ROAR !!!

Chapter 2 - Master Gracia -

         เมืองมิวส์เป็นเมืองชั้นนอกขนาดใหญ่เมืองหนึ่งของอาณาจักรอวาเลีย และเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพราะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนมาก
เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญที่คอยต้านทานการโจมตีจากอาณาจักรวอร์เรนเซียศัตรูสำคัญของอวาเลีย ป้อมปราการของเมืองนี้จึงถูกสร้าง
อย่างพิถีพิถันยิ่งกว่าเมืองอื่นๆ

ทางเข้าออกเมืองมีเพียงทางเดียว นั่นคือประตูเมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองเท่านั้น เป็นประตูทำจากไม้ไอออนวูดดำซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งที่แข็งที่สุด
สูงกว่า 10 เมตร กว้างเกือบ 5 เมตร ประตูทั้ง 2 บานซ้ายขวาแต่ละข้างหนักร่วม 4 ตัน ต้องใช้คนถึง 12 คนจึงจะสามารถเปิดประตูบานนี้ได้
ที่หน้าประตูเมืองนั้นต่างจากเมืองอื่นๆ ที่ไม่มีผู้คนเดินเข้าออกกันให้ควั่กเหมือนเมืองอื่น เพราะเป็นเมืองที่อยู่ค่อนข้างจะชิดกับชายแดน
ข้าศึกอาจบุกมาเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นผู้คนจึงไม่ค่อยจะเข้าออกเมืองบ่อยนัก แต่ประตูเมืองก็ยังเปิดกว้างอยู่ตามระเบียบ
และที่ด้านหน้าประตูเมืองนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลอ่อน สวมกางเกงคล้ายกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม สวมเสื้อในสีฟ้าหม่นๆ
ผมสีดำชี้ตั้งดูเหมือนทรงไก่ (ลองนึกภาพทรงผมของซาโนจากซามูไรพเนจรดู) หน้าตาคมสันแต่แววตาท่าทางดูเหมือนคนชอบชวนทะเลาะวิวาท
กำลังยืนพิงอยู่กับขอบประตูเมืองอยู่
 " ไอ้พวกนั้นยังไม่มาอีกเรอะ นี่ใกล้จะได้เวลาประชุมแล้วนะ "
ชายหนุ่มบ่นเบาๆ กับตัวเอง " รีบมาเร็วๆ สิโว้ย "
 ในตอนนั้นเองมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่ขอบฟ้าอีกฟาก 
ฝุ่นดินจำนวนหนึ่งลอยฟุ้งมาแต่ไกล ราวกับหมอกทึบสีเหลืองลอยมากระนั้นมันลอยเข้ามาใกล้ตัวเมืองเรื่อยๆ จากเมื่อกี้ที่อยู่ไกลไปจนสุดขอบฟ้า
ตอนนี้เข้ามาใกล้อยู่ในระยะเพียงไม่ถึง 500 เมตรแล้ว ทหารประจำเมืองออกมาเตรียมตั้งท่าระวังภัยกันหน้าสลอน
เพราะนึกว่าข้าศึกบุกเมือง แต่น่าแปลก หากเป็นข้าศึกมาบุกเมืองจริงๆก็น่าจะมีเสียงโห่ร้องของทหารข้าศึกมาแต่ไกล
และน่าจะเห็นกองทัพเป็นแนวยาวเคลื่อนมา แต่นี่กลับไม่มีเสียงโห่ร้อง มีเพียงฝุ่นที่ตลบขึ้นมาและเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเท่านั้น
 " ชะ ในที่สุดก็มาจนได้ ไอ้พวกบ้าเอ๊ย " ชายหนุ่มพูดขึ้นถอนหายใจเบาๆและยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
 ฝุ่นที่ตลบฟุ่งขึ้นมานั้นตอนนี้เข้ามาอยู่ถึงหน้าประตูเมืองแล้วและตอนนั้น
 เอี๊ยด !!!!!!!!!!!!!!
