่าเหนื่อยอ่อนอย่างที่สุด
เคนนี่นั้นมีรอยถูกกรงเล็บของมาอิเข้าที่ไหล่ขวาเป็นแผลเหวอะขนาดใหญ่มาก
ส่วนแอรอนโดนจะงอยปากของมาอิจวกเอาเป็นแผลใหญ่ที่อกขวา
เลือดไหลหยดเป็นทางยาวบนพื้นมีซากศพของทหารหลายสิบซากกองอยู่เต็มไปหมด
ส่วนมาอินั้นเกาะอยู่กับหลังคาป้อมบนกำแพงทางด้านขวาจับจ้องมายังเคนนี่กับแอรอนด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมเหมือนงูเห่าจ้องกบสองตัวที่อยู่เบื้องหน้า
ที่ตัวเองจะขยอกลงคอเสียเมื่อไหร่ก็ได้
ที่โคนปีกซ้ายนั้นมีรอยแผลขนาดใหญ่พอสมควรเลือดไหลลงมาตามปีก มาหยดติ๋งๆที่ปลายปีกที่ชี้ลงกับพื้น
" เก่งนี่หว่าเคนนี่ " แอรอนกระซิบเบาๆ "เหนื่อยออกอย่างนั้น
แถมโดนเล่นซะโครมใหญ่จนมึนตึ้บไปอย่างนี้
ยังเบี่ยงจุดสำคัญให้พ้นจากรัศมีโจมตีของมัน
ได้ แถมยังเล่นปีกซ้ายของมันซะทีนึงอีก "
" ไม่เก่งอะไรหรอกวะ " เคนนี่กระซิบตอบไป "เพราะอาการบาดเจ็บทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ของชั้นช้าลงไปนิดนึงเลยหลบช้ากว่าปกติ แล้วบังเอิญปีกซ้ายมันลงมา
อยู่ใกล้ๆ ชั้นพอดี ชั้นเลยตบเล็บส่งๆ ออกไป
ไม่คิดเหมือนกันว่าจะโดนเข้า "
" แกนี่มันดวงดีจริงว่ะ "
" ดวงซวยต่างหากล่ะ ถ้าในตอนนั้นชั้นไม่ตบเล็บมั่วซั่วออกไปละก็
ป่านนี้โดนเล็บมันปอกหนังหัวไปแล้ว "
" จะยังไงก็แล้วแต่ชั้นว่าเราควรจะห่วงเสถียรภาพในชีวิตของตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง"
แอรอนพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปทางมาอิที่บินขึ้นฟ้าอีกครั้ง
แววตาสีแดงเพลิง เต็มไปด้วยแววโกรธแค้น เหมือนจะจับจ้องมาทางทั้งสองคน
หากแต่ความจริงแล้ว ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เคนนี่เพียงคนเดียว
" ดูตาแม่ซะก่อน คงโกรธแทบคลั่งเชียวละที่แกตบเขาซะปีกเหวอะ
แบบนี้เสร็จแหงๆ ว่ะ "
" จะเอาไง หนีก่อนดีมั้ย "
" ไม่ไหว หนีไม่พ้นหรอก "
" งั้นเอาไงดีวะ "
" สั่งทหารที่ยังอยู่ให้เผ่นไปก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน"
เคนนี่หันไปสั่งทหารใต้บังคับบัญชาที่ยังเหลือรอดอยู่ให้เผ่นออกไปก่อน
มาอิเห็นดังนั้นก็สะบัดปีกจะปล่อยคลื่นพลังเล่นงานพวกทหารที่เผ่นออกไป
แต่คลื่นพลังนั้น ถูกแฟนธอมแฟงค์ของเคนนี่พุ่งออกมาต้านซะจนสลายไป
" แก !!!! เสือกกะโหลกเข้ามาอีกแล้ว "
เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นของมาอิดังก้องพร้อมกับที่ร่างของมาอิบินสูงขึ้นไปอีกพร้อมกับหลุบปีกและปักหัวลง
ในท่าเตรียมจะพุ่งเข้าโฉบใส่ทั้งสองอีกครั้ง
