ROAR !!!
Chapter 11 - The Wolf Parted From The Pack (หมาป่าแยกจากฝูง) -
ฝ่ายกราเซียเมื่อเห็นว่าทหารข้าศึกจากไปแล้ว
ก็โยนน้ำแข็งในมือทิ้งเดินกลับไปหากลุ่มผู้อพยพที่ยืนอ้าปากค้างอยู่
ปลดตาข่ายเก้าสุริยันลง
พร้อมกับถามทหารคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
" ท่านแอนนาเบลอยู่ที่ไหน ชั้นต้องการพบท่านแอนนาเบล "
ทหารคนนั้นมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
กราเซียท่าทีของทหารคนนั้นจึงใช้มือแตะแขนขวาหมอนั่นเบาๆ
อยู่ครู่หนึ่งจึงถามออกมา
" ท่านแอนนาเบลบาดเจ็บใช่มั้ย "
ทหารคนนั้นถึงกับตะลึง ขยับปากจะถามว่าทำไมถึงได้รู้
แต่กราเซียก็ไม่รอให้ถาม หันไปสั่งกาโดที่ยืนอยู่ข้างๆทันที
" กาโด เอากระเป๋าเครื่องมือชั้นมา
พารัซเซลล์มาอีกคนด้วย เร็วเข้า "
กาโดรับคำพร้อมกับวิ่งไปคว้ากระเป๋าเครื่องมือที่ติดอยู่กับม้าของกราเซียพร้อมกับร้องเรียกรัซเซลล์ให้มาด้วยอีกคน
รัซเซลล์ได้ยินคำสั่งก็รีบกระโจนลงจากหลังม้าวิ่งตามกาโดไปทันที
ฝ่ายกราเซียเมื่อเห็นทั้งคู่วิ่งมาถึงแล้ว
ก็หันไปบอกให้ทหารคนนั้นนำทางไปหาแอนนาเบลทันที
ไม่นานนัก ทหารคนนั้นนำกราเซีย
กาโดและรัซเซลล์มาถึงที่ที่แอนนาเบลอยู่
ทั่วบริเวณนั้นมีทหารหลายสิบคนตีวงล้อมรอบบริเวณนั้นไว้เต็มไปหมด
กราเซียร้องสั่งให้กาโดกับรัซเซลล์แยกกลุ่มทหารออกไปเพื่อให้อากาศถ่ายเท
จากนั้นตัวเองจึงเดินเข้าไปตามช่องที่กาโดกับรัซเซลล์เปิดทางให้ทันที
บนพื้นที่ปูผ้าใบอยู่นั้น ร่างของแอนนาเบลนอนแผ่อยู่บนนั้นด้วยสีหน้าอิดโรยโดยมีเลขาเจสกับคนคนหนึ่งท่าทางเป็นหมอดูแลอยู่ใกล้ๆ
ใบหน้ามีเหงื่อเม็ดโป้งๆ ผุดออกมาไม่ขาดสาย มีอาการหายใจหอบถี่มาก
ที่อกใกล้บริเวณไหล่ด้านซ้ายของเธอนั้นมีผ้าพันแผลที่เริ่มเปื้อนเลือดจากบาดแผล
ตรงผ้าพันแผลบริเวณปากแผลนั้นมี
รอยเผยอออกให้เห็นเศษส่วนหนึ่งของลูกธนูหักที่ปักติดอยู่
กราเซียทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
พยักหน้ากับหมอคนที่ดูแลแอนนาเบลอยู่เป็นเชิงบอกให้ถอยออกมา
หมอคนนั้นเหมือนจะเข้าใจดีจึงเดินถอยออกมายืนใกล้ๆ
ฝ่ายกราเซียเมื่อหมอคนนั้นเดินออกไป
ก็เข้าไปหาแอนนาเบลพร้อมกับเอามือแกะผ้าพันแผลออกช้าๆ
เพื่อดูบาดแผล ในขณะนั้น สายตาของเขาก็ประสานตากับเจสที่
จ้องมาอย่างโกรธแค้นเหมือนจะบอกว่า
ถ้าแอนนาเบลเป็นอะไรไป จะไม่มีวันอภัยให้กราเซียไปตลอดชีวิตกระนั้น
กราเซียถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดกับเจสอย่างนุ่มนวล
" ไม่เป็นไรหรอก เจส "
ท่าทีของเจสจึงค่อยอ่อนลงไปเล็กน้อยก่อนที่จะถอยออกมายืนอยู่ใกล้ๆ
กราเซียจึงแกะผ้าพันแผลออกจนหมด