 เสียงเหมือนรถเก๋งที่เหยียบเบรกซะตัวโก่ง แต่นั่นไม่ใช่เสียงรถเก๋งเป็นเสียงของใครบางคนที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วหยุดวิ่งกะทันหัน
ทำให้เท้าลากไปกับพื้นจนเป็นเสียงดังขึ้น ร่างคล้ายคนสองร่างพุ่งเข้ามาอย่างเร็วพร้อมกับเสียงเบรกพุ่งเข้าหากลุ่มทหารที่ออกมาตั้งกองกันตะกี้
ทหารทั้งกองตกใจแตกแถวหลบไปกันคนละทางพอดีกับจังหวะที่ร่างสองร่างนั้นพุ่งเข้าชนตรงกลางแถวทหารพอดี
แต่ทหารทั้งกองนั้นกระโจนหลบออกไปหมด ร่างสองร่างนั้นจึงพุ่งหลุดออกไปชนเปรี้ยงเอากับลังไม้หลายลังที่วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ ซะถล่มลงมา
 ชายหนุ่มเอามือกุมหน้าผาก พร้อมกับทำสีหน้าเอียนๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นตะกี้ พวกทหารเมื่อหายตกใจแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นและเดินเข้าไปดูว่า 'อะไร'
ที่พุ่งมาแหวกกลางกองทหารทั้งกองซะวงแตก แล้วพุ่งไปชนเอากับกองลังไม้ซะพัง
 " บ้าเอ๊ย นี่แกไม่ฟังที่ชั้นพูดเลยรึไงวะ ห๊า "
เสียงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความโกรธ "ชั้นบอกแล้วให้เบรกตั้งแต่ 200 เมตรแรก ทำไมไม่เบรกวะ "
 " โทษโว้ย มันตีนไปหน่อย เลยเบรกไม่ทัน " อีกเสียงพูดขึ้น " ไม่เป็นไรน่ายังไงก็มาถึงเมืองมิวส์โดยสวัสดิภาพไม่ใช่เรอะ "
 " สวัสดิภาพอะไรวะพุ่งแหวกกองทหารหลุดออกไปชนกับลังไม้กองเท่าแม่ควายเนี่ยนะโดยสวัสดิภาพถ้าเป็นคนธรรมดาเจอแบบนี้ตายไปแล้วนะเว้ย "
 ระหว่างที่เสียงทั้งสองเสียงนั้นทะเลาะกันฝุ่นที่ตลบขึ้นมาตะกี้นี้ก็ค่อยๆ จางลง ทำให้เห็นร่างทั้งสองร่างชัดเจนขึ้น
ร่างหนึ่งยืนเท้าสะเอวอยู่ ผมชี้ตั้งชันเหมือนเม่น อีกร่างนั่งอยุ่กับพื้น ผมยาวระบ่า และสวมหมวกแก๊ป ไม่ต้องสงสัย !!! เคนนี่กับแอรอนนั่นเอง !!!
 " ชั้นว่าตอนนี้เรามีปัญหาซะแล้วว่ะ " เคนนี่พูดพร้อมกับมองไปรอบตัว พวกทหารที่ถูกชนซะวงแตกไปเมื่อกี้กลับมารวมกองกัน
ล้อมทั้งสองคนไว้ตรงกลางและถืออาวุธจ้องมาทางพวกเขา
 " พวกแกเป็นใคร มาก่อกวนที่นี่มีจุดประสงค์อะไร " ทหารคนหนึ่งท่าทางเป็นหัวหน้าตะโกนถาม
 " พวกเราเป็นคนของท่านกราเซีย " แอรอนตอบด้วยท่าทีปกติ "ไม่ได้ตั้งใจจะก่อกวนหรอก เพียงแต่รีบมาให้ทันการประชุมไปหน่อย
เลยห้อมาทั้งคืนจนมาถึงแต่ดันเบรกผิดจังหวะไปนิด ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เอาล่ะ ขอผ่านหน่อยนี่จะได้เวลาประชุมแล้ว "
 " เชอะ ท่านกราเซียเป็นคนมีชื่อเสียงจะมีลูกน้องท่าทางเหมือนกุ๊ยอย่างพวกแกได้ไง ไปคุยกันที่กรมเมืองดีกว่า "
พูดจบหัวหน้ากองก็หันไปหาลูกน้อง พร้อมกับสั่ง " เอาตัวพวกมันไป "
 ทหาร 2 - 3 คน เดินเข้าไปจะจับตัวเคนนี่กับแอรอน แต่วินาทีที่มันเดินเข้าไปหาเท่านั้น พวกมันก็โดนซัดซะกระเด็นออกมา
 " ไอ้พวกนี้นี่ไม่มีเหตุผลจริงๆ เลย " เคนนี่บ่นพร้อมกับหักข้อนิ้วมือดับกร๊อบ
 " ดูท่าคงต้องอัดมันก่อนถึงจะเข้าเมืองได้นะ" แอรอนพูดขึ้น
 " จับมัน !!!!!! " หัวหน้ากองทหารตะโกนดังลั่น พวกทหารกรูกับเข้าไปหาเคนนี่กับแอรอนทันที
 
 1 นาทีต่อมา ....
