ROAR !!!
Chapter 12 - Grief of The Girl (ความเศร้าของสาวน้อย) -
กว่าเคนนี่จะตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว
เคนนี่ลุกขึ้นมาจากเตียงหาวพร้อมกับบิดขี้เกียจนิดหน่อยก่อนจะเดินไปที่ประตูเพื่ออกจากห้องไปเดินเล่นแถวๆ นี้ ซะหน่อย
แค่พอเปิดประตูเท่านั้นเคนนี่ก็เห็นว่าชายร่างใหญ่สองคนซึ่งเคยเดินประกบตัวเขาไว้เมื่อเช้านี้ยืนเป็นยักษ์เฝ้าประตูวัดอยู่หน้าห้องของเขา
นอกจากนี้ตามระเบียงจุดต่างๆ
ก็ยังมี 'ยักษ์เฝ้าประตูวัด' คนอื่นๆยืนอยู่เต็มไปหมดเหมือนจะคอยเฝ้าเอาไว้แทบจะทุกระยะของที่พักของเขาเลยทีเดียว
เดธมาคส์เองก็คงกลัวๆ อยู่เหมือนกันว่าเคนนี่จะหนี
จึงได้ให้วางยามเฝ้าเอาไว้ขนาดนี้
แม้จะอนุญาตให้เคนนี่เดินเหินไปไหนในปราสาทได้สะดวกแทบทุกจุดก็ตาม
แถมดูหุ่นยามแต่ละคนที่เอามาเฝ้า ก็รู้ดีว่าเดธมาคส์เองก็รู้
ฝีมือของเคนนี่ดี ว่าขืนเอายามธรรมดาๆ มาเฝ้า
ก็มีหวังถูกเคนนี่หักคอตายเปล่าๆ
เอายามพวกนี้มาเฝ้าแม้จะหยุดเคนนี่ไม่ได้ชะงัด
แต่อย่างน้อยก็สามารถถ่วงเวลาจนกว่า
กองกำลังจะมาจัดการกับเคนนี่ได้
ฝ่ายเคนนี่ที่กำลังเดินเล่นไปมาตามระเบียงนั้นรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากกับสายตาที่เหมือนกับสุนัขล่าเนื้อที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้วของเจ้าพวกทหารยามพวกนี้ยิ่งนัก
มันดูเหมือนกับเจ้าพวกนี้ทุกคนเพ่งมามองแต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทำให้เคนนี่รู้สึกฉุน อยากจะเดินเข้าไปหาพวกมันซักคนแล้วชกแม่งให้เลือดโชกเป็นบ้า
แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ยังคงเดินไปมาตามระเบียงโดยพยายามไม่สนใจกับสายตาของเจ้าพวกทหารยามที่จ้องมองอยู่
เดินไปมาพักหนึ่ง เคนนี่ก็ไปที่บันได
ลงไปเดินเล่นต่อที่ระเบียงชั้นหนึ่งซึ่งติดกับสวน
ในตอนนั้นเอง เคนนี่ก็มองไปเห็นใครบางคนกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในสวน
เขายืนในตำแหน่งที่ต้นไม้บังอยู่จึงเห็นไม่ชัด
เขาจึงขยับมาอีกทางที่ต้นไม้ไม่บังเพื่อให้เห็นอะไรชัดๆ
คนที่เคนนี่เห็นนั้นคือไอร่านั่นเอง
ทว่าบัดนี้ดวงหน้าของเธอไม่มีรอยยิ้มสดใสอย่างเมื่อเช้า
หากเต็มไปด้วยความหม่นหมองอย่างที่สุด
และดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้น ก็นองไปด้วยน้ำตา
ในมือทั้งสองข้างที่แบออกนั้นมีซากของนกเล็กๆ
