ROAR !!!

ROAR !!!
Chapter 13 - Precious Past -

เคนนี่นั่งอยู่ในห้องคล้ายห้องอาหาร กำลังจัดการกับขาหมูรมควันย่างขาใหญ่ที่ไอร่าสั่งให้ทหารเอามาให้อย่างหิวกระหาย บนโต๊ะมีอาหารอีกสองสามอย่างวางอยู่
ขนมปังจานหนึ่ง ซุบใสชามหนึ่ง ผลไม้จำนวนไม่มากนักจานหนึ่งกับเหยือกน้ำขนาดใหญ่อีกเหยือก
แม้รสชาติของมันจะจืดชืดต่างจากอาหารชุดใหญ่อย่างดีที่เดธมาคส์สั่งให้ทหารจัดมาให้ก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่สำหรับเคนนี่แล้วกลับไม่เป็นปัญหา
เพราะในชีวิตการเป็นคนพเนจรนั้น มีหลายครั้งที่เขาต้องหาอาหารกินแบบกันตายไปวันๆ ซึ่งย่ำแย่กว่ามาก
ไอร่านั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกับเคนนี่ มองท่าทางของเคนนี่ในขณะที่กินด้วยสีหน้าเฉยๆอยู่พักหนึ่งก็หันกลับไปทางประตูพร้อมกับทอดสายตาออกไปในสวนที่นั่งอยู่เมื่อกี้นี้
ฝ่ายเคนนี่แม้ว่าจะกำลังง่วนอยู่กับอาหารเที่ยงของตัวเอง แต่ดวงตากลับจ้องดูท่าทางของไอร่าอยู่แทบจะทุกอิริยาบถเลยทีเดียว
เขาสังเกตเห็นแววเศร้าสร้อยสะท้อนอยู่ในดวงตาของไอร่า เหมือนกับที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งที่พบกับไอร่าครั้งแรกในสวนของปราสาทเมื่อสองวันก่อน

" ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอทำท่าเย็นชาหรือตอนที่เธอร่าเริง มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่เหมือนกัน คือ ดวงตาคู่นั้น" เคนนี่นึกอยู่ในใจ " ดวงตาที่แฝงแววเศร้าสร้อยและหวาดกลัว
ต่างจากดวงตาของมาอิที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมกระหายเลือด นังแม่มดนั่นคงจะข่มเหงเธออยู่ตลอดเวลาเลยสินะ ให้ตายสิ ต้องหาทางช่วยเธอให้ได้ "
เคนนี่จัดการกับขาหมูรมควันย่างซะหมดไปกว่าครึ่งหนึ่ง ขนมปังนั้นหมดไปแล้ว มีแต่ซุปใสกับน้ำเท่านั้นที่เคนนี่ยังไม่ได้แตะเลย
แต่เขาไม่มีเวลาสนเรื่องนั้นหรอก เพราะเขากำลังสนเรื่องอื่นอยู่
" แต่จะทำยังไง " เคนนี่นึกในใจต่อ " จะหาทางแยกมาอิออก แล้วทำให้หายไปรึแต่เราเองไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครสามารถทำได้ โว้ย ปวดหัวจริง จะทำไงดี "
นึกถึงตรงนี้ เคนนี่ก็ยกมือขวาขึ้นกุมขมับ กำลงไปบนผมยาวสีน้ำตาลทองของตัวเองเหมือนจะกระชากให้หลุดออกมา
" นี่ เคนนี่ "
เสียงเรียกของมาอิทำเอาเคนนี่สะดุ้ง ปล่อยมือที่กุมขมับออกอย่างตกใจแล้วหันไปถาม " อ..อะไรเหรอ "
" 'พี่สาว' ของเธอน่ะ "
ไอร่าพูดออกมาโดยที่ตายังมองออกไปยังสวน " เอ้อ..เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย เรื่องของเธอกับ 'พี่สาว'ของเธอน่ะ "
เคนนี่สังเกตว่า ใบหน้าขาวนวลของไอร่านั้นปรากฎมีสีแดงเรื่อนิดๆ คล้ายคนเวลาพูดเรื่องที่พูดแล้วอาย เขายิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ยื่นมือไปคว้าเหยือกน้ำมาดื่ม
แล้วจึงเอนหลังพิงกับเก้าอี้หนักๆ ทีหนึ่งก่อนจะพูด
" โอเค ชั้นจะเล่าให้ฟังก็ได้ "
ไอร่านั่งอยู่ข้างๆ มองมาทางเคนนี่ด้วยทีท่าสนใจ
ฝ่ายเคนนี่เองก็นั่งมองเพดานเหมือนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
" อืมม์ จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ เอาเป็นว่าจะเล่าตั้งแต่แรกเลยแล้วกัน "
พร้อมๆ กับที่เล่าเรื่องราวของเขากับพี่สาวนั้น ในใจของเคนนี่ก็เหมือนกับได้ย้อนกลับไปสู่อดีตเมื่อวันวานอีกครั้ง

เราเป็นใคร...
เรามาจากไหน...
แล้วกำลังจะไปไหน....
เสียงจากจิตใจของเด็กชายตัวน้อยผมสีน้ำตาลทอง อายุประมาณ 4 ขวบ กำลังเดินโซเซอยู่ท่ามกลางทุ่งที่เต็มไปด้วยหิมะจำนวนมากมาย
ดวงตาของเด็กน้อยที่มองไปข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยแววเลื่อนลอย

ใช่แล้ว... เราต้องไปที่ 'อีเทอร์เนีย'....
แต่ว่า.. 'อีเทอร์เนีย' อยู่ที่ไหน..
ทำไมเราถึงต้องไป....
ก็เพราะมี 'ใครบางคน' บอกให้เราไป....
แล้วใครกันล่ะที่บอกให้เราไป..
แล้วไปเพื่ออะไร....