คราวนี้ทั้งสองคนไม่อยู่ใกล้กันอีกแล้ว
หากแต่แยกไปยืนอยู่ห่างๆ กันเพื่อให้มาอิพะวง
ไม่รู้ว่าจะจู่โจมคนไหนดี
ทว่า มาอินั้นไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เธอโฉบเข้าใส่เคนนี่อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เคนนี่เห็นดังนั้นก็ยกแฟนธอมแฟงค์ขึ้นเตรียมรับการโจมตี
ส่วนแอรอนนั้นเมื่อเห็นมาอิ โฉบผ่านตนไปหาเคนนี่
ในตอนนั้นเขาเห็นว่าด้านหลังของมาอิเปิดช่องโหว่เบ้อเร่อ
ดังนั้นจึงกระโจนเข้าหามาอิที่กำลังโฉบเป็นแนวเฉียงเข้าหาเคนนี่ทางด้านหลังทันที
แต่พริบตาที่พุ่งเข้าไปถึงนั้น
ร่างของแอรอนก็ถูกอะไรบางอย่างกระแทกโครมจนกระเด็นเข้าให้แบบเดียวกับที่เคนนี่โดนในตอนที่มาอิปรากฏตัวครั้งแรก
ฝ่ายเคนนี่เองก็ไม่เหลือพลังพอที่จะหลบการจู่โจมของมาอิได้อีกแล้ว
จำต้องตั้งท่าฝืนรับการจู่โจมของมาอิอย่างหักโหม
แต่พริบตาก่อนที่มาอิจะโฉบถึงตัวเคนนี่นั้น
กระสุนพลังสีดำ ลูกขนาดลูกวอลเล่ย์บอล
พุ่งแหวกกลางระหว่างเคนนี่กับมาอิ
มาอิชะงักไปจังหวะหนึ่งเพื่อหลบลูกพลังนั้น
ร่างของมาอิพุ่งแฉลบร่างของเคนนี่
ไปไม่ถึง 2 นิ้วด้วยซ้ำไปเกาะนิ้งอยู่กับเชิงเทินห่างจากเคนนี่ไปประมาณ 3 เมตร
ขณะที่เคนนี่กำลังยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันนั้น
" พอแค่นั้นแหละ ไอร่า อ้อ ไม่สิตอนนี้คงเป็นมาอิสินะ "
เจ้าของเสียงที่พูดนี้ยืนนิ่งอยู่ที่เชิงเทินด้านหลังจุดที่แอรอนยืนอยู่ห่างไปประมาณ
5 เมตร มันคือ เดธมาคส์แห่งทัพสมิงวอร์เรนเซียนั่นเอง
ฝ่ายแอรอนถึงกับตะลึงนึกในใจ " บ้าน่า
มันเข้ามาใกล้ขนาดนี้โดยที่เราไม่รู้ตัวได้ยังไง "
" ท่านเดธมาคส์ " เสียงมาอิ (หรือไอร่า)ร้องเรียกด้วยทีท่าตกใจ
" ตอนนี้เราบรรลุเป้าหมายของเราคือยึดเมืองมิวส์ได้แล้ว
ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องสู้โดยไร้ประโยชน์อีก
กลับไปรวมตัวกับคนอื่นได้แล้ว มาอิ "
" แต่ว่า ท่านคะ.... "
มาอิทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ต้องเงียบไปเมื่อเห็นสายตาดุดันของเดธมาคส์จ้องมา
มาอินั้นความจริงอยากจะฆ่าเคนนี่ด้วยมือตัวเอง
แต่จนใจที่ตัวเองขัดคำสั่งเดธมาคส์ไม่ได้
จำต้องผละจากไปก่อน แต่ก่อนจากไปนั้นยังหันกลับไปมองเคนนี่
ด้วยแววตาที่แฝงแววอาฆาตแค้นรุนแรงยิ่ง
ทว่าผู้ถูกจ้องอย่างอาฆาตแค้นนั้นไม่ได้รู้สึกซะเลย
เพราะมีสิ่งอื่นที่กวนใจเขาได้มากกว่าแววตาอาฆาตของมาอิ
นั่นคือ คลื่นพลังสีดำที่เดธมาคส์ปล่อยออกมา