ตัวหนึ่งที่เธอเคยเล่นกับมันอยู่ และรอบๆพื้นที่เธอนั่งอยู่นั้นก็เต็มไปด้วยซากของนกเล็กๆที่บินอยู่รอบๆตัวเธอเมื่อเช้านี้
เคนนี่ยืนมองอย่างตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
จึงเดินเข้าไปในสวนไปหาเธอ ทำไมถึงเดินลงไปนั้นเคนนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ปลอบใจเธองั้นรึ ไอ้เราก็ไม่ค่อยจะถนัดซะด้วยสิ
แต่ไม่ว่าในใจของเคนนี่จะคิดยังไงก็เหอะ
ขามันก็พาเขาเข้ามาในสวน และตอนนี้ก็อยู่ห่างจากจุดที่ไอร่ากำลังนั่งอยู่เพียงไม่เกิน
5 เมตรเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาใกล้
เธอก็วางซากนกนั้นลงกับพื้น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกแล้วพูดออกมาเบาๆ
" ไปให้พ้น " แม้คำพูดจะหนักแน่น
แต่น้ำเสียงนั้นสั่นเล็กน้อย
เคนนี่อึ้งไปนิดหน่อยกับคำพูดที่ออกจะรุนแรงของไอร่า
เขาพยายามจะพูดอะไรออกมาแต่ไอร่าก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
" ไม่เห็นรึไง
ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามายุ่งกับชั้น
" เมื่อเจอคำพูดเช่นนี้จะทำอย่างไรดี ถ้าเป็นเราๆ ท่านๆคงเดินหนีไปโดยไม่คิดจะสนใจไยดีอะไรแล้วใช่มั้ย
แต่ไม่ใช่กับเคนนี่ เขากลับไปยึดเอากองหินจุดที่แอรอน
เคยขึ้นไปนั่งอยู่เป็นที่นั่ง
ไอร่านั้นมองเห็นการกระทำของเคนนี่โดยตลอด
แต่ก็แค่มองแว่บหนึ่งเท่านั้นแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกหันกลับไปทางหนึ่งพร้อมกับขุดหลุม
ฝังซากนกที่ตายสิบกว่าอยู่ตรงใต้ต้นไม้นั่นเอง
เคนนี่เอนหลังลงไปนอนบนหินก้อนนั้น ในใจคิดจะร้องเพลงSmall Two of Pieces ออกมา แต่แล้วใบหน้าของไอร่าที่กำลังร้องไห้พลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าใจนั้นพลอยทำให้เคนนี่รู้สึกหดหู่ใจไปด้วย
พริบตานั้น เคนนี่ก็พลันนึกถึงเพลงเพลงหนึ่ง
เพลงที่พี่สาวเขาแต่งขึ้นมาเพื่อร้องให้คนที่มาชมการแสดงของเธอฟังและเพลงนี้ยังเคยทำให้เด็กผู้หญิงที่มาดูการแสดง
คนหนึ่งที่กำลังเศร้าเสียใจเพราะแมวของเธอเพิ่งจะตายไปพลันร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาได้
ซึ่งเขาจำเนื้อเพลงนี้ได้จนขึ้นใจทีเดียว
แต่ถึงยังไง เราก็ไม่ใช่พี่สาว
คนหยาบกร้านอย่างเราจะสามารถแฝงอารมณ์อันละเอียดอ่อนลงไปในเพลงได้อย่างที่พี่สาวทำงั้นรึ
เคนนี่คิดอย่างลังเล ในตอนนั้น
ใบหน้านองน้ำตาของไอร่าก็แล่นเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้งนึง