ความคิดเหล่านี้กลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลาในสมองของเด็กชาย เขาไม่รับรู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน และตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปไหน
ในใจของเขาในตอนนี้ มีเพียงสิ่งเดียว ต้องไปที่ 'อีเทอร์เนีย' ให้ได้ เด็กชายเดินมาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ มาล้มอยู่หน้าประตูเมืองเมืองหนึ่ง
เมืองอะไรเขาก็ไม่รู้หรอก สิ่งเดียวที่เขาได้รับรู้ในตอนนี้คือ เหนื่อย ง่วงเหลือเกิน คิดได้เท่านี้ เขาก็หลับไปทันทีด้วยความอ่อนเพลียทั้งกายและใจอย่างที่สุด
โดยไม่มีใครเหลียวแลแม้แต่น้อย แน่ละ ใครจะมาสนใจเด็กจรจัดไม่รู้หัวนอนปลายเท้าซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดทั่วที่และทุกเมืองในอานาจักรแห่งนี้
หลับไปอีกคืนหนึ่งเต็มๆ เด็กชายก็ตื่นขึ้นมาจนได้ ท่ามกลางรุ่งอรุณอันสดใสแห่งฤดูหนาว ผู้คนใส่เสื้อโคทหรือเสื้อคลุมขนสัตว์หนาๆเดินกันขวักไขว่
บัดนี้ เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกอีกอย่างนอกจากความสับสน เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าและความโดดเดี่ยว นั่นคือ ความหิวโหย
กระเพาะของเด็กชายร้องครากด้วยความหิวกระหายอย่างที่สุด ในคอของเขาตอนนี้ก็แห้งผากจนแทบจะร่วงเป็นผงเสียให้ได้เพราะเขาไม่ได้แตะน้ำหรืออาหารใดๆ

มาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนแล้ว และตอนนี้สัญชาตญาณที่สัตว์โลกทุกชนิดพึงมีมันก็บอกเขาว่าต้องหาอาหารโดยเร็วที่สุด'
เขาเดินไปตามถนนในเมืองนั้น เดินไปเรื่อยพร้อมกับกวาดสายตาอันอ่อนล้านั้นไปทั่วเพื่อจะหา 'อาหาร' มาใส่ท้องให้ได้
เด็กชายเดินอยู่นานกว่าชั่วโมงก็ยังไม่ได้อะไรมาใส่ท้องเลย ในที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาก็ทรุดตัวลงนั่งพักอยู่กับผนังของบ้านหลังหนึ่งตรงหัวมุมของถนนนั่นเอง
แล้วตอนนั้น สายตาของเด็กชายก็กวาดไปพบกับสิ่งหนึ่งซึ่งสะดุดใจเขาในตอนนี้มากที่สุด มันคือรถเข็นขายฮอทดอกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนที่เขานั่งพักอยู่
คนขายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ท่าทางแข็งแรง กำลังส่งฮอทดอกให้กับเด็กชายคนหนึ่งอยู่และข้างหลังเด็กชายที่รับฮอทดอกไปแล้วนั้น ก็มีเด็กกับวัยรุ่นอีกจำนวนหนึ่งยืนต่อคิวอยู่
ความคิดที่ว่า ต้องหาอาหารให้ได้ มันก็แล่นขึ้นมาทันที และโดยไม่ต้องวางแผนอะไรมากมาย เด็กชายเดินอาดๆไปหารถเข็นฮอทดอก
ซึ่งตอนนั้น คนขายกำลังเอาฮอท ดอกใส่ขนมปัง และใส่มัสตาร์ดกับหัวหอมอยู่ไม่มีใครในที่นั้นสนใจเด็กจรจัดคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าตรงไปยังรถเข็นเลยแม้แต่น้อย

และชั่วพริบตาที่คนขายยื่นฮอทดอกส่งให้ลูกค้าที่รอรับอยู่นั้น เด็กจรจัดที่ไม่มีใครสนใจจะมองนั้นก็เร่งฝีเท้าเข้าหารถเข็นแทรกกลางระหว่างคนขายกับลูกค้าทันที
พร้อมๆกับที่มือขวาก็ฉกเอาฮอทดอกอันนั้นติดมือพร้อมกับวิ่งหนีไปทันทีทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากชนิดที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว ยกเว้นวัยรุ่นชาย 2คนกับคนขายฮอทดอก
ที่วิ่งกวดตามไปทันที เด็กจรจัดนั้นวิ่งเร็วมาก แม้ว่าตอนนี้จะอ่อนแรงจากการเดินมาทั้งวันกับไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ยังไปเร็วเสียจนผู้ใหญ่ทั้ง 3คนที่ไล่มาทางด้านหลัง
ยังตามแทบไม่ทัน
เขาวิ่งซิกแซกไประหว่างกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว หลอกให้ผู้ใหญ่ที่วิ่งไล่หลังมาจนหัวปั่น
แต่แล้ว ในขณะที่กำลังวิ่งหนีอยู่นั้น...
พลั่กกกกกก
ร่างของเด็กจรจัดหงายผึ่งชนิดไม่เป็นท่า เพราะชนกับรถเข็นของร้านขายดอกไม้ที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมาเข้าโครมใหญ่
ถ้าเป็นคนปกติ ก็คงจะลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อได้ทันที แต่เนื่องจากเขาอ่อนแรงมาก่อนแล้วซ้ำยังมาห้อแรดชนิดเต็มเหยียดเข้าอีก ทำให้เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เร็วนัก
กว่าจะลุกขึ้นได้ ผู้ใหญ่ 3 คนที่ไล่ตามมาก็เข้าถึงตัวเสียก่อนแล้ว ทั้ง 3 คนพอคว้าร่างของเด็กจรจัดเอาไว้ได้ ก็จัดการเตะขาให้ล้มลงกับพื้นพร้อมกับรุม 'สหบาทา' ทันที