พร้อมกับตรวจดูบาดแผลทันที
บาดแผลนั้นลึกประมาณ 2 นิ้ว เลือดไหลเป็นทางยาว
มีลูกธนูปักคาบาดแผลอีกด้วย ต้องเอาหัวลูกธนูออกก่อน
กราเซียคิดพร้อมกับเกร็งพลังออร่าจี้ตรงบาดแผล
เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณแผลคลายตัว จากนั้น จึงค่อยๆ
ดึงลูกธนูอย่างช้าๆ ร่างของแอนนาเบลสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับลืมตาขึ้นมามอง
กราเซียเห็นดังนั้นจึงยื่นมือของตัวเองไปจับมือของแอนนาเบลเอาไว้
พร้อมๆกับที่ดวงตา
สีฟ้าน้ำทะเลที่เต็มไปด้วยแววอ่อนโยนของกราเซียประสานกับดวงตาที่เต็มไปด้วยแววอิดโรยของแอนนาเบล
ในตอนนั้น แววตาอิดโรยของแอนนาเบลพลันชุ่มชื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับที่อาการหายใจหอบก็หยุดลง ดวงตาทั้งสองข้าง
ก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างสงบ ใบหน้าของกราเซียปรากฏรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับค่อยๆ
ถอนเอาหัวลูกธนูออกอย่างช้าๆ จนหมด
จากนั้นจึงใช้พลังออร่าปิดจุดเส้นเลือดที่
ใกล้ๆ กับแผลเพื่อห้ามเลือด จากนั้นจึงใช้พลังรักษาช่วยเชื่อมแผลเข้าด้วยกันจนสนิท
แล้วจึงหันไปบอกเจส
" แผลไม่ร้ายแรงอะไรมากนัก แค่มีอาการไข้เท่านั้น
เดี๋ยวชั้นจะจัดยาให้ " พร้อมกับหันไปบอกให้กาโดส่งกระเป๋าเครื่องมือของเขามา
กาโดรับคำเบาๆ พร้อมกับยื่นกระเป๋าไปให้กราเซีย
กราเซียรับมาเปิดค้นอยู่พักหนึ่งก็หยิบยาประมาณ3 - 4 อย่างส่งให้กับเจสพร้อมกับสั่งขนาดและเวลากิน
เอาไว้กับเจสอย่างละเอียด ก่อนจะเดินไปหาทหารคนที่พาเขามาหาแอนนาเบลแล้วบอกให้พาไปหาคนเจ็บคนอื่น
ซึ่งทหารคนนั้นก็รับปากอย่างดีที่จะเป็นคนนำทางไป
กราเซียเดินตรวจผู้บาดเจ็บทั้งทหารและประชาชนอยู่เกือบชั่วโมงจึงเลิก
เขากลับมานั่งบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่งอกอยู่บนเนินดินสูงๆ
ไม่ห่างไปจากจุดที่ผู้อพยพตั้งค่ายพักชั่วคราวนัก
รัซเซลล์ผู้เหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืนนั้นนอนหลับไปแล้ว
คงเหลือแต่กาโดเท่านั้นที่ยังตื่นอยู่เป็นเพื่อนกับกราเซีย
" ท่านกราเซียครับ พักผ่อนซะหน่อยเถอะครับ
วันนี้ท่านเหนื่อยมากแล้วนะครับ"กาโดพูดด้วยทีท่าเป็นห่วง
" ไม่เป็นไร ชั้นจะอยู่ต่ออีกซักพัก เดี๋ยวก็นอนแล้วละ
นายไปนอนก่อนก็ได้ " กราเซียตอบไปพร้อมกับมองออกไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย
กาโดจ้องมองท่าทีของกราเซียอยู่พักหนึ่งจึงถามขึ้น
" เป็นห่วงสินะครับ " กราเซียหันมามองหน้ากาโดอย่างงงๆ นิดหน่อย ก่อนจะถาม "อะไร? "