ขวางหน้าตนเองไว้พลังนั่น เคนนี่ร้องอยู่ในใจพร้อมกับนึกไปถึงอดีตเมื่อ
10 ปีก่อน
เคนนี่ตอนอายุ 7 ขวบ ยืนตะลึงตาค้าง
ในขณะที่ลูกพลังสีดำสนิทพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
ความเร็วขนาดนี้แม้นักสู้เก่งๆ ยังยากที่จะหลบ
นับประสาอะไรกับเด็กน้อยอายุเพียง 7 ขวบเล่า
แต่ในพริบตาก่อนที่ลูกพลังสีดำนั้นจะพุ่งเข้าหาเขา
ก็มีร่างเงาสีม่วงอ่อนสายหนึ่งพุ่งปราดมาขวางเบื้องหน้าของเขา
เสียงลูกพลังสีดำกระแทกเข้ากับเงาสีม่วงสายนั้น พร้อมๆ
กับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของเด็กสาวดังก้อง เลือดสดๆกระเซ็นออกมาด้วยความแรงของลูกพลัง
และบางส่วนกระเด็นมาเปื้อนใบหน้าและเสื้อของเคนนี่ที่ยืนตะลึงตาค้างอยู่นั่นเอง
ร่างเงาสายนั้นทรุดลงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเคนนี่
พร้อมๆ กับที่ใบหน้าของเงานั้นค่อยชัดขึ้นมา
ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเม็ดเกาลัด ใบหน้าสวยๆ
ซึ่งบัดนี้ซีดเหมือนคนตายและมีแววเจ็บปวดอย่างที่สุด
ทว่าก็ยังคงฝืนยิ้มอย่างอ่อนโยนและส่งประกายตาอบอุ่น
มาให้กับเคนนี่ พร้อมยกสองมือขึ้นมาโอบรอบร่างเล็กๆ
ของเขาไว้อย่างนุ่มนวล เธอคือ 'พี่สาว'
ในความทรงจำของเคนนี่นั่นเอง
มองข้ามไหล่ของพี่สาวไป ร่างเงาสีดำสายหนึ่ง
ขนสีน้ำตาลดำปกคลุมไปทั้งตัว มือเท้ามีเล็บคมกริบ
ปากแสยะจนเห็นเขี้ยวโค้งขาววับอยู่บนใบหน้ากึ่งเสือกึ่งหมาป่าดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความคลั่ง
ตัดกับสีของผลึกรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีแดงที่หน้าผากนั้น!!!!!!!!!
นึกได้แค่นี้ เคนนี่ก็คุมสติไว้ไม่อยู่ทันที
เขากรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ
เกร็งพลังออร่าทั่วร่างไปที่แฟนธอมแฟงค์โดยไม่สนอาการเหนื่อยอ่อนและอาการ
บาดเจ็บของตัวเอง พุ่งเข้าหาเดธมาคส์อย่างบ้าคลั่งพร้อมกับปล่อยแฟนธอมแฟงค์เข้าใส่เดธมาคส์ในลักษณะเป็นเส้นตรงเหมือนหอกและที่ปลายของแฟยธอมแฟงค์นั้น
หมุนติ้วเหมือนสว่านเพื่อช่วยเพิ่มอำนาจทะลุทะลวงอีกด้วย
ฝ่ายเดธมาคส์นั้นไม่หลบ คงยืนนิ่งเป้นหุ่น
จนแฟนธอมแฟงค์เข้ามาจะถึงตัวอยู่แล้ว นั่นแหละ
เดธมาคส์ถึงยกมือขวาขึ้นจับที่ปลายของแฟนธอมแฟงค์
ปลายที่หมุนอยู่นั้นสีกับมือของเดธมาคส์ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยุ่ครู่หนึ่งจึงหยุดหมุน
แม้จะหยุดได้
แต่ที่มือของเดธมาคส์ถึงกับควันขึ้นเพราะความร้อนจากการเสียดสีของแฟนธอมแฟงค์