ผู้คนมากมายมายืนมุงดูการ 'สหบาทา' กันเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครสนใจจะช่วยเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนสนใจแต่เพียงว่า เกิดอะไรขึ้น แล้วเดินเข้ามาดูแล้วพอเห็นเข้า
ก็นึกในใจว่า 'ไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรา' มั่งละ 'สมน้ำหน้า' มั่งละ
ทุกคนต่างมองด้วยสายตาเฉยเมยไร้ซึ่งอารมณ์สิ้นดี ครั้งนี้ เด็กจรจัดได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ความเจ็บปวด และ ความโกรธแค้น ทำไมกัน กะอีแค่ฮอทดอกอันนึง
จำเป็นต้องเล่นงานกันถึงขนาดนี้เลยเรอะ แล้วไอ้พวกนั้นละ ยืนเฉยอะไรอยู่ เห็นกันตำตาว่าเด็กกำลังถูกเล่นงานขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มาห้ามเลย บ้าชัดๆ
หลังจากรุมสหบาทาไปได้พักหนึ่ง ทั้งสามคนก็หยุดพร้อมกับหายใจหอบ เจ้าคนขายฮอทดอกยลดตัวลงนั่งชันเข่า เอามือขวาจิกผมของเด็กจรจัดแล้วยกใบหน้าให้หงายขึ้น
จ้องด้วยแววตากราดเกรี้ยวดุดัน
" ว่าไง ไอ้เด็กจรจัด ทีหลังจะซ่าอีกมั้ย "
เด็กจรจัดไม่ตอบคำถาม หากแต่จ้องตอบกลับเจ้าคนขายฮอทดอกอย่างไม่เกรงกลัวและไม่ยอมแพ้ด้วยดวงตาวาวโรจน์เหมือนสัตว์ป่าหิวกระหาย
พร้อมกับถ่มน้ำลายเปื้อนเลือดใส่หน้ามันทันที ทำให้เจ้าคนขายฮอทดอกที่ตอนนี้โกรธจัดอยู่แล้วยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่
มันลากผมของเด็กจรจัดเหวี่ยงเข้าไปติดกำแพงใกล้ๆนั้นเต็มแรง จากนั้นจึงเดินอาดๆ เข้าหาเด็กจรจัดพร้อมกับยกเท้าซ้ายขึ้นจะถีบเข้าใส่หน้าของเขาทันที
ฝ่ายเด็กจรจัดเองก็เห็นเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร แต่จนใจที่ความเหนื่อยอ่อนและอาการบาดเจ็บจากสหบาทา ทำให้เขาขยับไม่ได้เลย

แต่ในพริบตาก่อนที่เท้าของเจ้าคนขายฮอทดอกจะย่ำลงมาเต็มกบาลของเด็กจรจัดนั้น
" หยุดนะ !!! "
เสียงตะโกนเฉียบขาดของเด็กผู้หญิงกับเสียงพึ่บเหมือนเสียงผ้าสะบัด
พร้อมกับร่างเงาสีม่วงอ่อนพุ่งพรวดมาอยู่ตรงหน้าของเด็กจรจัดทันที

ฝ่าเท้าของเจ้าคนขายฮอทดอกชะงักไปเมื่อเห็นร่างเงาสีม่วงออกมาขวางตนไว้ เจ้านั่นลดเท้าลงแล้วเดินถอยหลังไปสองก้าวไปยืนคู่กับวัยรุ่นอีก
2 คนที่วิ่งไล่เด็กจรจัดมาด้วยกันตะกี้นี้ เมื่อหายตะลึงกับเหตุการณ์แล้ว คนทั้งหมดในที่นั้น จึงค่อยสังเกตเห็นว่า
ร่างที่ปราดออกมาขวางทางไว้ไม่ให้คนขายออทดอกทำร้ายเด็จรจัดนั้น เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ 14 ปี หน้าตาน่ารัก
สวมเสื้อแบบผู้หญิงสีม่วงแขนยาว กระโปรงบานสีม่วงเช่นกัน จ้องดวงตาดำขลับที่เต็มไปด้วยแววไม่พอใจเข้าใส่คนขายฮอทดอก
" นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องสาวนักร้องเพลงคนสวยจากคณะละครเร่ที่มาปักหลักแสดงอยู่นอกเมืองนี่เอง" เจ้าคนขายฮอทดอกพูดด้วยสำเนียงยียวนนิดๆ
" เด็กตัวนิดเดียวทำไมต้องซ้อมขนาดนั้นด้วยล่ะ " เด็กสาวพูดด้วยสำเนียงต่อว่า
" มันขโมยฮอทดอกของลูกค้า " เจ้าคนขายฮอทดอกพูดหน้าตาเฉย
" แค่ขโมยฮอทดอกแค่นี้จำเป็นต้องทำรุนแรงถึงขนาดนี้ด้วยรึไง "
" จำเป็นอย่างยิ่งเชียวละ น้องสาว เพราะถ้าปล่อยไปเฉยๆไม่ลงโทษให้หลาบจำละก็เจ้าเด็กพวกนี้มันก็ได้ใจมาทำอีกน่ะสิ "
พูดจบเจ้านั่นก็เดินหลบออกไปทางด้านซ้ายของเด็กสาวเพื่อจะเข้าไปหาเด็กจรจัด แต่เด็กสาวขยับร่างมาขวางไว้อีกครั้งพร้อมกับถาม
" แล้วนั่นจะทำอะไรอีก "
" จะเอาเจ้าเด็กนี่ไปส่งกรมเมือง ฐานลักขโมย "
" ขอถามอีกครั้งนะ จะไม่ปล่อยเค้าแน่นอนใช่มั้ย "
" แน่นอน "
เด็กสาวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาในที่สุด
" งั้นชั้นใช้ค่าฮอทดอกที่เค้าขโมยให้คุณก็ได้ บอกราคามาสิ "

เจ้าคนขายฮอทดอกหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูด
" 1000 เซนี่ ขาดตัว "
ไทยมุงรอบข้างเริ่มส่งเสียงโห่อย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก เพราะฮอทดอกอันหนึ่งราคาเพียง 10 เซนี่เท่านั้นหรืออย่างแพงสุดก็แค่ 15 เซนี่เท่านั้น
แต่เจ้านี่เล่นตั้งราคาเพิ่มเข้าไปอีกถึง 100 เท่า ต่อให้เป็นควายก็รู้ดีว่าจงใจแกล้งกันชัดๆ
เด็กสาวสะอึกไปเหมือนกันกับการตั้งราคาเกินควรเช่นนี้ แต่แผล็บเดียวสีหน้าของเธอก็เป็นปกติและอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เธอล้วงเอาเหรียญเงินพวงหนึ่งในกระเป๋า
ยื่นส่งให้กับคนขายฮอทดอกอย่างไม่มีอาการลังเลแม้แต่น้อย ท่ามกลางความตกตะลึงของไทยมุงทั้งหลาย
เจ้าคนขายฮอทดอกยืนนิ่ง มองที่เงินพวงนั้นกับหน้าของเด็กสาวกลับไปกลับมาเหมือนจะดูทีท่าอยู่พักหนึ่งก็ยื่นมือไปรับเงินพวงนั้นมานับจำนวนครู่หนึ่ง
ก็เดินไปหาวัยรุ่นอีก 2 คนแล้วจากไปพร้อมด้วยรอยยิ้มหยันๆ
หลังจากที่คนขายฮอทดอกเดินจากไป
ไทยมุงต่างมองหน้าพร้อมกับคุยกันพึมพำอย่างประหลาดใจยกใหญ่ ที่มีคนกล้าใช้เงินจำนวนขนาดนั้นเพื่อช่วยเด็กจรจัดคนเดียว
ฝ่ายเด็กจรจัดซึ่งโดนซ้อมจนลืมตาแทบไม่ขึ้น นอนเอาหลังพิงกำแพงอยู่นั้น ก็รู้สึกเบลอในหัวไปหมด เขาได้ยินทุกคำพูดที่เด็กสาวโต้ตอบกับคนขายฮอทดอก
แต่เขากลับคิดว่าสิ่งที่เขาได้ยินนั้นเป็นความฝันเท่านั้นเอง
" ไม่เป็นไรแล้วนะจ๊ะ " เสียงใสๆ ของเด็กสาวพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน
พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดเหงื่อปนเลือดบนใบหน้าของเด็กจรจัดออกอย่างนุ่มนวล ปลุกเด็กจรจัดให้ตื่นจากภวังค์ เด็กจรจัดค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองด้วยแววตาอิดโรย
จึงเห็นว่า ร่างของเด็กสาวที่ยืนขวางหน้าคอยกันไม่ให้คนขายฮอทดอกกับพวกเข้ามาทำร้ายเขาตะกี้ ตอนนี้ย่อตัวลงมาหาเขาที่กำลังพิงกับกำแพงอยู่
ดวงตาสีดำขลับที่จับจ้องมายังเด็กจรจัดนั้นทอประกายอ่อนโยนและเต็มไปด้วยแววสงสาร
" ดูสิ แผลเต็มไปหมดเลย ใจร้ายจริงๆ ทำกับเด็กตัวแค่นี้รุนแรงอย่างนี้ แต่เธอเองก็ไม่ดีนะ ที่จู่ๆ ก็ไปขโมยของเค้าแบบนั้น "
น้ำเสียงตอนท้ายของเด็กสาวนั้นนั้นแฝงแววตัดพ้อเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือพยุงร่างของเด็กจรจัดให้ลุกขึ้น

แต่เด็กจรจัดนั้นกลับสะบัดมือขวาปัดมือที่ยื่นมาประคองเอาไว้ของเด็กสาวออกพร้อมกับจ้องด้วยสายตาเหมือนจะขู่ไม่ให้เข้าใกล้
ฝ่ายเด็กสาวนั้นทีแรกก็ทำสีหน้าเหมือนตกใจเล็กน้อย แต่แล้วก็กลับเป็นยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับเดินเข้าไปหาเด็กจรจัด
สองมือจับที่ไหล่ของเขาไว้แล้วดึงตัวเข้ามากอดไว้อย่างอ่อนโยน
" ไม่ต้องกลัวจ้ะ ไม่มีใครทำร้ายเธอแล้วนะ "