" ก็เจ้าสองคนนั่นไงครับ ตอนที่ท่านส่งสัญญาณถอยทัพ
แล้วพวกมันไม่โผล่มา ท่านก็เริ่มกังวลตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ยิ่งตอนนี้ผ่านมาเกือบสองชั่วโมง
พวกมันก็ยังไม่โผล่หัวมาไม่แปลกหรอกครับที่ท่านจะรู้สึกกังวลมาก "
กาโดเว้นระยะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
" แต่ขอให้เชื่อใน 'สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด'
ของทั้งสองคนเถอะครับ ในอดีตไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยังไม่ร่วมมือกัน
ต่างฝ่ายต่างอยู่หรือตอนที่จับมือ
กันอาละวาดไปทั่ว จนใครๆ ให้ฉายาว่า*'ปีศาจลมดำกับปีศาจลมขาว' นั้น
หลายครั้งที่พวกมันต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่าตัวเอง
แต่พวกมันก็ยังรอดมาได้ เพราะพวกมันมี
'สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด' ที่รุนแรงกว่าคนธรรมดามากคำว่า 'สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด'
นี้ไม่ได้หมายความว่าฝีมือดีแล้วต้องมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่ดีเสมอไปบางครั้งยอดฝีมือที่ไม่มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดก็อาจพ่ายแพ้ถึงตายได้
แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นแค่เด็กอ่อนแอคนนึงก็ตาม "
กาโดเอามือขวาเกาหัวเบาๆก่อนจะพูดต่อด้วยทีท่าขัดเขินนิดๆ
" มันอาจจะฟังดูไร้เหตุผลไปซักนิด
แต่นี่คือสิ่งที่ผมพอจะพูดได้ เท่านั้นละครับ "
กราเซียยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะพูดออกมา " ขอบใจนะ กาโด "
กาโดเพียแต่ผงกศีรษะนิดๆ เป็นเชิงรับคำชมนั้น
พร้อมกับตั้งท่าจะลุกออกไป แต่ก่อนที่กาโดจะลุกขึ้นไปนั้น
กราเซียก็เรียกตัวเอาไว้พร้อมกับถาม
" เห็นอะไรนั่นมั้ย " ถามจบชี้มือไปทางตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของเมืองมิวส์
กาโดลองมองไปตามทางที่กราเซียชี้ดู
เขาก็เห็นสิ่งที่กราเซียเห็นตะกี้ นั่นคือฝุ่นจำนวนมากที่ตลบขึ้นมาจากขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง
มองเห็นชัดพอสมควร
เพราะตอนนี้เป็รเวลารุ่งสาง อะไรๆก็เริ่มเห็นชัดขึ้นมาบ้าง ถ้าเป็นตอนกลางคืน
ฝุ่นดินที่ตลบขึ้นมานั้นคงยากที่จะมองเห็นได้
ฝุ่นดินนั้นค่อยๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ
จากที่อยู่จนสุดขอบฟ้า ตอนนี้กลับอยู่ในระยะไม่เกิน 500
เมตรด้วยซ้ำ กาโดขยับจะไปเรียกทหารแต่กราเซียยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม
จากนั้นจึงหันไปดูฝุ่นดินที่กำลังใกล้เข้ามาทุกทีจากขอบฟ้านั้น