" แต่... เราไม่อยากเห็นเธอต้องร้องไห้เลย
โลกนี้มีคนร้องไห้มากพอแล้ว เราไม่อยากเห็นอีก "
คิดได้ดังนี้ เคนนี่ก็ไม่ลังเลต่อไป เอาก็เอาวะ
เขาคิดพร้อมกับร้องเพลงนั้นออกมา
"เมื่อใดก็ตามที่เธอเอาแต่ร้องไห้
ฉันเองก็รู้สึกสับสนเช่นกัน
ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทั้งที่หัวใจของฉันก็เจ็บปวดเช่นกัน
ยามที่หัวใจของเธอไร้ซึ่งความเจ็บช้ำ
เธออาจโดนทำร้ายได้ตลอดเวลา
เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเช่นเดียวกับเวลาที่เธอสัมผัสน้ำอันแสนเย็น
แต่ฉันก็อยู่ข้างๆ เธอเสมอนะ
แม้ว่าจะช่วยอะไรเธอไม่ได้
แต่เพื่อเธอแล้ว
ใบหน้าของฉันจะแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขเสมอ
และจะโอบอุ้มเธอไว้ตลอดเวลา"
ไอร่าเริ่มหันมามองเคนนี่ที่กำลังนอนร้องเพลงอยู่บนก้อนหินนั้นด้วยแววตางงๆ
เล็กน้อยแต่เคนนี่ไม่รู้เพราะเขานอนอยู่เลยมองไม่เห็น
ยังคงร้องเพลงต่อไป
"จงเชื่อเถิด
ว่าความฝันของเธอนั้นจะมาแน่
เพื่อเธอคนเดียว
จงร้องไห้เถิด
เพระความเศร้าของเธอจักเปลี่ยนเป็นปีกแห่งดวงใจของเธอแน่นอน
การปกป้องใครสักคน
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ใช่มั้ย
เหมือนกับที่ฉันไม่สามารถหยุดฝน
ที่โปรยปรายลงมาโดนเธอไงล่ะ
แต่ฉันก็จะไม่ยอมแพ้
แม้ว่าจะมีกำลังใจเพียงน้อยนิด
สักวันหนึ่ง เมื่อฉันได้รู้ถึงความเข้มแข็งที่แท้จริง
แม้จะเป็นเพียงผีเสื้อตัวน้อยๆ
ก็ยังสามารถบินข้ามมหาสมุทรได้
" สักวันหนึ่งแน่นอน " คือสิ่งเดียวที่ฉันบอกเธอได้
แม้ว่าตัวเองจะรู้สึกกลัวๆ ก็ตาม
จงเชื่อเถิด
สายรุ้งจักมาเป็นสะพานแทบเท้าเธอแน่
จงเชื่อเถิด
ว่าไม่ช้าเวลาของเธอจะต้องมา
ท่ามกลางสายลมแห่งการเริ่มต้นอันสดชื่น
ถูกต้อง ความฝันของเธอจะต้องมาแน่
มาสู่หัวใจน้อยๆ ดวงนั้น
น้ำตาของเธอคงรู้ดี
ฉันเชื่อว่า พวกเขามาจากวันพรุ่งนี้เพื่อจะบอกเธอ"
เคนนี่ร้องทวนไปที่ท่อนสร้อยอีกครั้ง
จึงหยุดแล้วลุกขึ้นจากท่านอนเป็นท่านั่ง
ตอนนั้นเองเขาจึงสังเกตเห็นว่าไอร่าที่ทีแรกนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นั้น
ตอนนี้เดินมายืนอยู่ข้างๆ หินที่เคนนี่นอนร้องเพลงแล้ว
" เพราะมั้ย " เคนนี่ถามพร้อมกับยิ้ม " เพลง'น้ำตานั้นรู้ดี' ที่พี่สาวของชั้นแต่งน่ะ "
" เพราะ " ไอร่าตอบ " ความหมายก็ดี
แต่เพลงไม่เคยช่วยอะไรใครได้ "