ทั้งเคนนี่และแอรอนยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ปกติพลังการทำลายของแฟนธอมแฟงค์ตอนที่หมุนเป็นสว่านนั้นรุนแรงมาก
เท่าที่ผ่านมานั้น คนที่สามารถ
ใช้มือรับแฟนธอมแฟงค์ที่หมุนเป็นสว่านอยู่ได้นั้น
นอกจากกราเซียแล้วไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
มาวันนี้ได้เจอคนอื่นที่สามารถหยุดแฟนธอมแฟงค์แบบหัวสว่านได้
ต้องยืนตะลึงอยู่กับที่
ในขณะที่ทั้งสองกำลังตะลึงอยู่นั้นเอง
เดธมาคส์ก็กระชากแฟนธอมแฟงค์ขึ้นไปข้างบนอย่างแรงพาร่างของเคนนี่ลอยตามขึ้นไปด้วย
จากนั้นจึงจับแฟนธอมแฟงค์
ควงอยู่เหนือหัวพร้อมๆกับร่างของเคนนี่ที่ติดกับแฟนธอมแฟงค์นั้นหมุนติ้วไปด้วย
เคนนี่พลันนึกขึ้นได้ ว่าถ้าหากปล่อยให้ตัวเองติดกับแฟนธอมแฟงค์อยู่อย่างนี้
มีหวังโดนเหวี่ยงตกลงไปจากกำแพงหรือเหวี่ยงไปฟาดกับผนังหินจนตัวเละแน่ๆ ดังนั้น
เคนนี่จึงรีบปล่อยแฟนธอมแฟงค์ที่ติดอยุ่กับแขนเสียโดยเร็ว
ตอนนั้นแหละ เคนนี่ถึงหลุดออกมาได้
แต่แรงเหวี่ยงก็ทำให้เขายืนทรงตัวไม่ติดไปพันหนึ่ง
" ฉลาดนี่ " เดธมาคส์พูดพร้อมแสยะยิ้ม "ที่รีบปล่อยแฟนธอมแฟงค์ก่อนจะถูกเหวี่ยงตกกำแพงหรือกระแทกผนัง"
พูดจบ เดธมาคส์ก็ยกมือขวาของตัวเองขึ้นดู
ตอนนั้นจึงเห็นว่ามือขวาข้างนั้นถูกสีจนเป็นรอยไหม้แดงๆ
หนังถลอกทีเดียว
" แถมยังแข็งแกร่งอีก " เดธมาคส์พูดต่อ "
เพราะปีศาจหมาป่าสอนมาดี รึเพราะ 'พลังนั่น' กันนะ "
" พูดอะไรของแก !!! " เคนนี่กระชากเสียงถามอย่างโกรธแค้น
" อ้อ ขอโทษที ไม่แปลกหรอกที่นายจะไม่รู้
และนายก็ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรในตอนนี้ด้วย เฉพาะตอนนี้
ขอให้รู้เพียงอย่างเดียวว่า ชั้นทำทุกอย่างก็เพื่อตัวนายนะ "
" ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปาก 'ศัตรู' อย่างแกว่ะ"
" ชั้นน่ะรึ 'ศัตรู' ของนาย "
" เออสิวะ !!!!!! " เสียงของเคนนี่เกือบเป็นตวาด "แกฆ่าพี่สาวชั้น ดังนั้นแกก็คือศัตรู
ศัตรูที่ชั้นเฝ้าตามหามาตลอด 10 ปี "เดธมาคส์ส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ
เหมือนจะตัดพ้อก่อนจะพูด "ได้ฟังคนที่เคยมีความสัมพันธ์เก่าแก่กันมานานนมพูดจาแบบนี้
ฟังแล้วมันน่าเจ็บปวดหัวใจจริงแฮะ "ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด " แต่ช่างเถอะ
ในเมื่อมาแล้ว เห็นทีต้องขอเชิญตัวนายไปนั่งกินน้ำชาคุยกันที่ค่ายทหารของเราซะหน่อย
จะไปหรือไม่ไปมันก็เป็นสิทธิ์ของนายเองชั้นไม่ได้บังคับอะไร "
เคนนี่ลอบหัวเราะเยาะในใจ ไม่ได้บังคับเรอะ น่าขำ