เมื่อฝุ่นดินนั้นเข้ามาในระยะที่คนด้วยกันเห็นหน้ากันได้ถนัด
กราเซียก็สังเกตเห็นว่า ที่ตรงกลางฝุ่นดินนั้น มีคนอยู่
คนคนนั้นมีผมสีเงินชี้ตั้งชันออกรอบหัวเหมือนเม่น
สวมชุดขาวทั้งชุดกำลังอยู่ในท่าวิ่งชนิดตาลีตาเหลือก
" แอรอน !!!! "
ทั้งกราเซียและกาโดร้องเรียกชื่อของหมอนั่นออกมาอย่างตกใจ
ถูกต้อง หมอนี่คือแอรอนนั่นเองหลังจากที่เคนนี่ยอมไปกับเดธมาคส์ เพื่อให้แอรอนหนีไปได้นั้น
แอรอนก็เผ่นพรวดออกจากเมืองแล้วคืนกลับเป้นร่างเดิม
จากนั้นจึงห้อมาชนิดเต็มเหยียดพยายามไล่ให้ทันกองทัพของกราเซียเพื่อแจ้งข่าวเรื่องของเคนนี่ให้กราเซียรู้
ไม่ถึงสองนาที แอรอนก็วิ่งมาหยุดยืนหอบอยู่หน้ากราเซียกับกาโด
กาโดเมื่อเห็นคนที่ตัวเองกำลังพูดถึงตะกี้จู่ๆก็วิ่งเข้ามา ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
รัซเซลล์ที่หลับอยู่ก็ตกใจตื่นขึ้นมาจากเสียงของกราเซียกับกาโด
พอลุกขึ้นนั่งได้ก็มองซ้ายขวาเลิ่กลั่กเพราะนึกว่าศัตรูบุก
แต่พอเห็นเจ้าแอรอนที่กำลังเป็นห่วงอยู่กำลังยืนหอบอยู่ข้างหน้ากราเซีย ก็แทบโดดออกจากที่นอน
วิ่งเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้าของแอรอนไว้พร้อมกับมองเหมือนจะสำรวจว่ายังอยู่ครบทุกส่วนหรือเปล่า
" เฮ้ย แอรอน เกิดอะไรขึ้นวะ เห็นสัญญาณแล้วทำไมไม่ถอย
แล้วทำไมมาคนเดียว ไอ้เคนนี่หายไปไหน ว่าไงถามทำไมไม่พูด "
รัซเซลล์เล่นถามรัวจนลิ้นแทบพันกันจนแอรอนตอบไม่ทันเลยร้อนถึงกาโดต้องจัดการดึงตัวออกมาแล้วให้กราเซียเป็นคนตั้งคำถามซะ
" แอรอน ไหนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหน่อยซิ "
แอรอนหลังจากหายเหนื่อยแล้วก็เล่าเรื่องที่ตัวเองกับเคนนี่โดนไอร่า
สมิงผู้มีสองบุคลิกเล่นงานเอาในขณะที่กำลังเหนื่อยถึงที่สุด และเรื่องที่
เคนนี่ได้เจอกับเดธมาคส์และยอมเอาตัวเองแลกกับแอรอนเพื่อให้แอรอนมาแจ้งข่าวกับกราเซีย
" บ้าเอ๊ย !!!! " รัซเซลล์ตะโกนลั่น "
แล้วทำไมแกไม่ขวางไว้วะ นั่นเพื่อนแกทั้งคนนะโว้ยแกทิ้งเพื่อนได้เรอะ "
" ขวางได้ไงเล่า แกไม่เห็นตอนมันใช้มือเปล่าหยุดแฟนธอมแฟงค์ของเจ้าเคนนี่ก็พูดได้สิวะ
ไอ้นั่นมันปีศาจชัดๆ แล้วที่สำคัญ
ถึงอยากขวางก็ขวางไม่ได้ว่ะ ไอ้เคนนี่มันขอร้องชั้นแล้วว่าให้มาที่นี่ให้ได้
เห็นท่าทางตอนมันขอร้องแล้ว ชั้นปฏิเสธไม่ลงว่ะ "
" ไอ้.... "
" พอเถอะ รัซเซลล์ " กราเซียพูดพร้อมกับเอามือจับไหล่รัซเซลล์ไว้ "
แอรอนทำเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนั้นแล้ว
แล้วเคนนี่ก็ทำถูกแล้วเหมือนกัน
ในสถานการณ์แบบนั้น
ถ้าเป็นชั้น ชั้นก็จะแลกตัวเองกับเพื่อนเพื่อให้ไปแจ้งข่าวเหมือนกัน"