" แต่มันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ " เคนนี่ตอบกลับไป "คนหยาบกร้านอย่างชั้นไม่รู้จักที่จะใช้คำพูดปลอบใจใครดังนั้น ชั้นเลยต้องให้เพลงนี้ช่วยพูดแทน "
" ปลอบใจ เพื่ออะไร "
" ก็แค่ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้
โลกนี้มีคนร้องไห้มากแล้วไม่ควรให้มีคนร้องไห้อีก "
" คิดว่าเธอคนเดียวจะสามารถหยุดน้ำตาคนทั้งโลกได้รึ "
" ไม่รู้ "
เคนนี่พูดออกมาอย่างหนักแน่นพร้อมประกายตาแรงกล้า "รู้อยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเห็นคนที่กำลังร้องไห้แล้วจะให้ชั้นทำเป้นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินผ่านไป
ชั้นทำไม่ได้หรอก "
" นั่นมันความคิดของเด็กๆ "
" จะเด็กไม่เด็กไม่สำคัญหรอก
อย่างน้อยมันก็เป็นทางที่ชั้นเลือกจะเดินเองไม่มีใครขีดให้เดิน " เคนนี่ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
ไอร่าเพียงแต่เงียบแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เคนนี่ทำได้แต่ยืนเกาหัวอย่างเซ็งๆ เท่านั้น
แล้วตอนนั้น ไอร่าพลันหันกลับมาอย่างปุบปับ
เล่นเอาเคนนี่เปลี่ยนท่ายืนแทบไม่ทัน
" เธอคือเคนนี่ใช่มั้ย "
" ใช่ รู้ได้ไง "
" มาอิบ่นทั้งวันเลยน่ะสิ ว่าจะฆ่าเคนนี่ยังโง้น
ฆ่าเคนนี่ยังงี้ บอกว่าจะเอาผมมาแขวนประดับเตาผิง
เอาตามาทำลูกประคำ อะไรต่ออะไร
แต่ละครั้งบรรยายรูปร่างลักษณะของเธอ
ซะจนชั้นเห็นภาพเลยว่าหน้าตาของเธอเป็นยังไงแล้วก็เห็นอีกด้วย ว่าถ้าเธอยังมายุ่งกับชั้นอีก
จะมีสภาพยังไง "
ไอร่าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเดินจากไป
ซึ่งตลอดเวลาที่พูดกับเคนนี่ ไอร่ามีสีหน้าเรียบเฉย
ไม่บ่งบอกว่าชอบหรือเกลียดเข้าใจหรือไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
แต่คำพูดกลับแฝง คารมเชือดเฉือนกันจะๆ
เล่นเอาเคนนี่ตีสีหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
" เย็นชาชิบเลย ให้ตายสิวะ " เคนนี่บ่นในใจ "แต่ว่าอย่างน้อยที่เราทำไปก็ไม่ใช่ไม่มีความหมายอย่างน้อยตอนนี้เธอก็หยุดร้องไห้แล้ว ต่อไปก็... "
ถึงตอนนี้ ท้องของเคนนี่ก็ดังโครกครากออกมา แน่อยู่แล้ว
ก็พี่ท่านหลับมาราธอนมาตั้งแต่หกโมงยันบ่ายสาม
อย่าว่าแต่ข้าวเช้าข้าวเที่ยงเลย น้ำสักหยดแกลบสักชิ้น
ก็ยังไม่ตกถึงท้องเลย
" ต่อไปก็.... ต้องหาอะไรกินซะก่อนดีกว่าแฮะ "
เคนนี่ยิ้มแห้ง เกาหัวแกรกๆ แก้เขินจากการเสียฟอร์มซะสองครั้ง
ก่อนจะเดินไปหาของกินในปราสาทเพื่อรองท้องซะหน่อย
ปราสาทเมืองมิวส์ เวลา 0.00 น.