ตอนนี้พวกเราสองคนกำลังเหนื่อยเต็มที่แถมบาดเจ็บอยู่
ยังไงก็ไม่มีทางสู้พวกแกได้อยู่แล้ว
ถ้าไม่ยอมไปกับแก พวกแกก็จะถือว่าเราเป็นศัตรู
แล้วสั่งเล่นงานพวกเราได้ทันทีล่ะสิ ปากบอกว่าไม่บังคับ
ที่จริงก็บังคับกันทางอ้อมล่ะวะ หน้าไม่อาย
แต่เคนนี่เองก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ดังนั้นจึงจำใจพูดออกไป
" โอเค ชั้นยอมไปเป็นแขกของแก
แต่ต้องปล่อยแอรอนเพื่อนของชั้นไป ตกลงไหม "
เดธมาคส์พยักหน้าทีหนึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าตกลง
แอรอนได้ยินเคนนี่พูดดังนั้นถึงกับสะดุ้งโหยง
" เคนนี่ ทำไมแกถึง... " แอรอนร้องออกมา
แต่ก็หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อได้เห็นสายตาวิงวอนของเคนนี่จับจ้องมาที่ตน
" ขอร้องว่ะ แอรอน ยังไงก็ต้องมีใครซักคนไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่กับท่านกราเซีย
แล้วก็ไม่ต้องห่วง ดูจากท่าทางแล้ว พวกมันคงไม่คิดจะ
ทำอะไรกับชั้นตอนนี้หรอก "
แอรอนยืนนิ่งมองเคนนี่อยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นจึงหักใจวิ่งจากไป
เมื่อเห็นแอรอนวิ่งจากไปแล้วเดธมาคส์จึงค่อยยืนหันข้างพร้อมกับผายมือออกแล้วพูด "เชิญ "
ฝ่ายกองทัพของกราเซียซึ่งตอนนี้ก็กำลังเร่งสปีดอย่างเต็มที่เพื่อไปช่วยเหลือผู้อพยพที่คาดว่ากำลังประสบภัยร้ายแรงอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ฝีเท้าม้าศึกแต่ละตัวจะทำได้
ตอนนี้อาการเจ็บปวดในออกของกราเซียทุเลาลงมากแล้ว
เนื่องจากกาโดช่วยเดินพลังออร่ารักษาอาการให้ส่วนหนึ่ง
ประกอบกับกราเซียหยุดใช้พลังจู่โจมอย่างหักโหม
ดังนั้นอาการปวดจึงลดลงอย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในใจของกราเซียก็ยังร้อนรนเหลือเกิน
ไหนจะความปลอดภัยของผู้อพยพ ไหนจะชีวิตของลูกน้องทั้งสองคนอีก
ทำให้ตอนนี้กราเซียผู้เยือกเย็น
กลับร้อนรนจนทนแทบไม่ไหว แต่ด้วยความเป็นหัวหน้า
ทำให้เขาไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าได้
กาโดเองก็ทราบดีว่าในใจของกราเซียตอนนี้รู้สึกอย่างไร
แต่ตัวเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกไปได้เลย
เมื่อเห็นทีท่าสงบเยือกเย็นผิดกับภายในใจของกราเซีย
ดวงตาของกราเซียจ้องมองไปยังขอบฟ้าแห่งราตรีเบื้องหน้าอย่างสงบ
สายลมเย็นๆ พันผ่านใบหน้าของเขาราวกับจะดับเพลิงแห่งความร้อนรนในใจของเขา
ให้ลดความร้อนแรงลงบ้าง ในเวลานั้น
ที่ขอบฟ้าอันมืดมิดนั้นก็พลันปรากฏแสงสว่างส่องประกายอย่างช้าๆ
พร้อมกับเสียงตะโกนเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ของเหล่ามนุษย์หลายพันคน
พร้อมกับเสียงดังขวับๆ ของธนูที่ถูกปล่อยออกมาจากแล่ง
เป็นสัญญาณว่าตอนนี้กองทัพของกราเซียกำลังจะเข้าใกล้กลุ่มผู้อพยพแล้ว
และยังบอกอีกด้วยว่าตอนนี้กลุ่มผู้อพยพกำลังตกอยู่ในอันตรายคิดได้ดังนี้ กราเซียก็ตะโกนสั่งให้เร่งความเร็วขึ้นอีก
พร้อมกับที่ตัวเองก็กระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้นเพื่อจะไปถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด
ไม่นานนัก กองทัพของกราเซียก็มาถึงที่หมายที่เร่งกันนักหนาให้มาถึงเร็วๆจนได้
บัดนี้ภาพที่ทั้งหมดเห็นเบื้องหน้าคือ
กลุ่มผู้อพยพกว่าห้าพันคน
กำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่ตรงกลางโดยมีทหารหาญแห่งเมืองมิวส์ทั้งสองพันคนล้อมเอาไว้รอบนอก
และที่เบื้องหน้านั้น กองทัพมนุษย์ขนาดใหญ่รี้พล
ไม่ต่ำกว่าเจ็ดพันคน พยายามจะบุกเข้าโจมตีกลุ่มผู้อพยพที่ไร้ทางสู้ทุกรูปแบบ
ทั้งเข้าประจัญบาน ใช้ธนู ฯลฯแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะรอบกลุ่มของผู้อพยพนั้น
หยาดแห่งอรุณหลายสิบลูก มีสนามพลังเชื่อมต่อกันล้อมกันเป็นเขตป้องกันที่เรียกว่าตาข่ายเก้าสุริยันป้องกันไม่ให้ธนูหรือพลรบแบบประจัญบานเข้าทำอันตรายได้
ลูกธนูพอกระทบกับตาข่ายเก้าสุริยันก็ลุกไหม้เป็นจุณ
ส่วนพลประจัญบานนั้นไม่ต้องพูดถึง พอปลายหอกแตะกับตาข่ายแล้วละลายหายไปเท่านั้น
เจ้าพวกนี้ก็ปอดแหกกันหมดแล้ว
ที่เบื้องหน้าตาข่ายเก้าสุริยันนั้น โซรอนแม่ทัพหนุ่มเลือดร้อนผู้ขอติดตามกองทัพของเดธมาคส์มาด้วยกำลังพยายามหาทางทำลาย
ตาข่ายเก้าสุริยันให้ได้ด้วยตัวเอง
เขาเกร็งพลังออร่าในร่าง สร้างเป็นแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ 5
แท่ง พุ่งเข้าใส่ตาข่ายเก้าสุริยัน
ทว่าไม่อาจทำลายตาข่ายเก้าสุริยันอันแข็งแกร่งได้เลย
อย่างเก่งก็ทำให้ตาข่ายสะเทือน
นิดหน่อยเท่านั้นเอง โซรอนเดิมทีก็เป็นคนเลือดร้อนอยู่แล้ว
ทั้งยังทระนงในฝีมือของตัวเองยิ่งนัก
ในวันนี้กลับไม่อาจทำลายเขตป้องกันธรรมดาๆ (?) ได้ก็ยิ่งโมโหจัดเข้าไปอีก
เขาตะโกนก้องด้วยความโกรธอยู่ครู่หนึ่งจึงถอยออกมาพร้อมกับรวบรวมพลังเพื่อจะทำลายตาข่ายให้ได้
" หยุดเถอะ
พลังของนายในตอนนี้ทำลายตาข่ายเก้าสุริยันไม่ได้หรอก
" เสียงบอกเรียบๆ ทว่าเมื่อไปพูดกับโซรอนก็เหมือนเอาน้ำมันไปราดกองไฟ
หมอนั่นหันขวับกลับมาอย่างโกรธแค้นพร้อมกับตะโกน " ใคร "