 พวกทหารที่พุ่งเข้ามาจะจับตัวเคนนี่กับแอรอนเมื่อตะกี้ ตอนนี้ลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้นกับเป็นแถวไม่ไหวติงกันซักคน
 " งี่เง่าว่ะ "  เคนนี่บ่นพร้อมกับสะบัดมือไปมากลางอากาศ
 " นกกระจอกยังไม่ทันจิบน้ำเลย " แอรอนพูด
 หัวหน้ากองทหารเห็นท่าไม่ดี วิ่งหนีจะไปขอกำลังเสริม แต่ก่อนที่มันจะวิ่งไปไหน
ร่างร่างหนึ่งก็ปรากฎขึ้นตรงหน้ามันพร้อมกับยกเท้ากวาดเตะออกมาอย่างรวดเร็วเข้าก้านคอของเจ้าหัวหน้ากองซะลงไปกองกับพื้นในเปรี้ยงเดียว
 " รัซเซลล์ " เคนนี่กับแอรอนตะโกนแทบจะพร้อมกัน
 " ไง " ผู้ถูกเรียกว่ารัซเซลล์ตอบ " 'มวยเขี้ยวทะลวง' กับ 'กรงเล็บมฤตยู'ของแกสองคนนี่ยังร้ายกาจเหมือนเดิมนะ สมแล้วที่ใครๆ
ตั้งฉายาให้พวกแกว่า 'The Ghost and The Darkness' "
 " 'เพลงเตะฟ้ารับประทาน' ของแกก็เหมือนกัน "เคนนี่ตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มนิดๆ
 " 'เพลงเตะอัสนีวิโรจน์' ว้อย !!! เรียกให้มันดีๆ หน่อย " รัซเซลล์ตะโกนลั่น
" แล้วที่สำคัญ ทำไมพวกแกมาเอาป่านนี้วะท่านกราเซียย้ำนักย้ำหนาว่างานนี้ห้ามสายเด็ดขาด แล้วนี่พวกแก... "
 " เอาน่า ยังไงซะก็มาทันเวลาพอดีน่า ท่านกราเซียไม่ว่าอะไรหรอก "เคนนี่พูดแก้ตัว " แกเองก็ชอบทำตามใจตัวเองแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เรอะ "
 " วะ ไม่รู้จะบอกพวกแกยังไงแล้ว " รัซเซลล์ตัดบทเอาดื้อๆเพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเถึยงไอ้สองคนนี่
"ว่าแต่ได้ยินพวกแกพูดว่าวิ่งมาทั้งคืน คงยังไม่ได้กินอะไรสิท่า ไปแวะกินอะไรก่อนมั้ยล่ะยังมีเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนประชุม
คงพอมีเวลาได้กินข้าวซักมื้อ "
 " เออ ก็ดีเหมือนกัน " ทั้ง 3คนเดินออกไปจากหน้าประตูเมืองทันทีโดยทิ้งพวกทหารนอนที่กองอยู่กับพื้นไว้ข้างหลัง

 ทั้ง 3 มาหยุดนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารใหญ่แห่งหนึ่งข้างในเมือง แอรอนกับรัซเซลล์สั่งสเต็กดิบจานใหญ่มานั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย
ในขณะที่เคนนี่สั่งแค่ขนมจ้างใส้หมูย่างมา 6 ห่อ นั่งกินช้าๆ ในขณะที่กัดขนมจ้างคำแรกนั้น ในใจของเคนนี่ก็พลันนึกถึงอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
 
 ตอนนั้น เคนนี่ยังอายุเพียง 7 ขวบ กำลังนั่งอยู่คนเดียว สวมเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่ามีรอยปุปะเต็มไปหมดกำลังนั่งกินขนมจ้างอยู่คนเดียว
ในตอนนั้นมีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งอายุประมาณ 18 ปี  เดินเข้ามาหาเขา
 " ทำไมมานั่งกินคนเดียวล่ะ " เด็กสาวคนนั้นถาม
 " ผมชินกับการนั่งกินคนเดียวมากกว่า " เคนนี่ตอบด้วยทีท่าเหมือนรำคาญนิดๆ
 " งั้นเหรอ " เด็กสาวคนนั้นถามด้วยเสียงใสๆ ดูมีชีวิตชีวา "งั้นชั้นถามหน่อยสิ ขนมจ้างที่กินอยู่น่ะ อร่อยมั้ย "