เคนนี่นอนเขลงอยู่บนเตียงใหญ่อย่างสบายอารมณ์หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จไป
" ให้ตายเหอะ เจ้าเดธมาคส์มันคิดจะเล่นอะไรของมันอีกวะ"
เคนนี่พึมพำพร้อมกับนึกถึงอาหารชุดใหญ่อย่างหรูหราสำหรับขุนนางชั้นสูงที่พวกทหารจัดมาให้
ซึ่งมีทั้งผลไม้อย่างดี เนื้อสัตว์ ฯลฯ
เคนนี่นึกไม่ออกจริงๆ ว่านี่มันคุกหรือเป็นอะไรกันแน่
" หรือว่าเรากำลังถูกขุนให้อ้วน แล้วค่อยเชือด "
เคนนี่อดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้
แต่แล้วก็สลัดมันออกไปเสียด้วยเห็นว่าเป็นความคิดไร้สาระ
" แต่ก็ดี อาหารมื้อใหญ่ช่วยให้เราฟื้นฟูกำลังขึ้นเยอะ
ถึงสมิงหมาป่าอย่างเราจะอดอาหารได้เป็นเดือนๆ ก็เหอะ
แต่ไม่กินเลยก็ไม่ดี ดังนั้น ในเมื่อมีให้กินแล้ว
ก็ต้องแด๊กให้คุ้ม "
เคนนี่พูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับยื่นมือซ้ายไปแตะที่ไหล่ขวาที่บาดเจ็บของตัวเองพร้อมกับนึกในใจ
" แผลใหญ่ขนาดนี้คงใช้เวลาสองสามวันกว่าจะหายดี
แต่เราไม่มีเวลาถึงขนาดนั้น เจ้าเดธมาคส์มันบอกจะกลับไปค่ายใหญ่ ไม่กลับมาซักพัก
แต่คิดว่า ไม่เกิน 3 วัน มันต้องกลับมาพร้อมกับทัพใหญ่แน่ๆ
เห็นทีต้องรีบหาทางหนีโดยเร็วที่สุด "
เคนนี่คิดได้ดังนั้น ก็รีบเดินไปดับไฟจากโคมระย้าที่อยู่เหนือห้องนั้นแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที
ในตอนนั้น ใบหน้าตอนยิ้มของไอร่าพลันเข้ามารบกวนจิตใจของเคนนี่
แต่เคนนี่ก็สลัดมันทิ้งไปจากหัวพร้อมกับเอาผ้าห่มคลุมหัวเพื่อจะหลับให้ได้
แต่ในตอนนั้นเอง โสตประสาทของเคนนี่ก็จับเสียงบางอย่างได้ เป็นเสียงเล็กๆเบาๆ คล้ายเสียงคนกำลังร้องไห้
เคนนี่ลุกพรวดขึ้นจากเตียง หันหัวไปมาเพื่อจะหาว่า
เสียงนั้นมาจากไหน ไม่นาน เขาก็จับได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากบนเพดานเหนือหัวของเขาขึ้นไปนั่นเอง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เคนนี่เดินไปที่หน้าต่าง
เปิดหน้าต่างออกอย่างเงียบเชียบ
แล้วเคลื่อนไหวตัวออกจากหน้าต่างอย่างช้าๆ เงียบๆ
เพื่อไม่ให้พวกสมิงที่เฝ้าอยู่รู้ตัว
ซึ่งนับว่าโชคดีที่เคนนี่สวมชุดดำ
ทั้งยังเอาแฟนธอมแฟงค์พันตัวไว้นิดหนึ่งให้กลมกลืนไปกับความมืด
จากนั้น จึงปล่อยแฟนธอมแฟงค์เส้นเล็กๆ
ที่ตรงปลายเปิดออกเป็นลักษณะ
คล้ายตัวหนอนทรายแยกเขี้ยวไปเกาะติดอยู่กับมุมบนซ้ายของหน้าต่างห้องเหนือห้องของเคนนี่
ปิดหน้าต่างให้สนิท แล้วใช้แรงดึงของแฟนธอมแฟงค์ดึงตัวเองขึ้นไปอยู่ตรงหน้าต่างทันที
ในห้องนั้น ไอร่าในชุดสีน้ำเงินที่เธอสวมอยู่บ่อย
กำลังนั่งซบหน้าอยู่บนโต๊ะกลมในห้อง
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเธอดังไปทั่วทั้งห้องนั้น
และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าสวยๆ นั้นก็นองไปด้วยน้ำตา