รัซเซลล์จำนนต่อเหตุผลของกราเซีย จำต้องหุบปากเสีย
" แล้วอีกอย่าง ชั้นเชื่อนะว่าเดธมาคส์คงไม่ทำอะไรเคนนี่หรอก "
" เอ๋ ? ทำไมเหรอครับ ? " ทั้งแอรอนและรัซเซลล์ถามมาด้วยทีท่าแปลกใจ
กราเซียหันไปมองหน้ากาโดนิดหนึ่งก่อนจะพูดกับรัซเซลล์
" ชั้นคงพูดอะไรไม่ได้ตอนนี้
แต่เชื่อเถอะว่าเคนนี่อยู่ในนั้นจะต้องปลอดภัยแน่
ตอนนี้ที่เราต้องห่วงคือ ประชาชนที่อพยพมานี่แหละ
ถ้าไปทางตะวันตกเรื่อยๆ อีกประมาณไม่เกินชั่วโมงก็จะถึงเมืองคาคอนซิสเจ้าเมืองที่นั่นเป็นสหายของชั้นเอง
เค้าคงยอมรับผู้อพยพไว้ในเมืองแน่นอน เราเองก็จะปักหลัก
รอกำลังเสริมอยู่ที่นั่นเหมือนกัน "
พูดจบ กราเซียก็สั่งให้รัซเซลล์กับกาโดพาแอรอนไปพักผ่อนก่อน
แล้วตัวเองก็เดินไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
ห่างจากต้นไม้ที่นั่งพักอยู่ตะกี้ประมาณ 5 เมตร
กราเซียทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าซึ่งตอนนี้
แสงตะวันเริ่มจับขอบฟ้าเห็นเป็นสีทองอยู่ไกลๆ นั่นเอง
พร้อมๆ กับพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
" เคนนี่ อย่าเสียตัวเองไปนะ "
เมืองมิวส์ เวลา 6.14 นาฬิกา
ภายในเมืองบัดนี้เต็มไปด้วยทหารสมิงของวอร์เรนเซียภายใต้การนำของเดธมาคส์เฝ้าประจำอยู่ตามจุดต่างๆ
เต็มไปหมด บ้างยืนเรียงแถวอย่างสงบ
เป็นระเบียบ บ้างไปอาละวาดทำฤทธิ์เอากับฝูงสัตว์เลี้ยงที่ชาวเมืองไม่สามารถเอาไปด้วยได้ซะจนอุจจาระปัสสาวะราดด้วยความกลัว
ที่ปราสาทเมืองมิวส์ ทางเดินผ่านระหว่างปราสาทฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก
เคนนี่ผู้ถูกสมิงฝ่ายวอร์เรนเซียควบคุมตัวเอาไว้นั้นกำลังเดินผ่านทางนั้น
เคนนี่ไม่ได้ถูกจองจำเอาไว้ด้วยเครื่องพันธนาการอย่างเช่น
โซ่เหล็ก แม้แต่น้อย
แต่มีสมิง (ที่อยู่ในร่างมนุษย์)
หุ่นบึ้กเหมือนนักมวยปล้ำขนาดหนักของโลกถึง 4 คน
ประกบตัวไว้ทั้งหน้าหลังข้างหน้านั้นมีเดธมาคส์เดินนำทางอยู่อีกคนหนึ่ง
" เฮ้ ชื่อเดธมาคส์ใช่มั้ย " เคนนี่พูดทำลายความเงียบขึ้น "ขอถามคำถามงี่เง่าซักคำถามได้มั้ย "
" อะไรรึ " เดธมาคส์ถามกลับพร้อมกับหันหน้ามาหาเคนนี่
เลิกคิ้วขวาขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย
แต่ดูเหมือนแกล้งทำเสียมากกว่า
" ชั้นคิดนะว่าความจริงแล้ว คนที่สมควรจะได้รับเกียรติให้มาเป็นแขกของแม่ทัพใหญ่อย่างแกน่ะ
น่าจะเป็นท่านแอนนาเบลเจ้าเมืองมิวส์ ไม่ก็ท่านกราเซีย
เจ้าเมืองเอลแลนเจ้านายของชั้นมากกว่าจะเป็นชั้น เคนนี่
เบลซ ลอร์ดแมน ไอ้คนพเนจรไร้ที่ซุกหัวนอน
ประเภทค่ำไหนนอนนั่น จะมีดีก็แค่ชอบไล่กระทืบพวกโจร
พวกคนชั่วไปตามรายทางเล่นซะบ่อยๆ ก็แค่นั้น "