 " ไม่รู้สิ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ผมไม่เคยสนใจว่าของที่กินน่ะอร่อยมั้ย สนแค่ว่ากินแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้รึเปล่า "
 ท่าทางเด็กสาวไม่มีทีท่าโกรธกับการแสดงออกเหมือนรำคาญของเคนนี่แม้แต่นิดกลับยิ้มอย่างร่าเริงแล้วตรงเข้าไปรวบตัวเคนนี่ยกขึ้น
แล้วพาวิ่งออกไปทันที
 " ถ้างั้นชั้นจะสอนให้เธอรู้เองว่า ทำยังไงถึงจะกินขนมจ้างได้อร่อย "
 " เหวอออออ !!!!!! " เคนนี่ตะโกนลั่นด้วยความตกใจ

 " เฮ้ย เคนนี่ เป็นอะไรวะ "  เสียงของรัซเซลล์ปลุกเคนนี่ให้ตื่นจากห้วงความคิดคำนึงในอดีต
" เปล่า "เคนนี่ตอบ " แค่นึกอะไรนิดหน่อยน่ะ "
 " อย่ามัวเหม่ออยู่น่า รีบๆ กินเข้าเหอะ นี่อีก 10 นาทีจะประชุมแล้วนะ "
 " เออ รู้แล้วๆ "
 ในขณะที่ทั้ง 3 คนกำลังนั่งกินอาหารอยู่นั้น ก็มีเสียงดังออกมาจากข้างนอกตัวร้านอาหาร
 " พวกแกอยู่ในนั้นใช่มั้ย ยอมมอบตัวซะดีๆ ไม่งั้นเราจะบุกเข้าไป "
 " อะไรอีกวะ " แอรอนบ่นออกมาพร้อมกับชะโงกหน้าไปดูท่างหน้าต่างเพื่อไปดูว่าใครมา
ก็พบว่าตอนนี้ที่หน้าร้านอาหารนั้นมีพวกทหารยืนกันหน้าสลอนเต็มไปหมดประมาณ 40 คนเห็นจะได้
แอรอนหลุบหัวกลับเข้ามาทันที " พวกทหารว่ะ มากันเป็นสิบเลย "
 " เอาไงดีวะ " เคนนี่ถาม
 " ก็อัดมันให้เละสิ " รัซเซลล์ว่า
 " ไม่ไหวหรอก " แอรอนพูด " เยอะขนาดนี้ฝ่าออกไปไม่ทันเวลาประชุมหรอก "
 " แล้วมีวิธีอื่นอีกเรอะ "
 " ออกหลังร้านเป็นไง " เคนนี่เสนอแนะ
 " ไม่ได้ พวกนั้นต้องคอยดักอยู่หลังร้านแน่ " แอรอนค้าน
 " งั้นก็ก็เหลือทางเดียว " รัซเซลล์พูดขึ้น " เล่นมันให้ยับไปเลย "
 พูดจบก็เดินออกไปทันที ฝ่ายเคนนี่กับแอรอนไม่รู้จะหาวิธีเผ่นออกไปยังไงก็จำต้องทำตามรัซเซลล์

 รัซเซลล์ เคนนี่ และแอรอนเดินออกมาหน้าร้านอาหาร ยืนประจัญหน้ากับกลุ่มทหารกว่า 40 คนที่ตั้งกองดักอยู่หน้าร้าน
 " ท่าทางหนนี้พวกนี้จะเอาจริงแฮะ " เคนนี่พูดออกมาเบาๆ
 " ไม่ใช่มีแค่นี้นะ ยังมีพวกหลังร้านอีก อย่างนี้ไปไม่ทันใน 10 นาทีแหงๆ " แอรอนว่า
 " งั้นทำไง " รัซเซลล์ถาม
 " แหกวงล้อมออกไปก่อน แล้ววิ่งไปให้ถึงปราสาท แบบนี้คงทัน " แอรอนพูดกระซิบเบาๆ
 " ดีเหมือนกัน ตกลงตามแผนนี้ ว่าแต่จะแก้ตัวกับท่านกราเซียว่าไงดีวะ เกี่ยวกับเรื่องพวกทหารที่แห่ตามมานี่น่ะ "
 " ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้เอาให้รอดตัวก่อน "
 ในขณะที่ทั้ง 3 คิดหาทางหนีทีไล่อยู่นั้น หัวหน้ากองทหารก็ตะโกนมา
 " พวกแก ยอมมอบตัว แล้วตามพวกเราไปที่กรมเมืองซะดีๆ "
 " พูดแบบนั้นแล้วคิดเรอะว่าจะมีโจรหน้าไหนยอมมอบตัวดีๆ น่ะ "
แอรอนตะโกนออกไปพร้อมกับยิ้มกวนตีน หัวหน้ากองทหารโกรธจัด ชักดาบออกจากฝัก ชูขึ้นแล้วตะโกนสั่งซะดังลั่น "