เหมือนกับตอนที่เธอร้องไห้เสียใจจากการที่นกตายเมื่อตอนกลางวัน
เคนนี่เห็นอาการร้องไห้อย่างเศร้าใจของไอร่าเช่นนั้น
ใบหน้าก็หม่นหมองด้วยความเศร้าไปด้วย
เขาใต่กลับลงไปยังหน้าต่างห้องตัวเอง
แล้วกลับเข้าห้องพร้อมปิดหน้าต่างอย่างเงียบเชียบเหมือนคราวออกไป
เคนนี่กลับมานั่งทำท่าคิดหนักอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าของคนที่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
วันรุ่งขึ้น
เคนนี่ตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นแต่งตัว
รับประทานอาหารเช้าจนอิ่ม แล้วออกไปนอนตรงหินใหญ่ที่เคยไปนอนร้องเพลง แล้วร้องเพลง'น้ำตานั้นรู้ดี' ออกมาดังลั่น
เหมือนจงใจจะให้ไอร่าได้ยิน ซึ่งไอร่าเองก็เห็นอาการเช่นนั้นของเคนนี่เหมือนกัน
เธอรู้ดีว่าเคนนี่จงใจร้องเพลงให้เธอฟัง
แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงทำอะไรไปตามเรื่องของเธอ
เคนนี่นั้นนอนร้องเพลงตลอดทั้งเช้านั้น
ร้องเพลงเดียวซ้ำๆ กันอย่างนั้นจนเที่ยงจึงกลับไปกินอาหารเที่ยง
แล้วกลับมานอนร้องเพลงเดิมอยู่บนหินก้อนเดิม
เหมือนตอนเช้า เขานอนร้องเพลงซ้ำไปซ้ำมาจนถึงตอนเย็นจึงเข้าไปกินข้าวเย็น แล้วกลับออกมานอนร้องเพลงต่อ
ไม่ปรากฎเงาของไอร่าให้เห็นเลยตลอดทั้งวันนี้
เธอเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาเลยตลอดทั้งวันนั้น
เหมือนจงใจจะหลบหน้าเขาอย่างนั้นแหละ
แต่เคนนี่ก็ไม่สนใจ เขายังคงร้องเพลงดังลั่นอยู่อย่างนั้นจนถึงห้าทุ่มจึงกลับเข้าไปนอน
วันต่อมา เวลา 12.30 น.
เคนนี่นอนอยู่บนหินก้อนเดิมที่เขาเคยนอนร้องเพลงอยู่ตั้งแต่บ่ายสามโมงของเมื่อสองวันที่แล้วและกำลังร้องเพลง 'น้ำตานั้นรู้ดี'เสียงดังลั่นเหมือนเคย
สองวันเต็มๆ แล้วที่เขาร้องเพลงอยู่อย่างนี้โดยที่ไอร่าไม่ได้เยี่ยมหน้าออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
" นี่ผ่านมาสองวันแล้ว " เคนนี่นึกอยู่ในใจ "เหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้นเอง
ตอนนี้พลังของเรากลับคืนมาเต็มที่แล้ว
แผลก็เริ่มดีขึ้นจวนจะหายสนิทแล้วด้วย
แถมยังไม่มีเจ้าเดธมาคส์อยู่ที่นี่คอยขัดขวางด้วย
ถ้าจะหนีก็ต้องตอนนี้เท่านั้น "
ในใจเคนนี่คิดอย่างนั้นก็จริง
แต่พอนึกถึงใบหน้าตอนร้องไห้ของไอร่าที่เขาเห็นเมื่อสองวันก่อนทั้งสองครั้งแล้วก็ทำให้เขาต้องคิด
" แต่ว่า... " ก่อนที่เคนนี่จะคิดอะไรต่อไปได้
" ว่าไง ไม่ร้องเพลงต่อเหรอ " ทำเอาเคนนี่สะดุ้งโหยง
ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหันหน้าไปทางต้นเสียงทันที
ผมสีขาวยาวรวบหางม้ากับชุดสีฟ้าอ่อน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอร่านั่นเอง
เธอยืนอยู่ตรงที่เดิมที่ยืนอยู่เมื่อสองวันก่อนนี้
และมองมาที่เคนนี่ด้วยสายตาเรียบเฉย
เหมือนที่เคยมองเขาทุกครั้ง
" พักก่อนชั่วคราวน่ะ เดี๋ยวค่อยร้องต่อ "