เด็กจรจัดนิ่งงันไปกับคำพูดและสัมผัสอันแสนอ่อนโยนของเด็กสาว และในพริบตานั้น แสงแห่งความทรงจำบางส่วนก็วาบเข้ามาในหัวของเขา
ยอดปราสาทสีขาว สวนดอกไม้กว้างใหญ่และสวยงาม กับร่างเงาของใครบางคนที่กำลังโอบกอดเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น
และความถวิลหาอย่างบอกไม่ถูก
เขายกมือทั้งสองขึ้นกอดตอบร่างเงาในความทรงจำนั้นพร้อมกับหลับตาด้วยความรู้สึกอันไม่อาจบรรยายได้ ทว่าพอลืมตาขึ้นมาอีกที
ก็พบว่าเขากำลังกอดเอาร่างของเด็กสาวชุดม่วงคนนั้นอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าของเด็กสาวซึ่งเธอก็จ้องตอบกลับมาด้วยประกายตาอบอุ่นอ่อนโยน
ในใจของเด็กจรจัดเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับที่เขารู้สึกยามจ้องมองเงาดำในความทรงจำของเขา
" ไม่กลัวแล้วใช่มั้ยจ๊ะ " เด็กสาวถามด้วยเสียงอ่อนโยน
เด็กจรจัดพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงตอบรับ
" งั้นไปกับพี่เถอะ เดี๋ยวพี่จะทำแผลให้ "
เด็กสาวพูดพร้อมกับประคองร่างของเด็กจรจัดให้ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะพาเดินไป แต่แล้วเธอก็หยุดชะงักไปพร้อมกับหันมาและพูด
" จริงสิ เพิ่งเจอกันครั้งแรกยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่นา แย่จัง" เด็กสาวยิ้มออกมาแห้งๆ พร้อมกับขยับมาอยู่ข้างหน้าเด็กจรจัดในท่ายืนค้อมตัวเธอยกนิ้วขึ้นชี้ตัวเองแล้วพูดแย้มยิ้ม
" พี่ชื่อ แคโรไลน์ จ้ะ แคโรไลน์ โซล่า ลอร์ดแมน เรียกพี่สั้นๆ ว่าแคร์ก็ได้ แล้วเธอล่ะจ๊ะ "
เด็กจรจัดยืนนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงตะกุกตะกักและแหบแห้ง
" เคน... นี่... "

" นั่นเป็นครั้งแรกที่ชั้นได้เจอกับพี่แคร์ "
เคนนี่สรุปหลังจากเล่าเรื่องการพบกันครั้งแรกระหว่างเขากับพี่สาวจบ
" จากนั้นพี่แคร์ก็พาชั้นไปที่กองคาราวานของคณะละครเร่ " เขาเล่าต่อพร้อมๆ กับที่นึกถึงอดีตในครั้งนั้นอีกหนหนึ่ง

คณะละครเร่ที่แคร์อยู่นั้นเป็นคณะที่ค่อนข้างใหญ่ มีเกวียนที่ใช้ม้า 4 ตัวเทียมถึง 9 เล่ม ใช้เป็นที่นอนเวลาพักผ่อนและใช้สำหรับขนเครื่องมือในการแสดงต่างๆ
และตอนนี้ ทุกคนในคณะละครก็กำลังเตรียมการสำหรับจะแสดงในช่วงเย็นอยู่
" มาแล้วๆๆ พี่แคร์กลับมาแล้ว !!!! แต่เอ๊ะ !! พาใครมาด้วยก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่มีอาหารติดมือมาด้วย "
เสียงตะโกนโหวกเหวกกับทีท่าชี้โบ้ชี้เบ้นั้นมาจากเจ้าหนูแคระที่เกาะอยู่บนหัวของคุณลุงยักษ์
เขาเป็นคนที่คอยสังเกตการณ์ว่าใครไปใครมาในคณะละครเร่อยู่บ่อยๆ
แถมด้วยเสียงดังแสบแก้วหูนี้ก็ทำให้เขาเกือบจะได้เป็นพิธีกรประจำคณะไปแล้ว แต่ด้วยส่วนสูงที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ตอนนี้จึงเป็นได้แค่ยามประจำคณะเท่านั้น
ทุกคนในคณะต่างหันตามปลายนิ้วของเจ้าหนูแคระ จ้องไปที่แคร์กับเคนนี่ที่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามายังบริเวณแคมป์ของคณะ
พอทั้งคู่เดินเข้ามาถึงบริเวณแคมป์เท่านั้น เด็กสาวอายุไล่เลี่ยกับแคร์ 7 คน สวมชุดสีต่างกันก็เดินเข้ามาล้อมแคร์กับเคนนี่ไว้ทันทีส่วนคนอื่นๆ
อยู่ถัดไปทางด้านหลัง
เด็กสาวทั้ง 7 คนต่างให้ความสนใจกับเคนนี่เป็นพิเศษ ต่างหันไปถามแคร์กันเป็นชุดๆ
" แคร์ นี่อะไรกัน เด็กที่ไหนกันเนี่ย อยู่ดีๆ พามาได้ยังไง ฯลฯ "
เล่นเอาแคร์ยืนยิ้มเฝื่อนๆ เพราะตอบคำถามไม่ทันไปเลย และในตอนนั้นเอง
" เงียบๆ หน่อย "
เสียงบอกหนักๆ มาจากชายแก่คนหนี่ง อายุประมาณ 50 ปี รูปร่างสูง ผมกับหนวดเคราเป้นสีดอกเลา ใบหน้ามีรอยย่นเล็กน้อย
ดวงตาสีเทาเต็มไปด้วยอำนาจแต่ก็แฝงความกรุณา ชายคนนี้คือ หัวหน้าคณะละครเร่นั่นเอง เขาเดินแหวกกลุ่มนักแสดงประจำคณะเข้ามาหาแคร์กับเคนนี่
" เอ้อ.. สวัสดีค่ะ " แคร์ทักทายตะกุกตะกักนิดหน่อย
" เด็กนี่ใครกัน " หัวหน้าคณะถามด้วยเสียงทุ้มๆ หนักๆของเขา
" เอ้อ เค้าชื่อเคนนี่ เป็นเด็กจรจัดอยู่ในเมืองค่ะ พอดีชั้นไปเห็นเค้าถูกอันธพาลซ้อมอยู่ ก็เลย.. "
"ก็เลยเอาเงินค่าอาหารไปให้อันธพาลจนหมดเพื่อแลกตัวเจ้าหนูนี่มาใช่มั้ย"
แคร์สะอึกไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มเจื่อนๆแล้วตอบด้วยเสียงใสๆ " ใช่ค่าาา "