" นายอยากจะถามชั้นว่า 'ทำไมถึงจับนายมา' ใช่มั้ยล่ะ "
" ปิ๊งป่อง " เคนนี่พูดพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้น "
ชั้นละไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุผลที่นายเอาตัวชั้นมาเนี่ยนายต้องการอะไรกันแน่ "
ใบหน้าของเดธมาคส์ปรากฏรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยพิลึก
ก่อนจะตอบคำถามของเคนนี่
" ชั้นบอกแล้วว่านายยังไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้
ถึงเวลาเมื่อไหร่ ชั้นจะค่อยๆอธิบายเรื่องทุกอย่างให้นายเข้าใจเอง
รับรองได้ว่าพอนายได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว
นายก็จะเข้าใจว่า ทุกอย่างที่ชั้นทำน่ะเป็นประโยชน์ต่อตัวนายทั้งนั้น "
เคนนี่นั้นโกรธแทบคลั่ง ในใจนั้นนึกอยากจะตะโกนออกไปว่าแกฆ่าพี่สาวชั้น ฆ่าทุกคนที่ดีต่อชั้นจนหมดรึจะบอกว่านี่แกทำเพื่อประโยชน์ของชั้นเหมือนกัน เฮอะ
พูดมาได้ไม่อายปาก แต่เคนนี่ก็ได้แต่คำรามอยู่ในใจเท่านั้น
ไม่พูดออกมาให้เดธมาคส์ได้ยิน
เคนนี่เดินผ่านห้องประชุมที่ครั้งหนึ่งกราเซียกับเจ้าเมืองคนอื่นๆ
เคยมาร่วงประชุมหาทางรับมือกับทัพของวอร์เรนเซีย
แล้วก็เดินผ่านระเบียงชั้นหนึ่ง
ซึ่งติดกับสวนที่เขา แอรอน และรัซเซลล์ถูกกาโดไล่ให้มาอยู่ที่นี่เพราะกลัวว่าจะทำเรื่องในที่ประชุม
เคนนี่มองไล่ไปตามจุดต่างๆ ในสวน
สนามหญ้าที่รัซเซลล์
เคยยืนตีลังกาหกหน้าหกหลังอยู่
สวนหินที่แอรอนเคยนั่งเล่นแต่เมื่อสายตาของเคนนี่วาดไปมองที่ต้นไม้ใหญ่ที่เขาเคยขึ้นไปนอนเล่นบนคาคบของมันนั้นก็ต้องตะลึง
เด็กสาวคนหนึ่ง ดูจากหน้าตาแล้วเหมือนคนอายุ 17 - 18 ปี
สวมชุดคล้ายชุดกิโมโนบวกกับชุดกี่เพ้าสีฟ้าอ่อน
ผมสีขาวยาวสยายเคลียไหล่ กำลังนั่งพับเพียบ
อยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น รอบตัวเธอมีนกเล็กๆ
หลากสีประมาณสอบตัวกำลังล้อมรอบตัวเธออยู่
สองตัวเกาะไหล่ขวากับซ้ายข้างละตัวมีสองสามตัวที่เกาะแขนขวา
ของเธอ อีกตัวหนึ่งนั้นเกาะอยู่ที่ปลายนิ้วชี้
ซึ่งเธอก็ยกนิ้วที่นกเกาะอยู่นั้นขึ้นมาที่หน้าช้าๆ
ให้นกใช้ปากไซ้ไปมาที่แก้มของเธอ
เธอคือ ไอร่านั่นเอง ใบหน้าของเธอในยามหัวเราะอย่างร่าเริงนั้น
ดูน่ารักมีชีวิตชีวายิ่งนัก ผิดกับการยิ้มแสยะของมาอิที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
ดวงตาสีแดงเพลิงทอประกายอ่อนโยนผิดกับประกายตาของมาอิที่เต็มไปด้วยแววโหดเหี้ยมไร้ความปราณี
แทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กสาวผู้แสนอ่อนโยนคนนี้
กับนางมารผู้โหดร้ายราวกับแม่มดคนนั้นจะเป็นคนคนเดียวกัน