เคนนี่พูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ สำเร็จ ในที่สุดก็ออกมาจนได้
ไอร่าเพียงแต่เงียบๆ แต่ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆหินใหญ่ก้อนนั้น ต่างฝ่ายต่างเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ
ไอร่าก็ถามขึ้นมา
" นี่ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย " เคนนี่ตอบว่าได้พร้อมกับพยักหน้า
" เธอต้องการอะไรกันแน่ "
คำถามนี้ทำเอาเคนนี่ถึงกับสะดุ้ง เขาถามสวนมาทันควัน
" หมายความว่ายังไง ที่ว่า 'ต้องการอะไรกันแน่' น่ะ "
" ก็หมายความว่า ถ้าเป็นคนปกติ
คงไม่มาทำอะไรเพื่อคนที่ไม่รู้จักหรอกน่ะสิ
การที่ใครจะทำอะไรเพื่อคนไม่รู้จักขนาดนั้นเนี่ย
แปลว่าคนคนนั้นจะต้องเล็งที่จะเอาผลประโยชน์
อะไรซักอย่างจากคนที่ตัวเองจะช่วย "
" งั้นเธอคิดว่าชั้นจะเอาผลประโยชน์อะไรจากเธอล่ะ "
เคนนี่ถามยิ้มๆ
" การหนีออกไปจากที่นี่ได้โดยปลอดภัยไงล่ะ " ไอร่าตอบ "ท่านเดธมาคส์ไม่อยู่ที่นี่
เท่ากับว่าชั้นซึ่งมีตำแหน่งในกองทัพรองจากท่านเดธมาคส์เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในที่นี้
ดังนั้น เธอเลยคิดว่าถ้าสามารถตีสนิทกับชั้นได้
ก็จะหาทางออกไปจากที่นี่ได้ง่ายขึ้น "
" มากไปหน่อยละมั้ง " เคนนี่ตอบ
น้ำเสียงของเขามีแววโกรธเล็กน้อย "คิดว่าชั้นจะเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเชียว "
" ใครๆ ในโลกนี้ก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่รึ "
" งั้นก็รู้ไว้เลยแล้วกัน !!! " เสียงของเคนนี่ดังเกือบเป็นตวาด "
ถึงแม้ว่าชั้นอยากจะออกไปจากเมืองบ้าๆ
นี่เต็มทีแล้วก็เหอะ แต่ก็ไม่ได้สิ้นคิดถึงขนาด
ใช้วิธีใจแคบแบบนั้นหรอกนะ แล้วก็รู้เอาไว้ด้วยว่าในโลกนี้น่ะ
ไม่ได้มีแต่คนใจแคบที่คิดแต่จะหาประโยชน์จากคนอื่นอย่างที่เธอคิดหรอก"
ทีท่าเกรี้ยวกราดของเคนนี่ทำให้ไอร่าตกใจ ความจริงนั้น
เธอคิดอยู่เหมือนกันว่าเคนนี่จะแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมา
ซึ่งเธอเองก็เตรียมรับเอาไว้แล้ว
แต่พอเห็นทีท่าของเคนนี่แล้ว เธอกลับรู้สึกว่า
อาการเกรี้ยวกราดของเคนนี่นั้นต่างจากอาการเกรี้ยวกราดของ
'คนใจแคบ' มากนัก
คนใจแคบ ในความหมายของเธอ ไม่ใช่หมายถึงคนที่คิดแต่จะเอาผลประโยชน์ของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ให้อะไรเลยเท่านั้น
แต่ยังหมายถึง คนที่ไม่ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลอีกด้วย ซึ่งเคนนี่นั้นไม่มีทีท่าของคนใจแคบทั้ง 2แบบเลย ในอาการโกรธของเขาเลย
ซึ่งอาการโกรธเช่นนี้แหละที่ทำให้ไอร่าตกใจ
ฝ่ายเคนนี่นั้นนั่งนิ่งเขาพยายามบังคับอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วพูดออกมา
" รู้รึเปล่าไอร่า ว่าเมื่อก่อนเคยมีพี่สาวคนนึง ทั้งๆ
ที่อีกฝ่ายเป็นเด็กจรจัดไม่รู้หัวนอนปลายเท้า