ทุกคนในที่นั้นแทบหมดแรงเมื่อได้ยินว่าแคร์เอาเงินค่าข้าวไปใช้ช่วยเคนนี่ซะหมดเกลี้ยง แคร์นั้นหัวเราะออกมาแห้งๆ ท่ามกลางเพื่อนๆ
ชาวคณะที่แข็งเป็นหินไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเอานิ้วเกาจอนผมของตัวเองแก้เขิน

" ชั้นจำได้ดีเลยละ วันนั้นน่ะ " เคนนี่เล่ากลั้วหัวเราะ " พี่แคร์โดนคนในคณะตำหนิใหญ่เลยแล้วยังถูกหัวหน้าคณะลงโทษอีกด้วย ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น
แต่พี่แคร์ก็ไม่ได้โกรธชั้น รึว่าโทษชั้นเลย ตรงข้ามพี่เค้ากลับไปขอร้องให้หัวหน้าคณะรับชั้นเข้าร่วมคณะแล้วรับอาสาจะเป็นคนดูแลชั้นเอง "
เคนนี่เว้นระยะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
" ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พี่แคร์ดีกับชั้นมาตลอดคนอื่นๆ ในคณะก็เหมือนกัน ทุกคนให้ความสนิทสนมกับชั้นเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันไม่มีผิด
ความรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวในโลกหายไปจากใจชั้นจนหมดและควรจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ถ้า 'มัน' ไม่ปรากฎตัวขึ้นมาในวันนั้น "
ถึงตอนนี้ สีหน้าของเคนนี่พลันเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นขึ้นมาทันที เขากำหมัดและกัดฟันเสียแน่นจนน่ากลัวว่าเล็บกับฟันจะทำให้เนื้อที่ฝ่ามือกับริมฝีปากฉีกได้
ไอร่านั้นตกใจนิดหน่อยที่ได้เห็นทีท่าโกรธจัดของเคนนี่ ฝ่ายเคนนี่พอเห็นท่าทางตกใจของไอร่าก็รีบทำสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะพูดออกมา
" เอ้อ ขอโทษนะ ชั้นประสาทไปหน่อย "
" ไม่เป็นไร " ไอร่าพูดเบาๆ เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
" ดีจังเลยนะ " ไอร่าพูดออกมาพร้อมกับหันไปทางอื่นด้วยสีหน้าเศร้าๆ "ที่ได้เจอกับคนใจดีแบบนั้น "
ไอร่าเดินเข้าไปหาผนังห้อง เอามือของเธอทาบลงไปบนผนังแล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้า
" ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ชั้นไม่เคยที่จะเจอกับคนใจดีแบบนั้นเลย วันๆต้องเจอแต่คำด่า คำว่าร้ายของคนใจแคบตลอดเวลาเพียงเพราะเกิดมาเป็นสมิงเท่านั้นเอง
ถึงแม้หลังจากนั้นชั้นจะเป็นอิสระจากคำว่าร้ายนั้นแล้วแต่ก็ต้องมาคอยทำตามสิ่งที่มาอิสั่งตลอด ทั้งๆที่ไม่ได้อยากทำเลย ทั้งการเป็นแม่ทัพ ทั้งการต่อสู้
หรือสงคราม เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็จะไม่มีใครยอมรับชั้น ทุกคนจะใจแคบกับชั้น ทำไมนะ "
ถึงตอนนี้ไอร่าเอาหน้าผากซบลงไปบนผนังด้วยทีท่าเศร้าใจอย่างที่สุด
" ทำไมถึงต้องใจแคบกับชั้นนัก ทำไมไม่มีใครรักชั้นเลย " ไอร่าถอนสะอื้นออกมาเบาๆ ในขณะที่หน้าซบอยู่กับผนัง 
เคนนี่มองตามด้วยแววตาสงสารพร้อมกับลุกจากโต๊ะ เดินเข้าไปหาไอร่าพร้อมกับเอามือวางบนไหล่ของเธออย่างนุ่มนวล
ไอร่านั้นสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองหน้าเคนนี่ ใบหน้าของเคนนี่ปรากฏรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วพูด
" อย่ายอมแพ้สิ ไอร่า " น้ำเสียงของเคนนี่ในยามนี้อ่อนโยนยิ่งนัก 
" ถึงแม้ตอนนี้เธอจะมีกำลังใจแค่น้อยนิด แต่ก็อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆถึงตอนนี้จะไม่มีใครเห็นถึงความดีที่แท้จริงของเธอ แต่สักวันเวลาของเธอจะต้องมาแน่
เวลาที่จะพิสูจน์ให้ใครๆรู้ถึงความดีที่แท้จริงในตัวของเธอ ดังนั้น จนกว่า'เวลา' ของเธอจะมาถึง เธอต้องค้นหาความเข้มแข็งที่แท้จริงของเธอให้เจอเสียก่อน
ถ้าเธอทำได้ นอกจากจะทำให้คนอื่นยอมรับเธอได้แล้วแม้อุปสรรคที่หนักหนาที่สุดเธอก็จะสามารถข้ามมันไปได้เหมือนผีเสื้อที่สามารถบินข้ามทะเลได้ในเพลงไงล่ะ "
ไอร่ามองเคนนี่ตาโต ด้วยทีท่าตะลึงนิดๆ
ฝ่ายเคนนี่เองพอเห็นไอร่าจ้องเอาอย่างนั้นก็หน้าแดง ปล่อยมือที่จับไหล่ของไอร่าพร้อมกับพูดออกมาอย่างอายๆ
" เอ้อ ขอโทษ ชั้นเปล่าฉวยโอกาสนะ "
" ไม่เป็นไร " ไอร่าตอบเบาๆ
แต่ดวงตาก็ยังจ้องอยู่ที่หน้าของเคนนี่ เธอรู้สึกว่าทั้งสีหน้า ท่าทาง กระทั่งคำพูดของเคนนี่นั้นช่างเหมือนกับเด็กคนนั้นเหลือเกิน