เจ้าของเสียงนั้นคือกราเซีย เขายืนม้าอยู่เบื้องหน้าของโซรอนโดยมีกาโดอยู่ข้างๆ
ทำให้โซรอนต้องคิดอยู่ในใจ " คนคนนี้บังคับม้าเข้ามาข้างหลังเราตอนไหนกันทำไมเราถึงไม่รู้ตัว "
" ชั้นชื่อกราเซีย " กราเซียตอบออกไปทั้งๆที่ความจริงไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้
" ที่แท้ท่านกราเซีย นักสู้อันดับหนึ่งผู้เป็นหัวหน้า 7
อัศวินเทพหมาป่านี่เอง เลื่อมใสมานานแล้วและหวังว่าจะมีโอกาสได้ขอคำชี้แนะบ้าง "
โซรอนพูดเป็นเชิงท้าดวลกับกราเซีย พร้อมกับลงจากหลังม้า
ชักดาบออกมาตั้งท่า ข้างฝ่ายกราเซียและกาโดเองก็ลงจากม้าเช่นกัน
แต่เขากลับเดินไปทางกลุ่มผู้อพยพโดยไม่มีทีท่าสนใจกับคำท้าดวลโซรอนแม้แต่น้อย
โซรอนเห็นดังนั้น ก็รู้สึกโกรธที่ถูกหักหน้า เพราะตั้งแต่เป็นแม่ทัพมา
เวลาไปท้าดวลกับใคร ไม่คู่ต่อสู้รับการท้าดวล
ก็คู่ต่อสู้ขอยอมแพ้อย่างเคารพนบนอบ
แต่ไม่เคยถูกใครปฏิเสธการดวล
เอาด้วยวิธีการทำเป็นไม่สนใจเช่นนี้
ความโกรธในใจพลันพลุ่งพล่านขึ้น เกร็งพลังออร่า
ซัดแท่งน้ำแข็งปลายแหลมขนาดเดียวกับที่ซัดใส่ตาข่ายเก้าสุริยันตะกี้ใส่กราเซียทันที
พริบตาที่แท่งน้ำแข็งทั้ง 5 แท่งพุ่งเข้ามาจะถึงตัว
กราเซียก็ยื่นมือซ้ายมาทางด้านหลังแล้วเกร็งพลังออร่าเล็กน้อย แท่งน้ำแข็งทั้ง 5แท่งที่พุ่งเข้าใส่
อย่างรุนแรงนั้นพลันหยุดอยู่แค่ฝ่ามือซ้ายของกราเซียเท่านั้น
แถมยังคงตัวตั้งขนานกับพื้นอยู่ได้ทั้ง 5แท่งโดยไม่ร่วงลงกับพื้นแม้แต่อันเดียว
ทำเอาโซรอนถึงกับตะลึง ชั่วชีวิตแม้จะเคยมีบ้างที่คู่ต่อสู้สามารถปัดแท่งน้ำแข็งออกไปได้แต่การที่แท่งน้ำแข็งถูกจับเอาไว้ตรงๆในลักษณะเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
" รวบรวมพลังออร่าได้เร็วดี แต่การควบคุมยังไม่ดีนัก
พลังที่แฝงมากับวัตถุยังอ่อนไปนิด "
กราเซียพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา
ซึ่งการกระทำทั้งหมดตั้งแต่ยื่นมือออกมาจนถึงตอนนี้เขาไม่ได้หันหน้ากลับมามองแม้แต่นิดเดียว
"จะแสดงวิธีควบคุมกับวิธีการส่งพลังแฝงไปกับวัตถุให้นายดู"
พูดจบ แท่งน้ำแข็งทั้ง 5 พลันพลิกปลายแหลมออกนอก
แล้วพุ่งออกไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว 2 แท่ง
โซรอนเกร็งพลังฟาดแท่งแรกออกไปได้
แต่แค่ปัดออกไปโซรอนก็ต้องเกร็งพลังปัดซะจนมือไม้สั่นไปหมด
แต่ก็ยังพยายามเกร็งพลังฟาดแท่งที่ 2 ต่อทันทีอย่างไม่คาดฝัน
น้ำแข็งแท่งที่สองพลันแตกกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยพุ่งเข้าใส่โซรอนทันที