ไม่เคยมีบุญคุณรึความแค้นต่อกัน
ไม่แม้แต่จะรู้จักกันด้วยซ้ำ
แต่พี่สาวคนนั้นกลับดีต่อเด็กจรจัดคนนั้น
ทำเพื่อมันทุกอย่าง กระทั่งยอมแลกชีวิตของตัวเองเพื่อให้เด็กคนนั้นมีโอกาสเลือกทางเดินของตัวเองได้"
สีหน้าของเคนนี่สลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตอนนี้
เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยแววตาเศร้าๆ พร้อมกับกำจี้
Heart of Darkness ด้วยมือขวาไว้แน่น
" ดังนั้น เด็กจรจัดคนนั้นจึงเลือกที่จะสู้เพื่อหยุดเสียงร้องไห้ด้วยความทรมานใจ
อย่างน้อยซักเสียงหรือสองเสียงก็ยังดี
เพื่อพี่สาวคนนั้นด้วย "
ไอร่ายืนนิ่ง ทำตาโต พูดไม่ออก
เคนนี่เองก็นิ่งไปเหมือนกัน เนื่องจากเขานึกว่าไอร่านั้นโกรธที่ตัวเองไปตะโกนใส่หน้าแบบนั้น
จึงไม่พูดอะไรเลยด้วยเกรงว่าจะพาลไม่เข้าหูไอร่า
ทำให้เธอโกรธมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ
ที่ความจริงแล้วไอร่าเพียงแต่ตกใจเท่านั้น
ไม่ได้โกรธอะไรเลย
ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปพักใหญ่ ในที่สุด
เคนนี่ก็ตัดสินใจที่จะพูดขอโทษไอร่า
เขาคิดว่าการนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
กลับจะเพิ่มบรรยากาศน่าอึดอัดให้
มากขึ้นไปอีก เขาขยับปากจะพูดขอโทษ แต่.....
ครากกกกก......
เสียงพยาธิในทัองของเคนนี่ร้องดังลั่นไปหมด
เป็นเหมือนนาฬิกาบอกเวลาอาหารเที่ยง
ทำเอาเคนนี่อายซะแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ได้แต่ยืนแข็งเด่เป็นหินอยู่อย่างนั้น
แล้วตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะใสๆ เหมือนกับระฆังเงินดังขึ้นเบาๆมาจากไอร่านั่นเอง เธอยืนเอามือซ้ายปิดปากไว้
พร้อมด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ ทำเอาเคนนี่ยืนตะลึงตาค้างไปเลย
ไอร่าเงยหน้าขึ้นมา พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ
แต่ก็ทำไม่ได้
" หิวแล้วละสิ ก็อยากซ่าร้องเพลงจนลืมเวลากินข้าวทำไมล่ะ
ป่านนี้เค้าเก็บอาหารเที่ยงของเธอไปแล้วมั้ง มา
ชั้นจัดการให้เอง "
พูดจบ
หันหลังกลับแล้วเดินนำเคนนี่ตรงไปที่ระเบียงปราสาททันที
ฝ่ายเคนนี่นั้นคงยืนตะลึงกับใบหน้ายิ้มแย้มของไอร่าอยู่อย่างนั้น
เขาเองไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้เห็นใบหน้าเช่นนั้น
ของไอร่าในการคุยกันแบบนี้ ทำให้เขายืนตะลึงงันไป
ไอร่าเดินนำไปได้ระยะหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเคนนี่ไม่ได้เดินตามมาเลย
จึงหันกลับมาหาเคนนี่แล้วพูด
" นี่ อย่ามัวยืนเฉยสิ เดี๋ยวก็อดข้าวหรอก "
เมื่อนั้น เคนนี่จึงค่อยตื่นจากภวังค์
รีบเดินตามไอร่าไปทันที
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เพลงเด็ดประจำตอน
Namida Wa Shitte Iru (น้ำตานั้นรู้ดี) 2nd Ending Theme
จากเรื่อง ซามูไรพเนจร