ไอร่าตอนอายุ 5 ขวบ นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ริมแม่น้ำนอกหมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ ตามตัวเต็มไปด้วยแผลถลอกและแผลฟกช้ำจากการถูกรังแกเต็มไปหมด
โดยมีเด็กชายอายุไล่เลี่ยกันนั่งอยู่ใกล้ๆ ตามตัวมีรอยแผลเยอะไม่แพ้ไอร่าเลย
" ไม่เป็นไรหรอก ไอร่า " เด็กชายพูดกับไอร่า ด้วยสีหน้าอ่อนโยนเช่นเดียวกับที่เคนนี่พูด 
"ถึงจะไม่มีใครเห็นความดีของเธอก็เถอะ แต่สักวันเวลาของเธอต้องมาแน่จนกว่าจะถึงตอนนั้น ชั้นจะอยู่ข้างเธอเสมอนะ "

เคนนี่ถูกไอร่าจ้องเอาๆ ด้วยท่าทางแบบนี้ก็ชักเขินถามออกมาเบาๆ
" นะ.. หน้าชั้นมีอะไรติดอยู่เหรอ "
ตอนนั้นเอง ไอร่าถึงค่อยรู้สึกตัว เธอสะบัดหน้าหลบสายตาของเคนนี่อย่างอายๆเพื่อไม่ให้เคนนี่เห็นใบหน้าที่เป็นสีแดงเรื่อของเธอ
" เปล่า ไม่มีอะไรนี่ " เธอตอบบ่ายเบี่ยงแล้วก็แกล้งพูดเฉไฉไปนอกเรื่อง " ตายจริงนี่ถึงเวลาตรวจความเรียบร้อยกองทหารแล้วนี่นาชั้นต้องไปก่อนนะ "
ไอร่าพูดจบก็ทำท่าจะรีบเดินออกไปแต่ถูกเคนนี่เรียกตัวไว้ซะก่อน
" เดี๋ยวก่อน "
ไอร่าหยุด พร้อมกับหันมาหาเคนนี่โดยไม่ได้พูดอะไรแต่จ้องเหมือนเป็นคำถามว่ามีอะไร
" เอ้อ.. ขอโทษนะ " เคนนี่พูดด้วยท่าทางเขินนิดๆพร้อมกับเอามือเกาท้ายทอย "ที่ตอนแรกตะโกนใส่หน้าเธอแบบนั้นน่ะ "
" ช่างมันเถอะ " ไอร่าตอบเรียบๆ "ความจริงชั้นต่างหากที่ควรขอโทษที่พูดจาไม่ดีแบบนั้นกับเธอ"
เคนนี่ถอนใจเบาๆ ยิ้ม ยักไหล่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่มองร่างของไอร่าที่กำลังเดินออกจากห้องไปแม้แต่น้อย

" เคนนี่ "  
เคนนี่ยืดตัวขึ้นนิดหนึ่งพร้อมกับหันหน้าไปทางเจ้าของเสียงคือไอร่าพร้อมกับถามด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ไอร่าใช้ตะกี้
"ท่านเดธมาคส์จะเดินทางออกจากค่ายใหญ่ของวอร์เรนเซียตอน 5ทุ่มของคืนนี้ และจะมาถึงเมืองมิวส์ตอนเที่ยงคืน "
" ข่าวนี้เชื่อถือได้แค่ไหน " เคนนี่ถามยิ้มๆ เหมือนจะล้อเล่นเสียมากกว่า
" แล้วแต่จะคิด " ไอร่าพูด " จะยังไงก็แล้วแต่ ชั้น..." 
ไอร่าเงียบไปนิดหนึ่งแล้วพูดออกมา
" ขอบใจนะ "
ใบหน้าของไอร่าในตอนนั้นแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนยิ่งนัก ทำเอาเคนนี่นั่งมองตาค้างอยู่จนเธอเดินออกไป
" ทำไมต้องเจอกับเธอในฐานะศัตรูด้วยนะ "
เคนนี่นึกในใจด้วยสีหน้าเศร้า แต่แล้วก็สลัดมันออกไปแล้วพูดกับตัวเอง " ไม่ได้ๆตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องหาทาง หนีออกจากที่นี่ให้ได้ภายในคืนนี้โดยเร็วที่สุด "