จับมันให้ได้ ขัดขืนฆ่าได้ทันที !!!!! "ทหารทั้งกองกรูกันเข้ามาหาทั้ง 3คนทันที แต่ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะตรงเข้าปะทะกันนั้น
ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆ เป็นเสียงเหมือนของหนักๆที่ถูกยิงหรือซัดมาโจมตีทางอากาศ พุ่งเข้ามากระแทก
ระหว่างกึ่งกลางของจุดที่ทั้ง 2ฝ่ายกำลังจะเข้าปะทะกันอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ของสิ่งนั้นคือ ก้อนหิน เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ใช้ปูบนถนนในเมืองนี้เอง
แผ่นหินนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละด้านยาวประมาณ 150 ซม. หนาประมาณ1 นิ้วกว่าๆ เกือบ 2 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 500 กก.
ต้องใช้คนถึง 5คนช่วยกันยกถึงจะยกขึ้น

เคนนี่ แอรอน และรัซเซลล์ กับพวกทหารในที่นั้นทั้งหมดหันขวับไปยังทางที่แผ่นหินยักษ์นั้นถูกขว้างมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
ที่นั่น ร่างเล็กๆ สูงไม่ถึง 170 ของชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมสีเงินยาวรวบไว้ข้างหลังอย่างเรียบร้อย ใบหน้าคมสันและดูมีสง่าราศี
นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลดูสงบนิ่งและเต็มไปด้วยความกรุณาแต่ก็แฝง ความเข้มแข็งอยู่ในที ริมฝีบากบางๆ คู่นั้นแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
สวมเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ ที่ด้านข้างของเขามีชาย 2 คนยืนเป็นองครักษ์ขนาบอยู่ทั้ง 2 ข้าง คนทางขวารูปร่างสูงใหญ่ผิดคนธรรมดา
ประมาณ 2 เมตรเห็นจะได้ อายุประมาณ 50 ปีกว่า ผมสีทองยาวและชี้ไปทางด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ทั้งเล็กและใหญ่
รูปร่างบึกบึนจนแทบจะไม่อยากเชื่อว่าเป็นร่างกายของคนอายุ50 กล้ามเนื้อแม้ไม่ใหญ่เท่ากับคนบางคนแต่ก็บิดกันเป็นเกลียวแน่นหนา
คนทางซ้ายแม้รูปร่างจะไม่ใหญ่เท่ากับคนทางขวาแต่ก็ตัวสูงเอาการทีเดียวประมาณ 180 ได้
ผิวหนังทั้งตัวเป็นสีน้ำเงินดูราวกับมีเปลือกอะไรซักอย่างหุ้มตัวอยู่ ใบหน้ามองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่เพราะใช้ผ้าพันแผลพันหน้าไว้เกือบหมด
โผล่มาแค่ลูกตากำบใบหน้าส่วนล่างแถวๆ ปากบางส่วนเท่านั้น สวมหมวกไหมพรมด้วย
 " ท่านกราเซีย " ทั้ง 3 ร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน
 " ลุงกาโดกับสตันก็มาด้วย " รัซเซลล์ร้องแถมนิดหน่อย
 " ท่านกราเซีย " หัวหน้ากองทหารร้องออกมาด้วยทีท่าตกใจ " หรือจะเป็นกราเซีย ดราเชี่ยน เวซาลิอุส เจ้าเมืองเอลแลนทางเหนือ และเป็นหัวหน้ากลุ่ม
 7 อัศวินเทพหมาป่า ( 7 Fenril Knights ) ฉายา Wolf of Paradise ด้วย "
 กราเซียหันหน้าไปทางหัวหน้ากองทหารด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ทว่าหัวหน้ากองทหารกลับมีสีหน้าตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