แต่โซรอนเองก็เก่งพอกัน เขาพยายามเกร็งพลังยกดาบขึ้นป้องกันจุดสำคัญบริเวณใบหน้าและหน้าอกเอาไว้
จากนั้นจึงเกร็งพลังกระโดดหลบเกล็ดน้ำแข็งได้
ตอนนั้นกราเซียพลันยกมือขึ้น
เกล็ดน้ำแข็งนับร้อยก็พุ่งตามขึ้นไปหาโซรอนทันที
โซรอนเองก็พอเดาไว้บ้างว่ากราเซียจะมาไม้นี้
ดังนั้นจึงใช้พลังสร้างโล่น้ำแข็งขึ้นมาป้องกัน
เกล็ดน้ำแข็งที่พุ่งเข้าโจมตีได้สำเร็จ
แต่พริบตานั้นน้ำแข็งแท่งที่สามถูกยิงเข้าใส่ร่างของโซรอนที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรง
โซรอนนั้นอยู่กลางอากาศไม่สามารถหลบไปได้ ได้แต่
ยกโล่น้ำแข็งขึ้นรับแท่งน้ำแข็งนั้น
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นพร้อมๆกับที่โล่น้ำแข็งของโซรอนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ร่างของโซรอนถูกแรงกระแทกจนกระเด็นออกไปกองอยู่กับพื้นไกลกว่า10 เมตร
เขาพยายามลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
เพราะโดนพลังอันรุนแรงของกราเซียที่แฝงมากับแท่งน้ำแข็งนั้นกระแทกทำร้ายเอา
นับว่าโชคดีที่กราเซียไม่ได้ตั้งใจจะเล่นงานโซรอนจริงๆ
ไม่ยังงั้นละก็ ป่านนี้โซรอนเละเป็นเศษเนื้อแล้ว
" บ้าชัดๆ " โซรอนนึกอยู่ในใจ "ในโลกนี้มีคนที่มีพลังออร่ารุนแรงขนาดนี้ด้วยเรอะ "
กราเซียซึ่งหันหลังให้กับโซรอนมาตลอด
บัดนี้หันกลับมามองโซรอนซึ่งนั่งจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นโดยมีทหารสองสามนายช่วยประคองให้ลุกขึ้นแล้วพูดออกมา
" ถอยทัพกลับไปซะเถอะ โซรอน ชั้นไม่อยากให้ต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันอีก "
" อย่าพูดงี่เง่าน่า " โซรอนตะโกนออกมาอย่างยากลำบาก "พวกเราทหารแห่งวอร์เรนเซีย ขอตายไม่ขอยอมแพ้โว้ย ใช่มั้ย
ทุกคน "
เงียบกริบ ไม่มีเสียงทหารคนไหนตอบซักคน
โซรอนตะโกนถามอีกสองครั้งก็ไม่มีใครออกมาตอบรับซักคน
ตอนนี้พวกทหารวอร์เรนเซียต่างพากันขวัญเสีย
เสียแล้วเมื่อได้เห็นพลังอันรุนแรงของกราเซีย" ท่านจะว่ายังไง โซรอน " กาโดร้องถามออกไป " อย่าลืมนะ
ในมือของท่านกราเซียยังมีน้ำแข็งอีก 2 แท่ง "
คำพูดที่กาโดตะโกนออกไปนั้เป็นเหมือนคำเตือนว่าถึงแม้จะเป้นแค่แท่งน้ำแข็ง
แต่ถ้าคนใช้คือกราเซียแล้วก็สามารถเป็นอาวุธที่ร้ายแรงขนาดถล่มกองทัพ
ทั้งกองได้สบายๆ โซรอนไม่มีทางเลือก
เพราะตอนนี้ขวัญกำลังใจทหารเสื่อมหมดแล้ว
ได้แต่สั่งถอยทัพอย่างฉุนเฉียว
กราเซีย กาโด รัซเซลล์และคนอื่นๆ
ต่างยืนมองกองทัพของโซรอนค่อยห่างออกไปเรื่อยๆ
จนลับสายตา
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@