บางขณะ เคนนี่สังเกตเห็นแววเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาอันอ่อนโยนของมาอิ
ซึ่แสดงให้เห็นว่า ไอร่าเองคงไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่ต้องเกิดมาเป็นคน
สองบุคลิกที่อีกบุคลิกนั้นชั่วร้ายเช่นนี้
เคนนี่ยืนนิ่งจ้องไอร่าที่กำลังเล่นกับนกตาไม่กระพริบอย่างตะลึงเหมือนอยู่ในภวังค์ด้วยความคิดแบบเดียวกับที่บรรยายไปข้างบนนั่นแหละ
และดูเหมือนเดธมาคส์เองก็ สังเกตเห็นอาการของเคนนี่
ดังนั้นจึงเดินเข้าไปหาเคนนี่พร้อมกับถาม
" ตกใจรึที่เห็นไอร่าเล่นกับนก "
เมื่อนั้นเคนนี่จึงค่อยตื่นจากภวังค์ หันมามองเดธมาคส์
พูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้ำอึ้งออกมาไม่เป็นภาษาเท่านั้น
" กำลังคิดอยู่ใช่มั้ยว่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กสาวที่อ่อนโยนกับนางมารร้ายฆ่าคนตายเป็นเบือจะเป็นคนคนเดียวกัน"
" ก็... นิดหน่อย "
เดธมาคส์หัวเราะหึหึในลำคอพร้อมกับพูด
"ในโลกนี้มักมีเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นเสมอนั่นแหละ"
พูดตอนสุดท้ายเดธมาคส์หันมายักคิ้วให้เคนนี่นิดหน่อยก่อนจะหันตัวกลับแล้วเดินนำออกไปอีกครั้ง
เจ้าบึ้ก 4คนที่ยืนขนาบเคนนี่เอาไว้ก็ออกเดินทันทีที่เห็นลูกพี่ออกเดิน
เคนนี่ก็เลยต้องจำใจเดินไปโดยที่สายตายังไม่ละไปจากร่างของไอร่าที่กำลังเล่นกับนกอย่างร่าเริง
ราวกับจะจดจำเอาไว้ตลอดไป
เดธมาคส์นำกราเซียมายังห้องพักที่ค่อนข้างใหญ่และหรูหราห้องหนึ่ง
เคนนี่จำได้ดี เพราะเป็นห้องที่กราเซียเคยพักมาก่อนสมัยที่มาเข้าร่วมประชุม
ซึ่งห้องแบบนี้เคนนี่ไม่มีทางจะได้พักอยู่อย่างแน่นอน
แต่นี่เดธมาคส์กลับให้ตัวเองพัก(น่าจะเรียกว่ากักตัวมากกว่าแฮะ) ห้องแบบนี้สร้างความตะลึงให้กับเคนนี่ยิ่งกว่า
ที่เจอกับไอร่าเมื่อกี้เสียอีก
" นี่แกเล่นตลกอะไรอีกวะ " เคนนี่หันไปถามเดธมาคส์เสียงขุ่นๆ
" ยังไง " เดธมาคส์ถามกลับมาพร้อมกับเลิกคิ้วนิดๆ
" ไม่ต้องมายังไงเลยโว้ย !!! ไอ้บ้า !!!!! "
เคนนี่ชักโมโห ตะโกนใส่หน้าเดธมาคส์ดังลั่น "
ชั้นจำได้โว้ย
ห้องนี้เป็นห้องที่ท่านกราเซียเคยพักอยู่
เป็นห้องสำหรับแขกชั้นสูงระดับเจ้าเมืองเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้พักแล้วนี่แกเอามาให้ชั้นพักนี่ เค้าไม่เรียกว่าเล่นตลกรึวะ"
" ใจเย็นๆ น่า " เดธมาคส์พูดพร้อมยกมือเป็นเชิงปราม "
วันนี้หลังจากส่งนายแล้วชั้นต้องกลับไปที่ค่ายทหารเพื่อเข้าเฝ้าองค์ชายอีกคงไม่กลับมาเมืองมิวส์ซักพัก
คงไม่มีเวลาจะอธิบายเรื่องราวอะไรมากแต่ขอให้นายรู้ไว้อย่างนึงว่า
นายน่ะมีเกียรติสูงกว่านี้ด้วยซ้ำไป "