 " มีธุระอะไรกับลูกน้องของผมงั้นเหรอครับ คุณหัวหน้ากอง " กราเซียพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ
 " มะ.. มะ...ไม่มีอะไรครับ " หัวหน้ากองตอบตะกุกตะกัก " แหม พี่ชายเป็นลูกน้องท่านกราเซียก็ไม่บอก "
 " ก็บอกแล้วไม่เชื่อเองนี่หว่า ไอ้สมองหมูเอ๊ย " เคนนี่ด่าในใจ
 
 พวกทหารถอยกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงพวกกราเซียกับพวกเคนนี่ทั้ง 6 คนยืนอยู่เท่านั้น
 " ไอ้พวกบ้า !!! " กาโดตะโกนใส่พวกเคนนี่ดังลั่น " จริงๆ เลยนะ พวกแกนี่อาละวาดจนได้เรื่องอีกจนได้ พวกแกนี่มัน... "
 " รู้น่า ลุง " เคนนี่พูดแทรกขึ้นมา " พวกเราน่ะ เป็นพวกน่ารังเกียจ "
 " น่าเจ็บใจ " แอรอนเสริม
 " นิสัยแย่ " รัซเซลล์ปิดท้าย
 " แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาด 'ชั่ว' หรอกนะ แค่ 'เสเพล' เท่านั้นเอง " เคนนี่พูดพร้อมกับยิ้มนิดๆ
 " พวกแก " กาโดมีทีท่าโกรธกับคำพูดของทั้ง 3 คน
 " เอาน่า กาโด " กราเซียพูดปราม " ยังไงพวกเขาก็มาทันการประชุมนี่นาอีกอย่าง นี่มันใกล้จะประชุมแล้วนะ
มัวแต่ว่าคนอื่นแบบนั้นเดี๋ยวก็เข้าประชุมสายหรอก "
 กาโดหยุดพูดพร้อมกับถอยออกมา กราเซียหันไปหาพวกเคนนี่และพูด
 " เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว "
 พร้อมกับหันหน้าไปทางถนนที่มุ่งสู่ปราสาทเมืองมิวส์แล้วเดินออกไปทันที
เคนนี่กับคนอื่นรีบเดินตามไปทันที ในขณะที่เดินไปนั้น ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของกราเซียก็ตกลงมาบนพื้น ลอยมาอยู่ทางด้านหน้าของเคนนี่พอดี
 เคนนี่ชะงักไปพักหนึ่ง แล้วจึงก้มตัวลงเก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วร้องเรียก
 " ท่านกราเซียครับ ผ้าเช็ดหน้าตกครับ " กราเซียหันกลับมา เดินมารับผ้าเช็ดหน้าจากมือของเคนนี่
  ใบหน้าของกราเซียปรากฎรอยยิ้มแปลก ในขณะที่รับผ้าเช็ดหน้ากลับ " ขอบใจ " กราเซียพูดพร้อมกับหันกลับและเดินต่อไป
 แต่ก่อนที่จะเดินไปนั้น กราเซียหันกลับมาหาเคนนี่อีกครั้งด้วยรอยยิ้มแปลกๆ พร้อมกับเรียก
 " เฮ้ เคนนี่ "
 " อ.. อะไรหรือครับ "
 " ว่าคนอื่นว่า 'ไอ้สมองหมู' น่ะ ไม่ดีนะ "
 เคนนี่มีทีท่าตกใจนิดหน่อย แล้วก็เปลี่ยนเป็นอายจนหน้าแดง
 " อีกอย่าง จะไปเที่ยวเล่นโปลิศจับขโมยที่ไหนน่ะชั้นไม่ว่าหรอกนะ แต่ช่วยดูเวลาด้วยแล้วกันว่าจะมาตามนัดทันมั้ย "
 พูดจบ กราเซียก็หันหน้ากลับแล้วเดินต่อไปตามทาง
แอรอนนั้นมองเคนนี่พร้อมกับอมยิ้มนิดหน่อยในขณะที่รัซเซลล์นั้นทนไม่ไหวปล่อยก๊ากออกมาดังลั่น
เคนนี่นั้นอายจนหน้าแดง เขารีบเดินตามกราเซียไปอย่างรวดเร็ว พยายามเดินอยู่ข้างหน้าพวกคนอื่นเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตว่าหน้าแดง
 รัซเซลล์กับแอรอนมองหน้ากัน ยิ้ม แล้วเดินตามพวกกราเซียไปตามทางสู่ปราสาทเมืองมิวส์ซึ่งเป็นที่ประชุมทันที