ไอร่าเดินห่างออกจากห้องที่เธอคุยกับเคนนี่ตะกี้ค่อนข้างไกลโขแล้ว ในขณะที่เดินนั้น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
แบบนี้ดีแล้วละเธอนึกอยู่ในใจ
" แน่ใจรึ ไอร่า "
เสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของไอร่าทำให้เธอสะดุ้ง
" มาอิ !!! " ไอร่าร้อง หน้าตาของเธอซีดเผือดด้วยความตกใจและความกลัว
" ชั้นรู้นะ ว่าเธอคิดอะไรอยู่ "
มาอิพูดต่อพร้อมกับหัวเราะเสียงเย็นๆ ฝ่ายไอร่านั้นมีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด ยืนตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่อย่างนั้น
" อย่าทำท่ากลัวอย่างนั้นเลยน่า ไอร่าที่รัก "มาอิพูดด้วยเสียงดัดจริตนิดๆ "
ยังไงเราก็มีร่างเดียวกันนะ ดังนั้น สามัคคีกันไว้ดีกว่า"
ไอร่านั้นได้แต่เงียบ ไม่พูดอะไรซักคำเดียว
" จริงสิเมื่อกี้เธอบอกเวลากลับของท่านเดธมาคส์กับเจ้านั่นใช่มั้ยจ๊ะ" มาอิพูดเสียงยียวนมาอีก 
"ถ้าชั้นจะใช้ร่างของเธอไล่ตาหมอนั่นไปรึไปบอกท่านเดธมาคส์เรื่องนี้ล่ะ จะเป็นไง "
" ไม่มีทาง "
ไอร่าตอบโดยพยายามพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติ แต่ก็ไม่วายเสียงสั่นจนได้
" แหมๆๆ ไม่ต้องแกล้งทำเสียงแข็งแบบนั้นใส่ชั้นก็ได้จ้ะ ชั้นแค่ล้อเล่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง อย่ากลัวไปเลยนะจ๊ะ
ตอนนี้ชั้นจะยังไม่ทำอะไรกับหมอนั่นหรอกนะ " คำพูดปลอบใจ แต่เมื่อมาอิเป็นคนพูดมันไม่ได้ช่วยปลอบใจแม้แต่นิดเดียว
ทว่าไอร่าก็ไม่ได้หวั่นอะไรเลย เธอตอบกลับเสียงแข็ง
"ชั้นไม่สนหรอกนะว่าตอนนี้เธอคิดวางแผนชั่วร้ายอะไรไว้อีก แต่ทุกอย่างมันจะต้องจบลงในคืนนี้แหละ "
" จ้ะๆ กลัวแล้วจ้ะ " มาอิพูดกวนส้น " อ้อชั้นขอนอนก่อนนะจ๊ะ ยังไงก็อย่าลืมซะล่ะ ว่า'หัวเราะทีหลัง ดังกว่า' น่ะ "
พูดจบก็หัวเราะด้วยเสียงเย็นๆ อย่างบ้าคลั่ง มาอิหัวเราะแบบนั้นอยู่นานทีเดียวจึงเงียบไป ไอร่านั้นหยุดสั่นแล้ว พยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
" ใช่ หัวเราะทีหลัง ดังกว่า "

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แนะนำตัวละคร

แคโรไลน์ โซล่า ลอร์ดแมน - แคร์ - (Caroline Zola Lordman - Care - )
สูง : 156 ซม. หนัก : กลับไปอ่านประวัติของไอร่าดู
อายุ : 17 ปี (ตอนเสียชีวิต)
อาชีพ : นักร้องในคณะละครเร่

พี่สาวบุญธรรมของเคนนี่ เป็นเด็กสาวที่ใจดีและอ่อนโยนมากๆ เป็นที่รักของทุกคนในคณะละครเร่
ชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่คิดจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนอยู่บ่อยๆ เป็นนักแต่งเพลงฝีมือดี และยังร้องเพลงได้เพราะมาก เสียชีวิตด้วยฝีมือของเดธมาคส์

เดธมาคส์ (Deathmask)
สูง : 189 ซม. หนัก : 84 กก.
อายุ : ไม่ทราบแน่ชัด
Beast Form : ตัววูลเวอรีน (Wolverine)
อาชีพ : แม่ทัพใหญ่กองทัพสมิงของวอร์เรนเซีย

สมิงลึกลับ นอกจากรู้ว่าเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งของอาณาจักรวอร์เรนเซียแล้ว ก็ไม่มีประวัติอื่นๆ อีกเลย แม้แต่ชื่อที่ใช้อยู่ก็อาจไม่ใช่ชื่อจริงๆ แต่มีพลังแข็งแกร่งมาก
เขานี่แหละที่เป็นคนฆ่าพี่สาวของเคนนี่ โดยอ้างว่า ทำเพื่อเคนนี่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับเคนนี่และพวกอัศวินเทพหมาป่าทั้ง 7