เคนนี่ถึงกับยืนตะลึงกับคำพูดของเดธมาคส์
เดธมาคส์นั้นยืนยิ้มแปลกๆให้กับเคนนี่อยู่พักหนึ่งจึงพูดตัดบทเอาดื้อๆ
" ชั้นต้องไปก่อนแล้ว มีอะไรไว้พูดกันทีหลังแล้วกัน "
พูดจบหมอนั่นก็เดินจากไปโดยไม่สนเสียงเรียกให้หยุดของเคนนี่แม้แต่น้อย
ฝ่ายเคนนี่เมื่อเห็นว่ายังไงก็ไม่มีทางได้เรื่องอะไรจากปากของเดธมาคส์
จึงได้แต่เดินเข้าห้อง (ขัง) ที่เดธมาคส์เตรียมไว้ให้โดยสดุดี
" เอาก็เอาวะ " เคนนี่นึกอยู่ในใจ "
เอากะมันซักหน่อยก็ได้ แต่อย่าคิดว่าชั้นจะอยู่ที่นี่ตลอดนะเว้ย
ชั้นต้องหาทางเผ่นออกจากที่นี่ให้ได้ "
คิดจบ เคนนี่ก็เดินเข้าไปในห้อง
แต่พอเดินเข้าไปเท่านั้น ก็รู้สึกง่วงจัดจนยืนไม่ไหว
ล้มลงไปบนที่นอนปังใหญ่
" แต่ก่อนอื่น ชั้นว่าควรพักให้พลังกลับคืนมาเต็มถังซะก่อนจะดีกว่าละมั้ง"
เคนนี่คิดในใจพร้อมทำหน้าแหย
ไม่แปลกหรอกนะที่จะเพลียขนาดนี้
ก็เฮียแกเล่นรบติดต่อกันมาทั้งวันทั้งคืนชนิดไม่หยุดพักเลยแบบนี้
พลังในร่างก็ต้องเสียไปมากทีเดียว
ยิ่งตอนนี้ดันล้มลงมาบนเตียงด้วยแล้ว ไม่นาน
เคนนี่ก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลียอย่างที่สุด
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
* เกี่ยวกับฉายาของเคนนี่กับแอรอนเล็กน้อย
ฉายา The Ghost กับ The Darkness นั้น
ความจริงเป็นฉายาที่ทั้งสองได้รับตอนที่ยังไม่จับมือกัน
โดย Ghost คือ แอรอน Darkness คือเคนนี่
ตอนหลังเมื่อมาจับมือกัน จึงได้ฉายาร่วมกันว่า
ปีศาจลมดำและปีศาจลมขาว
ในตอนที่ 2 นั้น รัซเซลล์แกล้งล้อทั้งสองคนเล่นโดยการนำฉายาเดิมของทั้งสองมาบวกกันเป็น
The Ghost and The Darkness ครับ (ที่จริงคือ
เพิ่งมาคิดฉายาที่ฟังดูเท่ห์กว่าได้น่ะ เลยเอามาใช้ว่าเข้าให้นั่น)
แนะนำตัวละคร
ไอร่า / มาอิ (Aira / Mai)
สูง : 162 ซม. หนัก : ความลับของผู้หญิง
ห้ามถามเด็ดขาด อาจโดนตบคอหลุดได้
อายุ : 25 ปี (หน้าตาเหมือนอายุ 18 เท่านั้นเอง)
Beast Form : วิหคสายฟ้า (Thunder Bird)
ไอร่า สาวสวยผู้อ่อนโยน มีเมตตา กับมาอินางมารร้ายผู้โหดเหี้ยม
ไร้ความปราณี ที่จะมาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเคนนี่ในตอนต่อไป
ในอดีตเคยมีความกระทบกระเทือนใจบางอย่างทำให้เธอต้องกลายเป็นคนสองบุคลิก เคนนี่จะสามารถช่วยเหลือเธอได้หรือไม่
น่าติดตามครับ
ที่มาของชื่อ มาอิ (Mai)
มาอิ ถ้ามาจากภาษาญี่ปุ่นจะแปลว่า การร่ายรำ
ซึ่งเป็นความหมายดีงาม แต่ในที่นี้ผมเอามาจากภาษาพื้นเมืองของชนพื้นเมืองแอฟริกันเผ่าวากัมบา
แปลว่า ซาตาน วิญญาณชั่วร้าย ผีร้าย
ซึ่งผมเห็นว่าตรงกับบุคลิกของมาอิ ก็เลยเอามาใช้ซะเลย